category รู้จักกับ 'วิกฤตต้มยำกุ้ง' ปัญหาทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของไทยเมื่อปี 2540

Writer : Sam Ponsan

: 19 กรกฏาคม 2560

สำหรับคนที่อายุต่ำกว่า 20 ปีอาจจะจินตนาการไม่ออกว่าตอนที่ประเทศไทยเกิดปัญหาเศรษฐกิจครั้งใหญ่เมื่อปี 2540 นั้น เป็นอย่างไร แต่คนที่อายุ 25 ปีขึ้นไปน่าจะจำได้ดีว่าความเสียหายในวันนั้นส่งผลต่อประเทศไทยระดับไหน

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ 20 ปี ผ่านไปพอดีมีอะไรบ้างที่ประเทศไทยได้เรียนรู้และปรับตัวจากความบาดเจ็บครั้งก่อนที่สร้างมูลค่าหนี้ถึง 1.4 ล้านล้านบาท วันนี้หนี้ยังเหลืออยู่แค่ไหน นี่คือบทสรุปของ ‘วิกฤตต้มยำกุ้ง’ ที่เราขอกระซิบบอกเลยว่าวันนี้ความเสียหายก็ยังคงอยู่

 

ก่อนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งไทยคือว่าที่ประเทศพัฒนา

tom-yam-kung-1

ก่อนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งไทยเคยเป็นประเทศที่มีการเติบโตของ GDP สูงที่สุดในโลกมาก่อน โดยธนาคารโลกระบุว่าตั้งแต่ปี 2528 – 2538 ไทยมีอัตราเติบโตของ GDP สูงที่สุดในโลกเฉลี่ยการเติบโตตลอด 10 ปีอยู่ที่ 10.40% ซึ่งเป็นการเติบโตระดับเลข 2 หลักที่หลังจากนั้นเราไม่เคยเห็นอีกเลย โดยเฉพาะปี 2531 GDP ของไทยเติบโตถึง 13.3% เติบโตมากจนใครก็อิจฉา ยอดการส่งออกของประเทศไทยก็มีมูลค่าสูงระดับเลข 2 หลักมาโดยตลอด 10 ปี ตั้งแต่ 2528 – 2538 มีรายได้เข้าประเทศระดับ 1 ล้านล้านบาทเมื่อปี 2537

tom-yam-kung-studies-2

ส่วนในตลาดหุ้นก็เติบโตอย่างมากปี 2536 มียอดซื้อขายในตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 2.2 ล้านล้านบาท จากเดิมที่ปี 2529 ตลาดหุ้นไทยมีมูลค่าการซื้อขายเพียง 3 หมื่นล้านบาท เรียกว่าเติบโตแบบก้าวกระโดดของแท้ ความที่เมืองไทยเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจโตมากและถูกมองว่าไทยกำลังจะเป็นประเทศที่พัฒนาเศรษฐกิจได้เร็วของเอเชีย ถึงขั้นถูกวางตำแหน่งให้เป็นว่าที่เสือตัวที่ 5 ของเอเชียถัดจากฮ่องกง สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และไต้หวัน

tom-yam-kung-studies-3

ปี 2536 ถือว่าไทยเริ่มเข้าสู่จุดพีคของการเติบโตทางเศรษฐกิจก็เพราะประเทศไทยเติบโตอย่างมากเพราะมีการลงทุนในประเทศอย่างมากมายทั้งในอสังหาริมทรัพย์ และตลาดหุ้น โดยนักลงทุนแทบทั้งหมดกู้เงินจากต่างชาติมาลงทุนในอัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่ากู้เงินกับสถาบันทางการเงินในไทยถึง 3 เท่า โดยดอกเบี้ยเงินกู้ของสถาบันการเงินในไทยอยู่ที่ 14 – 17% ต่อปี ขณะที่เงินกู้จากต่างประเทศดอกเบี้ยอยู่ที่ 5%

tom-yam-kung-studies-4

เหตุผลที่นักลงทุนสามารถกู้เงินจากต่างชาติมาลงทุนในประเทศได้ก็เพราะปี 2532 – 2537 รัฐบาลไทยเปิดนโยบายเสรีทางการเงินไม่จำกัดการไหลเข้าออกของลงทุนในประเทศ และในวันนั้นอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทกับเงินดอลลาร์อยู่ที่ 25 บาท/ดอลลาร์ สาเหตุที่รัฐบาลไทยปล่อยเสรีทางการเงิน เพราะฝ่ายบริหารประเทศคาดการว่าปี 2543 อังกฤษจะคืนเกาะฮ่องกง ให้กับรัฐบาลจีน ซึ่งขณะนั้นฮ่องกงเป็นหนึ่งในศูนย์การเงินของโลก การที่ฮ่องกงกลับเข้าสู่การปกครองของประเทศคอมมิวนิสถือเป็นช่องว่างที่ดีที่ไทยจะสอดแทรกเข้ามาเป็นศูนย์กลางทางการเงินแห่งใหม่แทนฮ่องกง ที่อาจจะวุ่นวายเรื่องการเปลี่ยนระบอบการปกครอง ไทยเลยอาศัยจังหวะนั้นเปิดนโยบายเสรีทางการเงินเพื่อหวังจะเป็นศูนย์การทางการเงินแทนฮ่องกง

tom-yam-kung-studies-5

ส่วนเงินกู้ที่กู้จากต่างชาติมาก็เอามาปล่อยกู้ต่ออีกทีโดยคิดดอกเบี้ยถูกกว่ากู้ธนาคาร, กู้มาเก็งกำไรด้วยการซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่มีการเติบโต, กู้มาลงทุนกับกองทุนต่างๆ ของธนาคาร หรือกู้มาซื้อที่ดิน ซึ่งความที่เงินสะพัดราคาสินทรัพย์ต่างๆ ก็เลยพุ่งขึ้น แต่ตอนนั้นจะแคร์ทำไม เงินมันหาง่าย โดยเฉพาะคนที่ทำงานในวงการธนาคาร วงการอสังหาริมทรัพย์ หรือในตลาดหุ้น การได้รับโบนัส 36 – 48 เดือนไม่ใช่เรื่องแปลก

เกิดวิกฤตต้มยำกุ้งไทยกลายเป็นคนป่วยที่ต้องรักษา

Chairman of Soros foundation George Soros attends the Avoided Deforestation Partners organization conference on a sidelines of the UN climate talks in Cancun December 8, 2010.The world's governments struggled on Wednesday to break a deadlock between rich and poor nations on steps to fight global warming and avert a new, damaging setback after they failed to agree a U.N. treaty last year in Copenhagen. REUTERS/Jorge Silva (MEXICOPOLITICS ENVIRONMENT - Tags: ENVIRONMENT POLITICS) - RTXVJQ2

ปี 2539 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยเริ่มตกต่ำ และส่งสัญญาณว่าเงินทุนกำลังจะขาด ต่างชาติไม่ต่อสัญญากู้เงินให้กับผู้กู้เงินในไทย อีกทั้งเงินกู้ทั้งหลายเป็นเงินกู้ระยะสั้นไม่เกิน 5 ปีที่เมื่อครบกำหนดต้องชำระทั้งต้นทั้งดอกเป็นเงินดอลลาร์ในวันที่กู้มานั้นอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 25 บาท/ดอลลาร์ ทว่าตอนนั้นเหล่ากองทุนรวมระหว่างประเทศต่างๆ ทั่วโลกผู้ถือเงินดอลลาร์ทั้งหลายนำโดยจอร์จ โซรอส เห็นว่าตอนนี้ลูกหนี้ในไทยใกล้ถึงกำหนดชำระหนี้แล้ว เลยรวมตัวกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนใหม่อยู่ที่ 50 บาทต่อดอลลาร์

tom-yam-kung-studies-7

แบงค์ชาตินำเงินคลังมาพยุงอัตราแลกเปลี่ยนไว้โดยเปิดให้แลกเงินในอัตรา 25 บาทต่อดอลลาร์ตามเดิม ทั้งที่อัตราแลกเปลี่ยนทั่วโลกคือ 50 บาทต่อดอลลาร์ (ก่อนที่ต้นปี 2541 จะพุ่งเป็น 56 บาทต่อดอลลาร์) ทว่าอุ้มอยู่แป๊บนึงก็ไม่ไหว สุดท้ายวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 รัฐบาลเรียกประชุมผู้บริหารธนาคารต่างๆ เพื่อบอกว่า “จะลอยตัวค่าเงินบาท…” ความวิบัติจึงเริ่มต้นตั้งแต่วันนั้น

tom-yam-kung-studies-8

จากความดื้อรั้นที่เอาเงินทุนสำรองไปพยุงค่าเงินบาทนอกจากจะทำให้เงินในคลังจะแทบหมดประเทศแล้วจากเดิมมีเงินในคลังเกือบ 40,000 ล้านดอลลาร์ ก็เหลือเพียง 2,500 ล้านดอลลาร์ คนที่กู้เงินจากต่างชาติมาก็กลายเป็นติดหนี้เพิ่มสองเท่าทันที คนที่เคยทำงานแวดวงการเงิน หรืออสังหาริมทรัพย์ล้มพังสร้างไม่เสร็จทิ้งอนุสรณ์ความเจ็บปวดไว้ให้ดูต่างหน้า คนตกงานมากมาย เจ้าของธุรกิจหลายรายฆ่าตัวตายแทบจะรายวัน

tom-yam-kung-studies-9

ด้านหนี้สิ้นของประเทศไทยก้อนมหาศาลก็เริ่มต้นหลังจากนั้น ด้วยความที่รัฐบาลไทยมีนโยบาย ‘สถาบันทางการเงินห้ามล้ม’ จึงกู้เงิน ‘กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน’ หรือ  FIDF สิริรวมแล้วเรามีหนี้รวมทั้งสิ้น 1,401,450 ล้านบาท มาพยุงสถาบันการเงินไม่ให้ล้ม บางส่วนก็ได้บริษัทต่างชาติควบรวมกิจการไป

tom-yam-kung-studies-10

รัฐบาลไทยยังกู้เงินจาก ‘กองทุนการเงินระหว่างประเทศ’ หรือ IMF อีก 5.1 แสนล้านบาท เพื่อนำเงินมาเป็นทุนสำรองในคลังซึ่งขณะนั้นเหลือเพียง 2,500 ล้านดอลลาร์ โดยเงินส่วนใหญ่ก็ถูกเอาไปใช้เพื่อพยุงสถาบันทางการเงินอีกเช่นกัน นอกจาก IMF รัฐบาลในขณะนั้นคือหมดเครดิตกู้เงินใครไม่ได้อีกแล้ว หรือจะซื้อของจากใครก็ไม่ได้เลยเพราะเงินในคลังไม่สามารถการันตีเสถียรภาพของการชำระหนี้ได้

tom-yam-kung-studies-11

สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งหลังคนตกงานมหาศาล ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในสังคม ที่เห็นชัดคืออดีตพนักงานบริษัทหรือคนเคยรวยก็ยังดิ้นรนกันต่อไปในการทำมาหากิน และเกิดตลาดนัดคนเคยรวยที่เปิดท้ายรถขายของ

tom-yam-kung-studies-12

โชคดีที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยช่วยเข้ามาพลิกฟื้นประเทศได้บ้างโดยแคมเปญ Amazing Thailand ในปี 2541 คือแคมเปญแรกที่เรียกนักท่องเที่ยวมาเที่ยวเมืองไทยเพียงปีเดียวมีนักท่องเที่ยวเข้าประเทศไทยกว่า 9.5 ล้านคนซึ่งถือว่าช่วยชาติได้อย่างมาก และนักท่องเที่ยวก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน

tom-yam-kung-studies-13

ระหว่างนั้นมีการจัดตั้งกองทุน ‘ผ้าป่าช่วยชาติ’ โดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโณ ซึ่งรับบริจาคเงินดอลลาร์จากผู้มีจิตศรัทธาทั่วประเทศได้ถึง 2 พันล้านบาท และทองคำอีก 1.8 ตัน ไปบริจาคเข้าเงินคลังของประเทศเพื่อพยุงสภาพคล่องของรัฐบาล

tom-yam-kung-studies-14

ปี 2543 สภาพเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นฟู มีการนำเอาปรัชญาเศรษกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มาบรรจุในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 9 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยก็ออกนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวต่อเนื่อง และกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นหรือ OTOP ซึ่งปี 2546 รัฐบาล ก็จ่ายหนี้ก้อนสุดท้าย 6 หมื่นล้านบาทที่กู้มาจาก IMF ได้สำเร็จ แต่อย่าลืมว่าเรายังเหลือหนี้ก้อนใหญ่ 1.4 ล้านล้านบาทอยู่ ที่ขณะนั้นยังจ่ายเงินคืนไปได้ไม่ถึงไหน

หลังวิกฤตต้มยำกุ้งผ่านไปประเทศไทยเป็นอย่างไร

tom-yam-kung-studies-15

20 ปีผ่านไปบางคนอาจเข้าใจว่าประเทศไทยไม่ได้เป็นหนี้ที่เกิดจากวิกฤตต้มยำกุ้งแล้วเพราะชดใช้ให้ IMF หมดแล้ว แต่ความจริงแล้วไม่เลย…เรายังคงเป็นหนี้ใน ‘กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน’ อยู่มหาศาล โดยตั้งแต่ปี 2542 จนถึงวันนี้ผ่านไปเราจ่ายหนี้ที่ค้างอยู่ไปเพียง 33.61% ของหนี้ทั้งหมดเท่านั้น ยังเหลือหนี้ก้อนใหญ่อีก 930,288 ล้านบาท

tom-yam-kung-studies-16

สำหรับหนี้ก้อนใหญ่นั้นแบ่งการชำระออกเป็นรัฐบาลจ่ายดอกเบี้ย และแบงค์ชาติจ่ายเงินต้น ซึ่งปีที่ผ่านมาเราเพียงจ่ายดอกเบี้ยไปกว่า 40,200 ล้านบาท มองอย่างเห็นภาพคือ 18 ปีจ่ายหนี้ไปไม่ถึงครึ่ง แล้วเมื่อไหร่หนี้ก้อนนี้ถึงจะหมด หากมองหนี้ทั้งหมดเป็นหนี้สาธารณะตอนนี้คนไทยทุกคนเป็นหนี้กันคนละ 14,153 บาท พูดง่ายๆ คือตอนนี้ใครเกิดมาปุ๊บเป็นหนี้ปั๊บทันที สำหรับนโยบายที่จะหาเงินไปใช้หนี้ก้อนโตนั้นยังไม่ทราบว่ามีแผนชำระหนี้ได้อย่างไรและเมื่อไหร่ถึงจะหมด

tom-yam-kung-studies-17

แม้วันนี้เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวมาดีกว่าเมื่อ 20 ปีก่อนก็จริงทว่าเราไม่สามารถกลับไปยังจุดเดิมที่ประเทศไทยเคยเศรษฐกิจเฟื่องฟูได้อีกแล้ว ตอนนี้เศรษฐกิจของไทยถือว่าเติบโตได้อย่างทดถอยผิดกับเพื่อนบ้านรอบๆ ปี 2548 – 2558 เศรษฐกิจไทยโตเพียง 32% ขณะที่ประเทศอื่นๆ ในอาเซียนไปไกลกว่าเราเท่าตัว ธนาคารโลกคาดการว่าอีก 20 ปีข้างหน้าหากไทยยังเป็นเช่นนี้อยู่เราจะกลายเป็นประเทศที่เติบโตล้าหลังกว่าทุกชาติในอาเซียนแบบเทียบไม่ติด และกลายเป็น ‘คนป่วยใหม่แห่งเอเชีย’ แน่นอน

tom-yam-kung-studies-18

สรุปคือเราได้เรียนรู้อะไรจากวิกฤตต้มยำกุ้งที่ผ่านมาหรือไม่ คำตอบน่าจะชัดเจนแล้วว่าเราอาจแทบไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย หากใครอยากเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับบทเรียนสำคัญของปัญหาระดับชาติ ขอแนะนำให้ไปศึกษาเพิ่มเติมได้ที่นิทรรศการ ต้มยำกุ้งวิทยา : วิชานี้อย่าเลียน ที่มิวเซียมสยามได้จนถึง 23 กรกฎาคมนี้ เข้าชมฟรี

เรียงเรียงโดย – ทีมงาน Mango Zero

tom-yam-kung-1

ก่อนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งไทยเคยเป็นประเทศที่มีการเติบโตของ GDP สูงที่สุดในโลกมาก่อน โดยธนาคารโลกระบุว่าตั้งแต่ปี 2528 – 2538 ไทยมีอัตราเติบโตของ GDP สูงที่สุดในโลกเฉลี่ยการเติบโตตลอด 10 ปีอยู่ที่ 10.40% ซึ่งเป็นการเติบโตระดับเลข 2 หลักที่หลังจากนั้นเราไม่เคยเห็นอีกเลย โดยเฉพาะปี 2531 GDP ของไทยเติบโตถึง 13.3% เติบโตมากจนใครก็อิจฉา ยอดการส่งออกของประเทศไทยก็มีมูลค่าสูงระดับเลข 2 หลักมาโดยตลอด 10 ปี ตั้งแต่ 2528 – 2538 มีรายได้เข้าประเทศระดับ 1 ล้านล้านบาทเมื่อปี 2537

tom-yam-kung-studies-2

ส่วนในตลาดหุ้นก็เติบโตอย่างมากปี 2536 มียอดซื้อขายในตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 2.2 ล้านล้านบาท จากเดิมที่ปี 2529 ตลาดหุ้นไทยมีมูลค่าการซื้อขายเพียง 3 หมื่นล้านบาท เรียกว่าเติบโตแบบก้าวกระโดดของแท้ ความที่เมืองไทยเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจโตมากและถูกมองว่าไทยกำลังจะเป็นประเทศที่พัฒนาเศรษฐกิจได้เร็วของเอเชีย ถึงขั้นถูกวางตำแหน่งให้เป็นว่าที่เสือตัวที่ 5 ของเอเชียถัดจากฮ่องกง สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และไต้หวัน

tom-yam-kung-studies-3

ปี 2536 ถือว่าไทยเริ่มเข้าสู่จุดพีคของการเติบโตทางเศรษฐกิจก็เพราะประเทศไทยเติบโตอย่างมากเพราะมีการลงทุนในประเทศอย่างมากมายทั้งในอสังหาริมทรัพย์ และตลาดหุ้น โดยนักลงทุนแทบทั้งหมดกู้เงินจากต่างชาติมาลงทุนในอัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่ากู้เงินกับสถาบันทางการเงินในไทยถึง 3 เท่า โดยดอกเบี้ยเงินกู้ของสถาบันการเงินในไทยอยู่ที่ 14 – 17% ต่อปี ขณะที่เงินกู้จากต่างประเทศดอกเบี้ยอยู่ที่ 5%

tom-yam-kung-studies-4

เหตุผลที่นักลงทุนสามารถกู้เงินจากต่างชาติมาลงทุนในประเทศได้ก็เพราะปี 2532 – 2537 รัฐบาลไทยเปิดนโยบายเสรีทางการเงินไม่จำกัดการไหลเข้าออกของลงทุนในประเทศ และในวันนั้นอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทกับเงินดอลลาร์อยู่ที่ 25 บาท/ดอลลาร์ สาเหตุที่รัฐบาลไทยปล่อยเสรีทางการเงิน เพราะฝ่ายบริหารประเทศคาดการว่าปี 2543 อังกฤษจะคืนเกาะฮ่องกง ให้กับรัฐบาลจีน ซึ่งขณะนั้นฮ่องกงเป็นหนึ่งในศูนย์การเงินของโลก การที่ฮ่องกงกลับเข้าสู่การปกครองของประเทศคอมมิวนิสถือเป็นช่องว่างที่ดีที่ไทยจะสอดแทรกเข้ามาเป็นศูนย์กลางทางการเงินแห่งใหม่แทนฮ่องกง ที่อาจจะวุ่นวายเรื่องการเปลี่ยนระบอบการปกครอง ไทยเลยอาศัยจังหวะนั้นเปิดนโยบายเสรีทางการเงินเพื่อหวังจะเป็นศูนย์การทางการเงินแทนฮ่องกง

tom-yam-kung-studies-5

ส่วนเงินกู้ที่กู้จากต่างชาติมาก็เอามาปล่อยกู้ต่ออีกทีโดยคิดดอกเบี้ยถูกกว่ากู้ธนาคาร, กู้มาเก็งกำไรด้วยการซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่มีการเติบโต, กู้มาลงทุนกับกองทุนต่างๆ ของธนาคาร หรือกู้มาซื้อที่ดิน ซึ่งความที่เงินสะพัดราคาสินทรัพย์ต่างๆ ก็เลยพุ่งขึ้น แต่ตอนนั้นจะแคร์ทำไม เงินมันหาง่าย โดยเฉพาะคนที่ทำงานในวงการธนาคาร วงการอสังหาริมทรัพย์ หรือในตลาดหุ้น การได้รับโบนัส 36 – 48 เดือนไม่ใช่เรื่องแปลก

เกิดวิกฤตต้มยำกุ้งไทยกลายเป็นคนป่วยที่ต้องรักษา

Chairman of Soros foundation George Soros attends the Avoided Deforestation Partners organization conference on a sidelines of the UN climate talks in Cancun December 8, 2010.The world's governments struggled on Wednesday to break a deadlock between rich and poor nations on steps to fight global warming and avert a new, damaging setback after they failed to agree a U.N. treaty last year in Copenhagen. REUTERS/Jorge Silva (MEXICOPOLITICS ENVIRONMENT - Tags: ENVIRONMENT POLITICS) - RTXVJQ2

ปี 2539 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยเริ่มตกต่ำ และส่งสัญญาณว่าเงินทุนกำลังจะขาด ต่างชาติไม่ต่อสัญญากู้เงินให้กับผู้กู้เงินในไทย อีกทั้งเงินกู้ทั้งหลายเป็นเงินกู้ระยะสั้นไม่เกิน 5 ปีที่เมื่อครบกำหนดต้องชำระทั้งต้นทั้งดอกเป็นเงินดอลลาร์ในวันที่กู้มานั้นอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 25 บาท/ดอลลาร์ ทว่าตอนนั้นเหล่ากองทุนรวมระหว่างประเทศต่างๆ ทั่วโลกผู้ถือเงินดอลลาร์ทั้งหลายนำโดยจอร์จ โซรอส เห็นว่าตอนนี้ลูกหนี้ในไทยใกล้ถึงกำหนดชำระหนี้แล้ว เลยรวมตัวกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนใหม่อยู่ที่ 50 บาทต่อดอลลาร์

tom-yam-kung-studies-7

แบงค์ชาตินำเงินคลังมาพยุงอัตราแลกเปลี่ยนไว้โดยเปิดให้แลกเงินในอัตรา 25 บาทต่อดอลลาร์ตามเดิม ทั้งที่อัตราแลกเปลี่ยนทั่วโลกคือ 50 บาทต่อดอลลาร์ (ก่อนที่ต้นปี 2541 จะพุ่งเป็น 56 บาทต่อดอลลาร์) ทว่าอุ้มอยู่แป๊บนึงก็ไม่ไหว สุดท้ายวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 รัฐบาลเรียกประชุมผู้บริหารธนาคารต่างๆ เพื่อบอกว่า “จะลอยตัวค่าเงินบาท…” ความวิบัติจึงเริ่มต้นตั้งแต่วันนั้น

tom-yam-kung-studies-8

จากความดื้อรั้นที่เอาเงินทุนสำรองไปพยุงค่าเงินบาทนอกจากจะทำให้เงินในคลังจะแทบหมดประเทศแล้วจากเดิมมีเงินในคลังเกือบ 40,000 ล้านดอลลาร์ ก็เหลือเพียง 2,500 ล้านดอลลาร์ คนที่กู้เงินจากต่างชาติมาก็กลายเป็นติดหนี้เพิ่มสองเท่าทันที คนที่เคยทำงานแวดวงการเงิน หรืออสังหาริมทรัพย์ล้มพังสร้างไม่เสร็จทิ้งอนุสรณ์ความเจ็บปวดไว้ให้ดูต่างหน้า คนตกงานมากมาย เจ้าของธุรกิจหลายรายฆ่าตัวตายแทบจะรายวัน

tom-yam-kung-studies-9

ด้านหนี้สิ้นของประเทศไทยก้อนมหาศาลก็เริ่มต้นหลังจากนั้น ด้วยความที่รัฐบาลไทยมีนโยบาย ‘สถาบันทางการเงินห้ามล้ม’ จึงกู้เงิน ‘กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน’ หรือ  FIDF สิริรวมแล้วเรามีหนี้รวมทั้งสิ้น 1,401,450 ล้านบาท มาพยุงสถาบันการเงินไม่ให้ล้ม บางส่วนก็ได้บริษัทต่างชาติควบรวมกิจการไป

tom-yam-kung-studies-10

รัฐบาลไทยยังกู้เงินจาก ‘กองทุนการเงินระหว่างประเทศ’ หรือ IMF อีก 5.1 แสนล้านบาท เพื่อนำเงินมาเป็นทุนสำรองในคลังซึ่งขณะนั้นเหลือเพียง 2,500 ล้านดอลลาร์ โดยเงินส่วนใหญ่ก็ถูกเอาไปใช้เพื่อพยุงสถาบันทางการเงินอีกเช่นกัน นอกจาก IMF รัฐบาลในขณะนั้นคือหมดเครดิตกู้เงินใครไม่ได้อีกแล้ว หรือจะซื้อของจากใครก็ไม่ได้เลยเพราะเงินในคลังไม่สามารถการันตีเสถียรภาพของการชำระหนี้ได้

tom-yam-kung-studies-11 สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งหลังคนตกงานมหาศาล ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในสังคม ที่เห็นชัดคืออดีตพนักงานบริษัทหรือคนเคยรวยก็ยังดิ้นรนกันต่อไปในการทำมาหากิน และเกิดตลาดนัดคนเคยรวยที่เปิดท้ายรถขายของ

 

tom-yam-kung-studies-12

โชคดีที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยช่วยเข้ามาพลิกฟื้นประเทศได้บ้างโดยแคมเปญ Amazing Thailand ในปี 2541 คือแคมเปญแรกที่เรียกนักท่องเที่ยวมาเที่ยวเมืองไทยเพียงปีเดียวมีนักท่องเที่ยวเข้าประเทศไทยกว่า 9.5 ล้านคนซึ่งถือว่าช่วยชาติได้อย่างมาก และนักท่องเที่ยวก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน

tom-yam-kung-studies-13

ระหว่างนั้นมีการจัดตั้งกองทุน ‘ผ้าป่าช่วยชาติ’ โดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโณ ซึ่งรับบริจาคเงินดอลลาร์จากผู้มีจิตศรัทธาทั่วประเทศได้ถึง 2 พันล้านบาท และทองคำอีก 1.8 ตัน ไปบริจาคเข้าเงินคลังของประเทศเพื่อพยุงสภาพคล่องของรัฐบาล

tom-yam-kung-studies-14

ปี 2543 สภาพเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นฟู มีการนำเอาปรัชญาเศรษกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มาบรรจุในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 9 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยก็ออกนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวต่อเนื่อง และกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นหรือ OTOP ซึ่งปี 2546 รัฐบาล ก็จ่ายหนี้ก้อนสุดท้าย 6 หมื่นล้านบาทที่กู้มาจาก IMF ได้สำเร็จ แต่อย่าลืมว่าเรายังเหลือหนี้ก้อนใหญ่ 1.4 ล้านล้านบาทอยู่ ที่ขณะนั้นยังจ่ายเงินคืนไปได้ไม่ถึงไหน

หลังวิกฤตต้มยำกุ้งผ่านไปประเทศไทยเป็นอย่างไร

tom-yam-kung-studies-15

20 ปีผ่านไปบางคนอาจเข้าใจว่าประเทศไทยไม่ได้เป็นหนี้ที่เกิดจากวิกฤตต้มยำกุ้งแล้วเพราะชดใช้ให้ IMF หมดแล้ว แต่ความจริงแล้วไม่เลย…เรายังคงเป็นหนี้ใน ‘กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน’ อยู่มหาศาล โดยตั้งแต่ปี 2542 จนถึงวันนี้ผ่านไปเราจ่ายหนี้ที่ค้างอยู่ไปเพียง 33.61% ของหนี้ทั้งหมดเท่านั้น ยังเหลือหนี้ก้อนใหญ่อีก 930,288 ล้านบาท

tom-yam-kung-studies-16

สำหรับหนี้ก้อนใหญ่นั้นแบ่งการชำระออกเป็นรัฐบาลจ่ายดอกเบี้ย และแบงค์ชาติจ่ายเงินต้น ซึ่งปีที่ผ่านมาเราเพียงจ่ายดอกเบี้ยไปกว่า 40,200 ล้านบาท มองอย่างเห็นภาพคือ 18 ปีจ่ายหนี้ไปไม่ถึงครึ่ง แล้วเมื่อไหร่หนี้ก้อนนี้ถึงจะหมด หากมองหนี้ทั้งหมดเป็นหนี้สาธารณะตอนนี้คนไทยทุกคนเป็นหนี้กันคนละ 14,153 บาท พูดง่ายๆ คือตอนนี้ใครเกิดมาปุ๊บเป็นหนี้ปั๊บทันที สำหรับนโยบายที่จะหาเงินไปใช้หนี้ก้อนโตนั้นยังไม่ทราบว่ามีแผนชำระหนี้ได้อย่างไรและเมื่อไหร่ถึงจะหมด

tom-yam-kung-studies-17

แม้วันนี้เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวมาดีกว่าเมื่อ 20 ปีก่อนก็จริงทว่าเราไม่สามารถกลับไปยังจุดเดิมที่ประเทศไทยเคยเศรษฐกิจเฟื่องฟูได้อีกแล้ว ตอนนี้เศรษฐกิจของไทยถือว่าเติบโตได้อย่างทดถอยผิดกับเพื่อนบ้านรอบๆ ปี 2548 – 2558 เศรษฐกิจไทยโตเพียง 32% ขณะที่ประเทศอื่นๆ ในอาเซียนไปไกลกว่าเราเท่าตัว ธนาคารโลกคาดการว่าอีก 20 ปีข้างหน้าหากไทยยังเป็นเช่นนี้อยู่เราจะกลายเป็นประเทศที่เติบโตล้าหลังกว่าทุกชาติในอาเซียนแบบเทียบไม่ติด และกลายเป็น ‘คนป่วยใหม่แห่งเอเชีย’ แน่นอน

tom-yam-kung-studies-18

สรุปคือเราได้เรียนรู้อะไรจากวิกฤตต้มยำกุ้งที่ผ่านมาหรือไม่ คำตอบน่าจะชัดเจนแล้วว่าเราอาจแทบไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย หากใครอยากเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับบทเรียนสำคัญของปัญหาระดับชาติ ขอแนะนำให้ไปศึกษาเพิ่มเติมได้ที่นิทรรศการ ต้มยำกุ้งวิทยา : วิชานี้อย่าเลียน ที่มิวเซียมสยามได้จนถึง 23 กรกฎาคมนี้ เข้าชมฟรี

เรียบเรียงโดย – ทีมงาน Mango Zero

Writer Profile : Sam Ponsan
นักเขียนหนุ่มสุดเท่ที่ชื่นชอบการขี่มอเตอร์ไซค์เป็นชีวิตจิตใจ ขนาดฝนตกยังยอมขี่รถตากฝนเลยเพราะคิดว่าทำแล้วเท่ งานอดิเรกของเขาคือการไปออกกำลังกายเพราะเชื่อว่าทำแล้วเท่ ปัจจุบันก็ยังชอบทำ Content อะไรเท่ๆ ลงเว็บ Mango Zero ด้วย แหม่...เท่จริงๆ
Blog : Social Media : Facebook, Twitter
View all post

[Covid-19 Phenomena] 12 New Normal ในมุมเศรษฐกิจ หลังผ่านพ้นวิกฤตโควิดระบาด


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save