คุยกับ ‘โต๋ – ศักดิ์สิทธิ์’ กับการกลับมาอีกครั้งพร้อมอัลบั้มใหม่ และคอนเสิร์ตใหญ่ของ B5 ถ้าพูดถึง โต๋ ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร เราคงนึกถึงชายหนุ่ม หน้าตาน่ารัก ร้องเพลงเพราะ เล่นเปียโนเก่ง เเละความอบอุ่นโรแมนติกที่เชื่อว่าเป็นสเปกของสาวหลายๆ คน จนสาวๆ บางคนก็อดที่จะอิจฉา น้องไบรท์ (พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ) พิธีกรสาวจากรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” ที่เป็นแฟนของหนุ่มโต๋ไม่ได้ แต่ย้อนกลับไปจะเห็นว่าก่อนจะมาถึงวันนี้ ความรักในดนตรีของเขาเริ่มต้นจากการที่โตมาในครอบครัวนักดนตรี (คุณพ่อคือคุณนคร เวชสุภาพร หัวหน้าวงแกรนด์เอ็กซ์) โดยหัดเล่นเปียโนตอนอายุ 3 ขวบ และเดินทางในสายดนตรีมาเรื่อยๆ ตั้งแต่เป็นสมาชิกของวง B5 จนกลายมาเป็นศิลปินเดี่ยวที่ประสบความสำเร็จเเถวหน้าของวงการเพลงในปัจจุบัน หลังจากห่างหายจากการออกอัลบั้มเดี่ยวของตัวเองไป วันนี้เขากลับมาเเล้ว พร้อมโปรเจกต์พิเศษหลายอย่างที่เอามาฝากพวกเรา เรามาคุยกับโต๋กันว่าที่ผ่านมาเขาหายไปเก็บเกี่ยวอะไรเพิ่มเติม และมีอะไรใหม่ๆ มาอัปเดตให้ฟังกันบ้างนะ ที่ผ่านมาหายไปไหน โต๋ : ผมหายไปช่วงประมาณปี 2013-2016 ด้วยความรู้สึกว่าเบื่อ เพราะตัวเองออกอัลบั้มว่า 11 อัลบั้มเเล้ว ทั้งออกอัลบั้มบรรเลงมา 4 อัลบั้ม เเละออกอัลบั้มชุดเดี่ยวมา 5 อัลบั้ม ด้วยความที่เราแต่งเอง ทำดนตรีเอง เราเลยออกถี่มากๆ เเล้วพอพักนึงเราเบื่อเเละรู้สึกว่าอยากพักเเล้ว รู้สึกขี้เกียจเเต่งเพลงเเล้ว เกิดความรู้สึกเบื่อ ตัน เเละคิดว่าคงหมดช่วงอายุความเป็นศิลปินของตัวเองเเล้วมั้ง จากนั้นเราก็หายไปนาน ที่ผ่านมาหายไปเปลี่ยนวิธีทำงาน วิธีคิด จนมาเริ่มใหม่กับอัลบั้ม Chapter I อันนี้ เเล้วก็ได้มาเป็นเพลง “สักวันคงได้เจอ” เพลงนี้มีที่มาจากตัวของเรา ทั้งเพลงใหม่ เเละสไตล์ใหม่ ส่วนตัวผมว่าคนเรามันเหมือนรถยนต์ มันออกอัลบั้มไปเรื่อยๆ มันก็ต้องหยุดพักหน่อยเพื่อกลับมา model change ตัวเองใหม่ เพราะรู้สึกว่าตัวเองเครียดเกินไปเเล้ว เมื่อก่อนเราเป็นคนที่ต้องทำอะไรด้วยตัวเอง เช่น เเต่งเอง เรียบเรียงเอง ร้องเอง จนรู้สึกว่าเราตีกรอบกับตัวเองเยอะมากเกินไป ตอนนั้นเราคิดไปเองว่าเราต้องพิสูจน์อะไรกับใคร เเต่ในความเป็นจริงเเล้วเราไม่ต้องพิสูจน์อะไรกับใครเลย พอคิดได้ก็เอาคนอื่นมาช่วยทำงาน มากขึ้น ผมรู้สึกว่าการทำเเบบนี้มันบาลานซ์ชีวิต เเล้วพอเปลี่ยนจากการใช้ชีวิตมันก็ไหลไปในเรื่องการทำเพลงด้วย เเล้วมุมมองความรักในเพลงรักของคุณเปลี่ยนไปแค่ไหน โต๋ : เเต่ก่อนผมเหมือนเป็นตัวเเทนของเพลงรักเเบบรักจ๋าๆ หวานๆ มาเลย เเต่พอเราโตเเล้วใช้ชีวิตมากขึ้น ทำให้เรารู้สึกว่าโลกไม่ได้ขาวมันก็เทาๆ นี่เเหละ สำหรับผมมันก็เริ่มมีความเทานิดๆ เเละถึงโลกมันจะไม่ได้ขาวคุณก็ต้องคอยมองมันในมุมบวกเสมอ มันก็เลยเป็นที่มาของการทำอัลบั้มชุดนี้ใหม่(อัลบั้มส่วนตัว Chapter I ) ส่วนพอโตขึ้นเนื้อเพลง ดนตรีก็ต้องเปลี่ยน อย่างเพลง “สักวันคงได้เจอ” อันนี้ไม่ใช่เพลงรักหวานเเหววแบบเดิม เเต่เป็นเพลงที่คงความรู้สึกเหงาๆ เเต่ก็ยังมีความหวังอยู่ แบบไม่ได้ใสไปเลยเหมือนเมื่อก่อน อีกเพลงที่เห็นชัดคือ “ปรากฏการณ์” อันนี้มันไม่ได้เหมือนแบบตอนที่เเต่งท่อนฮิตว่า “อ่านปากของฉันนะว่ารักธอ” (เพลงรักเธอ) เพราะในวัยนั้นเรายังรู้สึกได้เเค่นั้น เเต่นั่นมันตั้ง 9 ปีมาเเล้ว ต่างกับตอนนี้ที่ถ้าเเต่งเพลงเรัก เราก็ต้องอธิบายให้ได้ว่าที่เรารักเขามันเพราะอะไร หายจากเวทีไปนาน มีโอกาสที่จะได้เห็นคุณอยู่บนเวทีอีกไหม โต๋ : จะมี 2 เวทีที่ผมจะได้ขึ้นไป เวทีเเรกเป็นมีคอนเสิร์ต Chapter I Show case วันที่ 4 มีนาคม ที่จะถึงนี้ ซึ่งจริงๆเเล้วมันก็เหมือนงาน meeting เราอยากจัดอะไรที่เป็นการตอบเเทนที่เรายังได้รับโอกาสในการออกอัลบั้ม ให้เป็นงานที่ดูน่าจดจำสำหรับคนที่ร่วมเดินทางมากับเรา เพราะผมอยู่ในวงการมา 15 ปี เเต่ก็เพิ่งมี meeting เป็นครั้งแรก ในงานนี้ถ้าคุณมาจะได้ฟังทั้งคอนเสิร์ต, เล่มเกม เเละยังมี hight touchในงานด้วย ที่สำคัญครั้งนี้ที่นั่งไม่ถึงพันที่ มันทำให้เรารู้สึกอบอุ่น เพราะจะได้เห็นหน้าทุกคนที่มาชัดๆ เเล้วเวทีที่สองล่ะ โต๋ : อีกเวทีคือคอนเสิร์ตของ B5 ที่กลับมาจัดอีกครั้งในรอบ 15 ปี สำหรับผมการเข้า B5 ก็เหมือนเพื่อนที่เข้ามหาลัยปี 1 มาด้วยกัน มันจะต้องลงเรียนใหม่ มหาลัยใหม่ ไปนู่นมานี่ เเต่ละคนก็จะเป็นศิลปินใหม่ ก็จะรู้จัก สนิท คุยกันได้ทุกเรื่อง มีความลงตัว มีเสน่ห์ ก่อนหน้านี้เคยคุยกัน 5 คน มาตลอดว่าอยากกลับมารวมตัวกัน เเต่ก็หาเวลาที่ตรงกันไม่ได้สักที เพราะขนาดนัดกินข้าวกันยังยากเลย เเล้วเหมือนปีนี้มันลงล็อคพอดี ถ้าดูๆ อาจเหมือนว่าหายๆ กันไป เเต่จะมีที่คนเห็นกันบ่อยๆ ก็คือผม เบน(ชลาทิศ ตันติวุฒิ) เเละคิว(สุวีระ บุญรอด) ที่ยังเห็นว่าทำวง Flure อยู่ ส่วนมาเรียม(เกรย์ อัลคาลาลี่) ก็ยังร้องเพลงประกอบละคร เเต่พี่เค้ก(อุทัย นิรัติกุลชัย) เป็นคนเดียวที่อาจจะไม่ได้เห็นบ่อย เพราะไปทำร้านเบเกอรี่อยู่ที่ชลบุรี เเต่อีก 4 คนที่เหลือก็ยังเห็นวนเวียนอยู่ อาจจะมีมาเป็นเเขกรับเชิญพิเศษในคอนเสิร์ตให้กันบ้าง เเต่ถึงจะไม่ได้ขึ้นเวทีด้วยกัน เราก็ยังคุยกัน นัดเจอกัน อยู่ตลอด กังวลกับกระเเสตอบรับหรือเปล่า เพราะหลายคนในยุคนี้ไม่ได้รู้จัก B5 โต๋ : ความรู้สึกของการกลับมาครั้งนี้ไม่กังวลเลย เพราะรู้สึกว่ามันเป็นการคืนสู่เหย้ามากกว่า ผมคิดว่าเหมือนเราคิดถึงเขา เเล้วคนดูเขาก็คิดถึงเรา เเล้วอย่างที่บอกว่าพอมันเหมือนเลี้ยงรุ่นก็ไม่มีอะไรต้องเครียด เเค่ได้รู้ว่าทุกคนรอการกกลับมาของเราก็มีความสุขมากเเล้ว สำหรับเรากับแฟนคลับมันมีความเป็นเพื่อน พี่ น้อง กัน ด้วยคนที่ติดตามเรานานหลายๆ คนมีลูก มีครอบครัวกันไปเยอะเเล้ว จากเดิมคนที่เคยใส่ชุดนักเรียนมาฟังเรา ตอนนี้ก็เปลี่ยนเป็นชุดทำงาน เเละเขาเองก็ติดตามเราอยู่ตลอด เล่าให้ฟังหน่อยว่าโปรเจกต์ของ B5 ที่จะถึงนี่ มีความพิเศษอะไรบ้าง โต๋ : ผมว่าเด็กรุ่นใหม่สมัยนี้อาจจะรู้จักกับคุณเเม่เบน(หัวเราะ) พี่โต๋ วง Flure เเละพี่มาเรียม แบบเเยกๆ กัน เเต่ผมว่าดีที่ B5 มีคลาสสิกบางอย่าง เเละคิดว่าการที่กลับมารวมกันมันทำให้ได้รสชาติใหม่ๆ สำหรับเด็กรุ่นใหม่ที่ได้ดู อย่างการที่ B5 เเต่ละคนไม่เหมือนกันเลย เเต่พอมารวมกัน 5 คนมันมีเคมีบางอย่างที่ดูเเล้วสนุก เเล้วยิ่งในสมัยนี้พูดถึง B5 เด็กหลายคนก็อาจจะงง หรือคิดว่า B5 เกี่ยวอะไรกับ BNK48 บางคนก็คิดว่าพวกเราเป็นบอยเเบนด์หรือเปล่า(หัวเราะ) เเต่จริงๆ เเล้ว B5 สำหรับผมไม่ใช่ชื่อวง มันเป็นเหมือนชื่อรุ่นของพวกเรา 5 คน ถ้าอยากรู้ความสนุกก็ลองไปดูจากหลายๆ รายการอย่าง “ล้างตู้เย็น” ที่ เบน เป็นพิธีกร เทปที่ B5 ไปออกด้วยกัน หรือคอนเสิร์ตเก่าๆ ที่พวกเรารวมตัวกัน เพราะด้วยความเป็นเพื่อนกันมันยิ่งทำให้สนุก พูดจากันแบบภาษาเพื่อนๆ นอกจากเพลงเพราะๆ ความตลก ที่คุณจะได้เจอในคอนเสิร์ต อีกอย่าง B5 มันก็คือรุ่นนั่นเเหละ อยากให้มาสนุกกัน เพราะผมมองว่าบทเพลงมันเป็นตัวบันทึกความทรงจำ เช่น พอขึ้นเพลง “บางสิ่ง” หลายคนอาจจะนึกถึงช่วงเวลาตอนที่ตัวเองยังเรียนอยู่ปี 1 อะไรเป็นสิ่งดีที่สุดที่ได้กลับมาทำงานร่วมกับ B5 โต๋ : ตอบได้เลยแบบไม่ต้องคิดว่าคือ “ความเป็นเพื่อน” เพราะนอกจากเรื่องร้อง เต้น ที่สนุก มันก็สนุกเพราะความเป็นเพื่อน เหมือนเวลาที่เราอยู่กับเพื่อนยังไงตอนที่อยู่กับ B5 ก็เป็นอย่างนั้น(หัวเราะ) ผมเชื่อว่าทุกคนจะเป็นอีกคนหนึ่งเวลาที่อยู่กับเพื่อนสนิทๆ การเป็นศิลปินเดี่ยวไปไหนคนเดียวมันก็โอเค เเต่มันก็ไม่เหมือนกับเวลาที่อยู่กับเพื่อน เเละเราจะไม่มีคนที่คอยโต้มุขกันไปมากับเรา อีกอย่างหนึ่งคือเราจะได้ฟังคอมเมนต์ที่จริงใจจากเพื่อนเสมอ อย่างตอนที่ผมปล่อยเพลงใหม่ออกมาเเรกๆ เบนกับมาเรียมก็จะบอกว่า “เพลงอะไรของเมิงเนี่ย” หรือเบนจะชอบบอกว่า “โอ๊ย กูฟังเเล้วไม่ใช่สาวๆ ที่จะมาเขินนะ” หรือ “เมิงจะโลกสดใสสวยงามอะไรขนาดนี้เนี่ย” ซึ่งเราก็ไม่โกรธเขานะ เพราะพอฟังเพลงเขาบ้างเราก็จะรู้สึกว่ามันจะดาร์กอะไรขนาดนี้(หัวเราะ) เเละโมเมนต์ของความเป็นเพื่อนมันก็อยู่ในทุกช่วงของชีวิต ไม่ว่าจะทั้งสุขหรือทุกข์ ถ้าให้พูดถึง B5 ผมรู้สึกว่าแก่นของมันคือ “ความเป็นเพื่อน” เคยทะเลาะกันไหม โต๋ : มันต้องมีความเห็นไม่ตรงกันมั่ง ซึ่งในการทำงานมันก็ต้องมีบ้างอยู่เเล้ว เพราะอย่างที่บอกว่าในวงมีคน 5 คนที่ไม่เหมือนกันเลย เเต่สุดท้ายเเล้วเพื่อนก็คือเพื่อนอยู่ดี สำหรับเราความเป็นเพื่อนมันสำคัญที่สุด ถ้ามีความเห็นไม่ตรงกันก็จะมีคนหนึ่งมาเคาะให้ตอนสุดท้าย คือ พี่ไก่ (สุธี แสงเสรีชน) ที่เป็นเหมือนพี่ใหญ่ ความจริงเเล้วเราเป็น B6 มากกว่า B5 นะ เพราะพี่ไก่ช่วยได้มาก จากการที่เเต่ละคนมีตัวตนที่เเตกต่างกัน เราเลยต้องมีตคนหนึ่งที่มาช่วยเคาะสรุปว่าอย่างนี้โอเคเเล้ว ชอบช่วงเวลาไหนที่สุดเวลาอยู่กับเพื่อนๆ โต๋ : เราได้เรียนรู้อะไรจากเพื่อนเยอะมากๆ เหมือนเพื่อนได้มุมบวกๆ ไปจากเรา ส่วนเราก็ได้เรียนรู้ด้านดาร์กๆ ด้านแปลกๆ บางอย่างจากเพื่อน บางอันนี่ก็คิดว่ามันมีแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย(หัวเราะ) ผมมองว่าเสน่ห์ของ B5 คือทั้ง 5 คนมันช่างต่างกันเหลือเกิน อย่างคนมองก็จะรู้สึกว่าผมกับเบนนี่ต่างกันมาก เเต่พอผสมกันปุ๊ปมันดันลงตัว ซึ่งก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องดีเพราะถ้าเราทั้ง 5 คนเหมือนกันหมด มันก็คงน่าเบื่อน่าดูเลย คิดว่าเราเหมือนเป็นฝั่งสีเทาอ่อนๆ เเล้วในวงก็จะมีสีเทาเข้ม เทาเข้ามาก จนไปถึงสีดำมาก ถ้าให้คิดว่าดำสุดเป็นใครก็คงเป็นคิว(หัวเราะ) ลองคิดดูสิวง Flure กับโต๋ ศักดิ์สิทธิ์ นักร้องเพลงร็อคกับเพลงรัก ส่วนเบนกับมาเรียมก็ร้องเพลงแบบ Diva&Divo เเบบเจ็บเเค้นเคืองโกรธ ทั้งหมดนี้มันกลายเป็นความกลมกล่อมที่เป็นเสน่ห์ของ B5 B5 เมื่อ 15 ปีที่เเล้ว กับ B5 ตอนนี้ต่างกันเยอะไหม โต๋ : มันต่างกันตรงที่ ทุกคนชัดเจนในความเป็นตัวเองมากขึ้น เพราะยิ่งเราโตขึ้นก็ยิ่งรู้จักตัวเองดีขึ้น ทั้งผม เบน มาเรียม คิว เเละเค้ก ก็รู้เเล้วว่าตัวเองเป็นเเบบนี้ๆ หรือเอาจริงๆ ก็คือมันสนุกขึ้น พร้อมยากขึ้นในมุมนึงด้วย นั่นเพราะทุกคนชัดเจนว่าอยากได้อะไร ต่างจากเมื่อก่อนตอนใหม่ๆ ที่อาจจะ “อะไรก็ได้ครับ” ซึ่งความยากอยู่ที่การหาความพอดีให้กับจุดตรงนี้ เเต่ก็ยังยืนยันอยู่ว่ามันสนุกนะ ถ้ายิ่งได้ดูโชว์มันยิ่งสนุก อย่างที่บอกว่าสำหรับผม B5 ย่อมาจากคำเต็มว่า “เพื่อน” ถ้าคุณบอกว่าคุณคือแฟนเพลง B5 มันเหมือนกับคุณกำลังบอกว่า “เราเป็นรุ่นเดียวกัน” พอเล่นมุขแบบนี้ไปน่าจะเข้าใจมันเเน่ๆ อยากฟังโต๋เผาเพื่อนๆ ในวง เบน: เหมือนคุณเเม่ใหญ่ที่ชอบดูเเลเพื่อนๆ เบนมีความเป็นพี่ เป็นคนรักเพื่อนเเละมีความหวงเพื่อนมากๆ เป็นคนที่เทคเเคร์คนอื่นอยู่ตลอดเวลา ชอบบอกให้กินนู่นกินนี่ ตอนเวลาซ้อมก็ชอบเอาของกินมาให้เพื่อน เป็นคนสนุกสนานร่าเริง ตลก อย่างตัวตนที่เห็นในละครว่าฮาๆ แบบนั้น ก็มาจากตัวตนจริงๆ ของเบน ผมเลยชอบบอกว่าเบนไม่ได้เเสดงละครอยู่นะ เพราะกำลังเล่นเป็นตัวเอง(หัวเราะ) เเละถ้าให้พูดถึงนักร้อง Divo ชายของวงการเพลงไทย ผมก็จะนึกถึงเบนเป็นอันดับต้นๆ คิว: เป็นคนตลกมาก จนบางทีเราก็รู้สึกว่า “ทำไมเมิงถึงตลกได้ขนาดนี้” คิวเป็นคนที่มีความตลกแบบจริงๆ ถ้ามองภายนอกทุกคนอาจจะคิดว่าเขาเหมือนเป็นร็อคสตาร์ที่จะดูติสท์ๆ หน่อย เเต่ที่จริงเป็นคนตลกเเละเข้าถึงง่ายมาก เเล้วยิ่งพอมาอยู่กับ B5 ก็จะพูดไม่หยุด สำหรับผมคิวเป็นคนที่มีเสียงร้องที่เเปลก สามารถขึ้นเสียงสูงๆ ได้เวลาร้องกับ Flure เเล้วเวลาอยู่กับ B5 ก็ร้องเสียงต่ำเพราะๆ ได้ เหมือนร้องได้ทั้งแบบหวานเเละดุ มาเรียม: เป็นคนที่กำลังลดความอ้วนอยู่(หัวเราะ) สำหรับผมมาเรียมเป็นเพื่อนผู้หญิงที่รู้สึกสนิทด้วยมากๆ เวลาเจอกันก็จะชอบหยอกกันตลอด เป็นอีกคนที่เขารู้จักความเป็นเราเยอะ จนผมรู้สึกว่ามาเรียมเป็นเหมือนเพื่อนผู้ชายอีกคนหนึ่ง เเต่อยากฝากว่าให้กรุณาเเต่งตัวมิดชิดหน่อย เพราะห่วงใยสายตาเด็กๆ (หัวเราะ) เค้ก: เป็นหนุ่มใจดี ตอนนี้ทำร้านเบเกอรีอยู่เเถวชลบุรี เป็นคนรักเพื่อนมากคล้ายๆ กับเบน เเล้วยังเป็นคนร้องแนว R&B ได้เพราะแบบหาตัวจับยาก เอื้อนพริ้วสุดๆ เป็นคนที่ไนซ์ตลอด ชอบไปเที่ยว ชอบไปชิลล์ด้วยกันบ่อยๆ จากการที่ได้พูดคุยกับโต๋ ทำให้รู้สึกได้ถึงการเติบโตทั้งในเส้นทางดนตรีเเละเส้นทางชีวิตส่วนตัว ที่เหมือนเขาเดินมาในเส้นทางนี้พร้อมกันกับเพื่อน เเละเรามองว่าคอนเสิร์ตที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่ว่าทั้ง Chapter I เเละ B5 ก็เป็นอีกก้าวของโต๋ที่น่าติดตาม