Mango Zero

รีวิว Thor: Love and Thunder เมื่อรบก็ไม่พัก แต่รักก็จะพบ จึงดลให้ ‘สายฟ้าและหัวใจ’’มาบรรจบกลายเป็นอาวุธใหม่อันทรงพลังงงง!

 

รีวิว Thor: Love and Thunder เมื่อรบก็ไม่พัก แต่รักก็จะพบ จึงดลให้ ‘สายฟ้าและหัวใจ’’มาบรรจบกลายเป็นอาวุธใหม่อันทรงพลังงงง!

เรื่องราวบทใหม่ของธอร์ ใน “Thor: Love and Thunder” ที่หลังจากได้สู้รบกับตัวบอสอย่างธานอสจนเสร็จสิ้น เขาก็ได้เลือกออกไปตามหาความสงบสุขในแดนไกลโพ้น แต่ทว่าภัยอันตรายกลับคืบคลานเข้ามาเมื่อ “กอร์” (Gorr) นักสังหารเทพเจ้า ได้ป่าวประกาศว่าจะคร่าชีวิตของเทพเจ้าทุกคนให้หมดสิ้น เมื่อธอร์รู้ข่าว จึงต้องออกเดินทางสายบู๊อีกครั้ง กับภารกิจปราบวายร้ายกอร์ ก่อนที่เทพเจ้าทั่วทุกถิ่นแดนจะดับสูญ 

ซึ่งหลังจากทีม Mango Zero ได้มีโอกาสไปดูมาแล้ว วันนี้เลยจะมารีวิวเนื้อเรื่องแบบฉบับสบาย ๆ ไม่หลุดสปอยล์เป็นข้อมูลให้ทุกคนได้ตัดสินใจก่อนจะไปดูกัน~

 

 

ความเห็นสำหรับเนื้อเรื่องโดยรวม ค่อนข้างดูง่าย คลายเครียด เหมาะกับการฟื้นแผลใจจากความบอบช้ำใน Avengers: Endgame เป็นอย่างมาก เพราะเปิดเรื่องมาด้วยการเล่าภูมิหลังของธอร์ให้แบบเสร็จสรรพ ใครที่ไม่ใช่แฟนหนังธอร์ก็สามารถมาดูได้โดยแทบไม่ต้องตามดูภาคก่อนหน้า บวกกับเนื้อเรื่องมีการผูกปมของตัวร้ายตามสไตล์มาร์เวล ตบท้ายด้วยการคลายปมแบบเข้าใจง่าย ดูจบแบบอิ่มเอมใจ ไม่ต้องคอยปาดน้ำตา👍🏻

และตัวละครแต่ละตัวเฉลี่ยบทออกมาให้ผู้ชมได้ดูแบบลงตัว ทั้ง ธอร์ โอดินสัน (รับบทโดย คริส เฮมส์เวิร์ธ), เจน ฟอสเตอร์ (รับบทโดย นาตาลี พอร์ตแมน), ราชาวัลคีรี (รับบทโดย เทสซ่า ธอมป์สัน), Korg มอนสเตอร์โครนัน (ให้เสียงโดยไทก้า ไวทีที), ตัวร้ายที่ขาดไม่ได้อย่าง กอร์ (รับบทโดย คริสเตียน เบล) และเหล่า Guardians of the Galaxy ที่แอบมาแจมด้วยตอนต้นเรื่องให้คนรักผู้พิทักษ์ได้หายคิดถึงกัน บทบาทของแต่ละคนยังเติมเต็มเนื้อเรื่องได้ดี โดยที่ไม่ได้มาแค่เพื่อสร้างสีสัน แต่ทุกตัวละครล้วนมีความหมาย หากขาดตัวใดตัวหนึ่งไป ก็คงไม่สนุกขนาดนี้

 

 

คีย์เวิร์ดสำคัญที่ภาคนี้จับมาเล่นอย่าง “อัสนี” ที่แปลว่า “สายฟ้า” พลังคู่ใจของตัวเอกธอร์ ที่เรียกได้ว่านำมาสร้างสรรค์เป็นเรื่องราวใหม่ได้อย่างดี เพราะนอกจากธอร์แล้วนั้น เจน แฟนเก่าของธอร์ ก็พลันได้มาใช้พลังนี้ด้วยสาเหตุบางอย่าง และหลายคนคงจะสงสัยกันว่าทำไมอยู่ดี ๆ คนที่ไม่ได้เป็นแม้แต่เทพเจ้าอย่างเจน ถึงสามารถใช้ค้อนธอร์ได้ แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะไปดูเฉลยได้ในเรื่อง

ต่อกันด้วยเรื่องของ “หัวใจ” ของทั้งสอง เจน-ธอร์ ที่ได้ก่อเกิดความรู้สึกปิ๊งรักดั่งวันวานขึ้นมาหลังเลิกรากันไปนานหลายปี แต่ความรู้สึกครั้งนี้กลับต้องมีอุปสรรคมาขัดขวาง เช่นภัยคุกคามจากตัวร้ายที่ต้องกำจัดอย่างกอร์ แต่อย่างไรก็ตาม ทั้ง “หัวใจ” และ “สายฟ้า” ก็ได้ทำหน้าที่ต่อกันและกันได้ดีเยี่ยม (ซึ่งถ้าพูดก็จะเป็นการสปอยล์ไป เอาเป็นว่ารอไปเป็นพยานความหวานกันในโรงเองดีกว่า)

 

 

ในส่วนของฉากแอคชั่น พูดง่าย ๆ ว่า “ไม่มีคำว่าผิดหวัง” อยู่ในพจนานุกรมฉบับมาร์เวล! เพราะสรรค์สร้างการฟาดฟันกันระหว่างฝ่ายธอร์และกอร์ได้น่าตื่นตาตื่นใจสุด ๆ และฉากต่อสู้อื่นที่ถึงแม้จะมีไม่กี่วินาที แต่รายละเอียดและการออกแบบฉากก็คุ้มค่าแก่การวางสายตามาก รวมถึงฉากชาร์จพลังของธอร์ ที่พี่เค้าจัดให้แบบเต็มเหนี่ยว ทั้งแปลก แหวกแนว และอลังการงานสร้าง จนตอนดูต้องแอบตะโกนในใจว่า โคตรเท่เลยพี่!!!

และบอกเลยว่าภาคนี้เน้นให้ตัวละครโชว์ของกับอาวุธคู่ใจกันแบบสุดดด ทั้งขวานสตอร์มเบรกเกอร์ของ ธอร์ ค้อนโยเนียร์ของเจ้าของคนใหม่อย่าง เจน ฟอร์สเตอร์ หรือจะเป็นสายฟ้าฟาดไม่ยั้งของ เทพเจ้าซุส ที่เรียกได้ว่าแต่ละคนนั้นควงอาวุธกันแบบเมามันส์ จับตาแทบไม่ทันกันเลยทีเดียว

 

 

แต่ก็พลาดไม่ได้ถ้าจะไม่พูดถึงความตลกที่สอดแทรกมาในหนัง ด้วยเพราะเป็นเอกลักษณ์การกำกับของ ไทก้า ไวทีที (Taika Waititi) ที่ชอบใส่มุกฮามาเป็นระยะ ๆ บวกกับฝีมือของเหล่านักแสดง ที่ตบมุกโบ๊ะบ๊ะกันอย่างมีจังหวะ รับรองว่าต้องมีขำไม่ต่ำกว่า 3 มุก! 

ซึ่งส่วนตัวชอบมากกับเจ้าแพะ 2 ตัวยักษ์ที่ผู้กำกับ ไทก้า ได้เคยออกความเห็นแบบขำ ๆ ไว้ว่า “ใส่ไปในหนังแบบไม่มีเหตุผล” แต่ความจริงแล้วบอกได้เลยว่ามีเหตุผลแน่นอน และเป็นเหตุผลที่จะมาสร้างความฮา และสร้างสีสรรค์ตลอดทั้งสองชั่วโมงแบบไม่มีหยุด

และสุดท้ายสำหรับใครที่อยากรู้ว่ามี End Credit มั้ย ก็ขอกระซิบไว้ตรงนี้เลยว่ามี 2 อัน! หนังจบอย่าพึ่งรีบลุกออก แล้วนั่งดูต่อกันก่อน เพราะ End Credit อาจจะมีเซอร์ไพรส์อะไรบางอย่างก็ได้นะ