“เป็นหนังที่โรแมนติกที่สุดเรื่องหนึ่ง เป็นหนังที่วิพากษ์สังคมและระบบชนชั้นได้ดีที่สุดเรื่องหนึ่ง เป็นหนังที่สะท้อนความหยามเหยียดสีผิวที่เข้าถึงที่สุดเรื่องหนึ่ง เป็นหนังที่พูดถึงเรื่อง LGBT ได้มีมิติที่สุดเรื่องหนึ่ง เป็นหนังที่เราอยากให้ทุกคนได้ดู และคิดว่านี่เป็นหนังที่ดีมากๆ เรื่องหนึ่ง” ภายใต้หน้าหนังที่ดูแฟนตาซี โลกนิยายความรักของสาวใบ้กับสิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาด เผินๆ เหมือนพล็อตหนังการ์ตูนดิสนีย์โฉมงามกับเจ้าชายอสูร แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่กลับเต็มไปด้วยสิ่งที่ให้เรามาคิดต่อและย้อนมองดูสังคมที่เราอยู่ หนังเรื่องนี้สร้างให้เกิดขึ้นในช่วง 1960s ที่สังคมหรือธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ ถูก Shape ให้ชายเหนือกว่าหญิง คนผิวขาวเหนือกว่าผิวสี เกย์เลสเบี้ยนเป็นพวกแปลกแยก รวมถึงทวีปเอเชียที่เป็นรองยุโรป(และแน่นอนว่าอเมริกาย่อมดีที่สุด) แต่น่าเศร้าเมื่อตัดภาพมาที่ปัจจุบัน การ Shape เหล่านี้ยังไม่ได้หายไปไหน จากตัวผู้กำกับเองก็ตั้งใจให้เรื่องนี้สะท้อนถึงสังคมปัจจุบันที่ตั้งแต่ยุค 1960 มาจน 2018 ทุกสิ่งยังคงเดิมและยังจะดำเนินต่อไปแบบนี้ (ถึงการ Shape บางอย่างอาจเบาบางลงบ้าง แต่แน่นอนว่ายังคงอยู่) สิ่งที่เราอยากให้ไปดูใน The Shape of Water หนังรักแฟนตาซี ที่วิพากษ์ความโหดร้ายของสังคมได้ละมุนที่สุด 1. ความสวยงามของความรัก (The Shape of Love) ถ้าเคยดู Beauty and the Beast ไม่ว่าจะการ์ตูนหรือเวอร์ชั่นคนแสดง เราจะได้เห็นถึงความรักที่ไม่เกี่ยวกับรูปร่างชาติพันธุ์ภายนอก เป็นความรักที่เกิดจากจิตใจ ซึ่งคล้ายกับเรื่อง The Shape of Water ที่ภารโรงหญิงใบ้ผู้ทำงานให้ห้องแล็บของรัฐบาลดันไปหลงรักกับอมนุษย์ใต้น้ำผู้ถูกคุมขังเพื่อศึกษาโดยมนุษย์ผู้วิเศษวิโส เนื้อเรื่องดำเนินไปแบบนั้น ให้เราเห็นความสัมพันธ์แปลกประหลาดระหว่างมนุษย์ใบ้กับสิ่งมีชีวิตใต้น้ำ ภาษามือที่ถูกใช้เพื่อการสื่อสาร และอาหารอย่างไข่ต้มธรรมดาๆ กลายเป็นสายใยของความรักครั้งนี้ ในกรอบที่สังคมเราเป็นอยู่กับอีแค่ความรักที่ไม่ใช่ระหว่างชาย-หญิง ก็ถือเป็นสิ่งที่แปลกปลอมแล้วจะนับอะไรกับหญิงใบ้กับปลา? แต่ย้อนมองกลับไปหน่อย ใครกันหรอที่สร้างรูปแบบให้ความรักต้องลงเอยด้วยข้อจำกัดแค่นี้ แม้กระทั่งมีไหมใครที่กำหนดว่าเซ็กที่ถูกต้องคือแบบไหน ทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างไร้รูปแบบ เหมือนกับที่ผู้กำกับพูดไว้ ว่า “Love is real—absolutely real—and, like water, it is the most gentle and most powerful force in the Universe. It is free and formless until it pours into its recipient, until we let it in. Our eyes are blind. But our soul is not. It recognizes love in whatever shape it comes to us.” ความรักเป็นเหมือนน้ำ อ่อนโยนแต่เปี่ยมด้วยพลังงาน เป็นอิสระและไม่มีรูปร่าง..จนกระทั่งเราเอาภาชนะไปกรอบให้กับมันนั่นแหละ ในหนังเรื่องนี้เลยเป็นมุมสวยงามของความรักอีกมุม ที่ถึงจะออกมาเป็นหญิงใบ้กับอมุษย์ใต้น้ำ แต่ระหว่างดูเราจะไม่ได้กระอักกระอ่วนกับสิ่งนี้เลย เพราะทุกอย่างมันย้อนกลับไปที่ความรักนั่นเอง 2. ความแตกต่างทางชนชั้นและสิทธิ (The Shape of Right) ตั้งแต่เด็กเราจะได้ยินคำว่าสิทธิเสรีภาพกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศประชาธิปไตย(ของบางประเทศ) คำว่าสิทธิเสรีภาพลอยล่องอยู่กลางอากาศ(แต่ดันจับต้องไม่ได้) เป็นนามธรรมที่พยายามแค่ไหนก็ไม่สามารถออกมาเป็นรูปธรรม แม้กระทั่งอเมริกาเองที่ถึงจะเป็นประเทศประชาธิปไตยแต่ในยุคหนึ่งคนผิวสีก็ยังไม่สามารถลงเลือกตั้งได้ด้วยซ้ำ กลับมาในแง่ของหนังที่เล่าถึงยุค 1960s ตำแหน่งใหญ่โตยังเป็นของเพศชายอยู่อย่างเห็นได้ชัด และชัดยิ่งกว่าก็คือเรื่องการกดขี่ ที่ยิ่งชนชั้นผู้น้อยลงไปแค่ไหนก็มีโอกาสถูกเหยียดหยามได้มากเท่านั้น (จากที่เห็นในหนัง) หรือแม้แต่เรื่องสีผิวที่ในยุคนั้นคนผิวสียังไม่มีสิทธินั่งกินอาหารในร้านของคนขาว (ทั้งๆ ที่นั่งก็ว่างทั้งร้าน!) หนังไม่ได้เล่าประเด็นเหล่านี้เป็นเรื่องหลัก แต่เพราะเรื่องสิทธิต่างๆ มันแทรกอยู่ในทั้งเนื้อเรื่องของหนัง เลยยิ่งทำให้มันดูเป็นความปกติธรรมดาที่เราต้องเผชิญ และยิ่งน่าคิดเข้าไปใหญ่ว่าเออแล้วตอนนี้ในปี 2018 เราอยู่กันแบบไหนกันนะ? 3. ความโคตรเพอร์เฟ็กต์ของการแสดง และโปรดักชั่น (The Shape of Movie) ดูเครียดจังกับสองข้อที่ผ่านมา แต่จริงๆ แล้วหนังมันน่ารักมากเลย มันคือความสวยงามแฟนตาซีมากกกกกกกๆๆ ตลอดเวลาที่ดูเราจะได้อิ่มไปกับการแสดงของตัวละคร (ที่เล่นดีทุกตัวจนงง อยากให้ทุกคนในเรื่องได้ออสการ์ไปนอนกอด) นางเอก(Sally Hawkins) ที่เล่นเป็นคนใบ้ได้โคตรจะใบ้ หรือเพื่อนนางเอก(Octavia Spencer) ที่เห็นผลงานกันมาแล้วจากเรื่องอื่นๆ อย่าง The Help เป็นต้น ในเรื่องนี้ก็มาสร้างสีสันได้สนุกมันฮามากๆ องค์ประกอบต่างๆ ของหนัง ทั้งแสงสีเสียง เพลงประกอบ อาร์ตไดเรกชั่น พร็อพต่างๆ เสื้อผ้า หน้าผม ลงตัวไปหมดเลยยย แม้กระทั่งการออกแบบตัวอมนุษย์ใต้น้ำ ก็ยังทำออกมาได้แบ๊วๆ มาพร้อมร่างกายกำยำแต่ดวงตาแบ๊วมาก เป็นต้น พล็อตหนังไม่ได้แปลกใหม่ แต่เอาคนดูอยู่ตลอดการชม เราอยากดูความสวยงามนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนถึง End credit และเมื่อหนังจบแล้วเรายังอยากกลับมาหาข้อมูลต่อยอดไปเรื่อยๆ ได้อีก ไม่อยากให้พลาดกัน ไปดูแล้วมารอลุ้นกันว่าจะได้ไปครองกี่ออสการ์