Mango Zero

เปิดวาร์ป TOP 10 ร้านอาหารที่ดีที่สุดจากทั่วโลกจนคว้ารางวัล The World Best 50 Restaurants ปี 2019 ณ สิงคโปร์

“สิงคโปร์ ดินแดนแห่ง Passion และความหลากหลาย เพราะทุกความชอบที่ใช่ เป็นไปได้ที่สิงคโปร์”

หากจะพูดถึงสถานที่ที่รวมทุกสิ่งทุกอย่างจากทั่วโลก ไม่เว้นแม้กระทั่งเชื้อชาติและวัฒนธรรมแล้วล่ะก็ หลายคนต้องนึกถึงการไปเยือนประเทศสิงคโปร์ให้ได้สักครั้งในชีวิตนั่นเองค่ะ เพราะนอกจากจะได้ท่องโลกกว้างเปิดหูเปิดตากับโลกของงานศิลปะแล้ว ปีนี้สิงคโปร์ยังได้เป็นเจ้าภาพจัดงานประกาศรางวัล The World’s 50 Best Restaurants 2019 ซึ่งเป็นการประชันความอร่อยจากร้านอาหารทั่วโลกอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการตัดสินจากคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญในวงการอาหารของโลกกว่า 1,000 คน จึงไม่แปลกที่จะมีเชฟจากทั่วโลกมารวมตัวกันภายในงานนี้  และที่สำคัญเป็นการจัดงานในเอเชียครั้งแรกอีกด้วย

วันนี้ทีมงาน Mango Zero จึงขอเปิดวาร์ป “TOP 10 ร้านอาหารที่ดีที่สุดจากทั่วโลกจนคว้ารางวัล The World Best 50 Restaurants ปี 2019 ” ซึ่งในงานนี้ก็มีร้านอาหารจากประเทศไทยติดด้วยเช่นกัน จะมีร้านอาหารจากประเทศไหนได้รับรางวัลกันบ้าง ตามไปดูกันเลยค่ะ

อันดับ 1 Mirazur (ม็องตง, ฝรั่งเศส)

ขอแสดงความยินดีอีกครั้งให้กับร้านอาหาร Mirazur จากประเทศฝรั่งเศสที่คว้ารางวัลชนะเลิศร้านอาหารที่ดีที่สุดจากทั่วโลกของปี 2019 ได้สำเร็จ จุดเด่นของร้านอาหารร้านนี้เลย ก็คือ การพิถีพิถันคัดสรรเลือกวัตถุดิบต่างๆ อย่างมีคุณภาพ เพราะมีสวนผักและผลไม้ขนาดใหญ่เป็นของตัวเอง และใช้วัตถุดิบจากทะเลม็องตงสดๆ ขึ้นมาทำอาหารให้เราได้ดื่มด่ำกับประสบการณ์ พร้อมทั้งซึมซับบรรยากาศรอบๆ นั่นเอง ถือเป็นมนต์เสน่ห์แห่งวัฒนธรรมอิตาลี – อาร์เจนตินา ที่เชฟเมาโร โกลาเกรโก (Mauro Colagreco) ตั้งใจสร้างขึ้นมาจากประสบการณ์ตรง พร้อมกับถ่ายทอดผ่านในจานอาหาร

เมนูอาหารส่วนใหญ่มักได้รับแรงบันดาลใจจากทะเล ภูเขา และสวนของร้านอาหาร รวมถึงผลไม้รสเปรี้ยวของเมืองม็องตงอีกด้วย ทำให้อาหารดูดี มีพลัง มีสีสัน และรู้สึกสดชื่นในเวลาเดียวกัน

อันดับ 2 Noma (โคเปนเฮเกน, เดนมาร์ก)

กลับมาทวงบัลลังก์คืนอีกครั้งกับร้านอาหาร Noma ที่ก่อนหน้านี้ (กุมภาพันธ์ ปี 2560) ได้มีการปิดปรับปรุงร้านไปก่อนเปิดให้บริการอีกครั้ง ทำให้ Noma ได้รางวัลร้านอาหารหน้าใหม่ที่เข้ามาในลิสต์ในอันดับที่สูงที่สุดไปครองอย่างไม่ต้องสงสัย

“ความบริสุทธิ์ ความง่าย และความสดใหม่” คือ นิยามของร้านอาหารดังร้านนี้ ซึ่งมักจะทำอาหารสไตล์นอร์ดิกแบบใหม่ (New Nordic Food) โดยเน้นการทำอาหารจากวัตถุดิบชั้นยอดของท้องถิ่นตามฤดูกาลเป็นหลัก และผลัดเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เช่น ฤดูอาหารทะเล เริ่มวันที่ 9 มกราคม ถึง 1 มิถุนายน ฤดูกาลผัก เริ่มวันที่ 25 มิถุนายน ถึง 21 กันยายน และ ฤดูกาลล่าในป่า จะเริ่มในวันที่ 15 ตุลาคมถึง 21 ธันวาคม เป็นต้น

อันดับ 3 Asador Etxebarri (อัตซอนโด, สเปน)

ขอแสดงความยินดีอีกเช่นกันสำหรับร้านอาหาร Asador Etxebarri ที่สามารถขึ้นจากอันดับ 10 ในปีที่แล้ว สู่อันดับที่ 3 โดยความตั้งใจและความพยายามของเชฟ Victor ที่มีพรสวรรค์ทำให้วัตถุดิบที่ดูเรียบง่าย กลายเป็นรสชาติกลมกล่อมที่โดดเด่นจนยากที่จะลืม

Asador Etxebarri เป็นร้านอาหารย่างที่นำความมินิมอลที่แสนเรียบง่ายมาผสมผสานให้เข้ากับศิลปะในจานอาหาร จนทำให้อาหารมีรสชาติแบบธรรมชาติที่โดดเด่นได้อย่างน่าเหลือเชื่อ โดยส่วนใหญ่เชฟจะใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ รวมทั้งวิธีการในท้องถิ่นทำอาหารนั่นเอง เช่น ใช้ถ่านแบบต่าง ๆ ที่ทำจากไม้หลากหลายชนิด

อันดับ 4 Gaggan (กรุงเทพฯ, ไทย)

Gaggan ร้านอาหารหนึ่งเดียวในประเทศไทยที่ติด TOP 10 ร้านอาหารที่ดีที่สุดทั่วโลก แต่ก็ได้คว้ารางวัลอันดับ 2 ของร้านอาหารที่ดีที่สุดในเอเชีย (Asia’s 50 Best Restaurants of 2019) หลังจากเป็นแชมป์มา 4 สมัยซ้อน หากใครอยากลองทานสักครั้งในชีวิต ขอเเนะนำให้โทรจองคิวไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ค่ะ เพราะคิวแน่นมากๆค่ะ ยิ่งเป็นการการันตีความอร่อยของร้านอาหารร้านนี้อีกด้วย

Gaggan ร้านอาหารอินเดียนในตำนาน ความตื่นเต้นอยู่ที่เราจะไม่ทราบเมนูที่จะได้ทาน แต่เชฟจะบอกใบ้จากใบเมนูที่มีมาให้แต่อิโมจิเดากันไปต่างๆ นานา โดยทุกคนจะได้ทานคอร์ส 25 คำเหมือนๆ กันค่ะ ซึ่งก็จะมีบางเมนูที่เราต้องใช้มือทานอาหาร เพราะเป็นเอกลักษณ์ของอาหารอินเดียนั่นเองค่ะ

 

อันดับ 5 Geranium (โคเปนเฮเกน, เดนมาร์ก)

ร้านอาหารที่นำศิลปะมาผสมผสานกับอาหารจากธรรมชาติได้อย่างลงตัว จนถูกเรียกว่า “ศิลปะที่กินได้” ซึ่งถูกรังสรรค์ด้วยความละเอียดและประณีต โดยเชฟ Rasmus Kofoed ที่บรรจงใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไปในทุกเมนู ทำให้อาหารสไตล์สแกนดิเนเวียในแต่ละจานมีเอกลักษณ์ ความพิเศษด้วยลวดลายที่สวยงามและแตกต่างกัน

 

อันดับ 6 Central (ลิมา, เปรู)

ร้านอาหารพยานรักของเชฟ Virgilio Martinez และเชฟ Pia Leon คู่สามีภรรยาที่หลงใหลธรรมชาติ และความหลากหลายจากทั่วเมืองเปรู จึงร่วมกันสร้างร้านอาหารแห่งนี้ขึ้นมา พร้อมรังสรรค์ให้เป็นเมนูที่คาดไม่ถึง

เมนูสุดแปลก แต่น่าลองรับประทาน นั่นคือ หัวปลาปิรันย่าที่มีฟันแหลมคม และมีสีสันสดใส

 

อันดับ 7 Mugaritz (ซาน เซบาสเตียน, สเปน)

ร้านอาหาร Mugaritz ความอร่อยที่มีมาอย่างยาวนาน โดยเชฟ Andoni ที่มีฝีมือ และชี่ยวชาญในการทำอาหารสไตล์ “Techno-emotional Spanish” โดยการนำเอาเทคนิคการปรุงอาหารที่ทันสมัย สร้างสรรค์เป็นอาหารสไตล์โมเดิร์นที่เต็มไปด้วยจินตนาการ สวยงาม และมีรสชาติความอร่อยที่เป็นเอกลักษณ์

อีกหนึ่งความพิเศษ คือ ชื่อเมนูอาหาร ที่ถูกตั้งชื่อให้ดูลึกลับ น่าค้นหา ซึ่งอาหารในเมนูจะมีประมาณ 20-30 คอร์ส และเปลี่ยนไปตลอดตามฤดูกาล อาหารบางจานถูกสร้างสรรค์ขึ้นมา เพื่อท้าทายการชิมรสชาติของนักชิมโดยเฉพาะ จึงไม่เหมาะสำหรับคนที่ไม่ทานพวกเครื่องในนั่นเอง

 

อันดับ 8 Arpège (ปารีส, ฝรั่งเศส)

เชฟในตำนานอย่าง Alain Passard ในประเทศฝรั่งเศส ได้เปลี่ยนร้านอาหารที่ส่วนใหญ่เป็นเมนูเนื้อๆ ให้กลายมาเป็นร้านอาหารของคนทานสายคลีนต้องปลื้ม เพราะเน้นเมนูผักเป็นอาหารจานหลักที่เสิร์ฟจากฟาร์มสดๆ ของเขาเอง อาหารมีสีสันสดใส น่ารับประทาน แม้จะใช้วัตถุดิบที่บางจานทำจากผักล้วนๆ นั่นเอง เพิ่มความหลากหลายของร้านอาหารด้วยการเปลี่ยนเมนูไปตามฤดูกาลด้วยนั่นเอง

 

อันดับ 9 Disfrutar (บาร์เซโลนา, สเปน)

ร้านอาหารบาร์เซโลนาที่ไม่เหมือนใคร สร้างความประหลาดใจ รวมทั้งประสบการณ์ให้ผู้ที่ลิ้มลองรสชาติตื่นเต้น และรู้สึกสนุกกับการชิมอาหารไปพร้อมๆ กัน เพราะหน้าตาอาหารแต่ละเมนูนั้น ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการบรรจงประดิษฐ์มากจริงๆ ค่ะ

 

อันดับ 10 Maido (ลิมา, เปรู)

ร้านอาหารที่ผสมผสานอาหารญี่ปุ่นและเปรูเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว เพิ่มความน่ากินด้วยรสชาติและสีสันสดใสตามธรรมชาติสไตล์เปรู

ที่มาภาพและข้อมูลจาก :  theworlds50best