เรื่องราวของเหล่าจักรวาลมนุษย์กลายพันธุ์บนโลกภาพยนตร์นั้นเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2000 แตกขยายออกเป็นทามไลน์หลายหลากมากมายทั้งเส้นทางหลัก อดีต อนาคต หรือแม้แต่การโฟกัสตัวละครเดี่ยวอย่าง “โลแกน” วูล์ฟเวอรีน แต่ทั้งหมดนั้นกำลังจะนำไปสู่ตอนจบบทสุดท้ายใน X-Men Dark Phoenix X-เม็น ดาร์ก ฟีนิกซ์ Dark Phoenix จะเน้นการเล่าเรื่องไปที่ “จีน เกรย์” มนุษย์กลายพันธุ์สาวผู้มีพลังจิตในระดับสูงไม่แพ้ ชาร์ล เซเวียร์ ซึ่งเธอได้พบกับอุบัติเหตุทำให้รังสีสุริยะประหลาดถูกดูดเข้าไปในตัว ส่งผลให้พลังของเธอเพิ่มพูนขึ้น (จากที่มากอยู่แล้ว) และที่เลวร้ายที่สุดก็คือ เธอไม่สามารถควบคุมมันเอาไว้ได้ แม้หนังจะเป็นทามไลน์เรียงต่อจาก X-Men: Apocalypse แต่หนังกลับไม่อ้างอิงเนื้อหาหรือเหตุการณ์ต่อกันมาเท่าไหร่ มีเพียงคาแรคเตอร์ที่ถูกใช้งานต่อเท่านั้น ทำให้เหตุการณ์และการตัดสินใจบางช่วงของบางตัวละครจะไม่ค่อยดึงอารมณ์ร่วมของคนดูได้เท่าไหร่นัก เสมือนกับเป็นหนัง X-Men เดี่ยวๆ ที่โผล่ขึ้นมาจากช่วงเวลาใดก็ได้ ตัวหนังมีพล็อตและจังหวะในการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างล้าสมัยมาก มีการเกริ่นเรื่องที่ช้า ทำให้จุดไคลแม็กซ์ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับสัดส่วนทั้งหมด เหมือนกับดูหนังแอ็คชั่นในยุค 90-2000 โดยมีอีกจุดบอดก็คือบทสนทนาเยอะมาก ซึ่งหนังฮีโร่-แอ็คชั่นควรจะเป็นหนังที่ผู้ชมอยากจะเข้าไปดูฉากต่อสู้กันมากกว่า หนังล้มเหลวในการนำเสนอเรื่องราวอย่างชัดเจน ไม่สามารถดึงคนดูอยู่เท่าไหร่นัก และทั้งหมดคือส่งผลให้ “ฟีนิกส์” หรือจีน เกรย์ นั้นไม่ใช่ตัวละครที่น่าจดจำประจำภาคอย่างที่คาดหวังกันไว้ มีเพียงฉากของตัวละครและฉากแอ็คชั่นไม่กี่ฉากเท่านั้นที่เป็นตัวบ่งบอกว่าหนังยังมีคุณภาพอยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ดีในการชม X-Men Dark Phoenix X-เม็น ดาร์ก ฟีนิกซ์ ก็คือโรงภาพยนตร์ Zigma CineStadium ที่ SF World Cinema เซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งเป็นโรงภาพยนตร์ที่เกิดมาเพื่อคอหนังที่อยากชมภาพยนตร์ให้ครบอรรถรสเป็นอย่างมาก ที่นี่เป็นโรงที่มีเบาะเอนหลังแถมยืดขาได้สบาย ใครจะเดินเข้าเดินออกก็ไม่ติด จอใหญ่และมีระบบเสียง Dolby Atmos ซึ่งระบบเสียงตัวนี้จะเด่นเรื่องมิติเสียง โดยจะสังเกตได้ว่ามีลำโพงฝังอยู่บนฝ้ายิงลงหัวคนดูด้วย และที่สำคัญที่สุดคือราคาไม่ได้แพงระดับโรงเกรดพรีเมี่ยมหลายๆ โรง แต่เป็นราคาเริ่มต้นเท่าโรงปกติเช่นเดียวกัน