เมื่อเข้าสู่วัยทำงาน หรืออยู่ในวงการมนุษย์เงินเดือนมาสักพัก หลายคนก็เลือกที่จะเดินในทางที่วางไว้เองด้วยการทำสตาร์ทอัพ หรือเริ่มต้นทำธุรกิจของตัวเอง
ยิ่งใครที่กำลังดูซีรีส์ Startup แล้วอยากจะทำธุรกิจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็ยิ่งมีไฟ อยากพัฒนาตัวเองเพื่อให้สตาร์ทอัพประสบความสำเร็จแบบซัมซานเทค แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้ระหว่างทาง ก็คือการเริ่มต้น
มาดูกันว่าเทรนด์ในการทำสตาร์ทอัพแบบไหนที่กำลังเติบโตในปี 2020 และจะมาแรงต่อไปในปี 2021
Artificial Intelligence (AI) : มีผู้ช่วยเป็นเทคโนโลยี
AI และ Machine learning มีบทบาทในธุรกิจมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจด้านเทคโนโลยี และจะมีบทบาทมากขึ้นอีกในปี 2021
AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์ คือระบบประมวลผล ที่สามารถวิเคราะห์เชิงลึกได้ จึงสามารถทำงานบางอย่างที่คล้ายกับมนุษย์ได้ เช่น การแปลภาษา การเก็บข้อมูลจำนวนมาก การโต้ตอบเบื้องต้น และการประมวลผลจากข้อมูล ช่วยประหยัดเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ธุรกิจ
ธุรกิจสตรีมมิ่งอย่าง Netflix เองก็มีการใช้ AI ในการเก็บข้อมูลของผู้ใช้เพื่อประมวลผลออกมาให้ตรงความต้องการของผู้ใช้แต่ละคน เช่น เก็บข้อมูลหนังที่มีคนดูบ่อย ประมวลผลออกมาเป็นการจัดอันดับหนังยอดนิยม เก็บข้อมูลประเภทหนังที่ผู้ใช้ดูบ่อย ประมวลออกมาเป็นหนังแนะนำสำหรับผู้ใช้คนนั้น
รวมไปถึงเฟซบุ๊กที่แท็กคนในรูปได้โดยที่เราไม่ต้องพิมพ์ชื่อเอง หรือ Spotify ที่แนะนำเพลงได้ตรงกับความชอบของเรา สิ่งเหล่านี้ก็เป็นผลงานของ AI เหมือนกัน
ตอนที่เราทักแชทไปซื้อของออนไลน์ หรือสอบถามข้อมูลจากเฟซบุ๊กเพจแล้วมีข้อความอัตโนมัติตอบกลับในทันที นั่นคือหนึ่งในการใช้ AI ในการทำธุรกิจ หรือที่เรียกว่า Chatbot
แม้ AI จะยังมีข้อจำกัดในการทำงานบางอย่าง แต่ในอนาคต AI จะสามารถทำงานได้ละเอียดและหลากหลายมากขึ้นอีก เหมือนกับที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาจากหลายปีก่อน ในอนาคตเป็นไปได้ที่ AI จะสามารถคัดเลือก Resume สมัครงาน ไปจนถึงถามและตอบคำถามได้เลย
Cloud : เก็บข้อมูลไว้ที่ไหนก็ได้
ด้วยข้อมูลจำนวนมหาศาลจนไม่รู้จะไปเก็บไว้ที่ไหน ทั้งรูป ทั้งไฟล์ ถ้าเก็บไว้ในโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ต้องมีเมมเต็มกันมั่งแหละ จึงต้องมีสิ่งที่เรียกว่าคลาวด์ หรือบริการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลบนออนไลน์ ที่ใช้กันบ่อยๆ ก็คือ Dropbox Google Drive และ iCloud จาก Apple
นอกจากเก็บข้อมูลแล้วยังรวมไปถึงการประมวลผล และการให้บริการซอฟต์แวร์ ซึ่งช่วยประหยัดงบในการลงทุนซื้อ Hardware และ Software และเพิ่มความสะดวกในการจัดเก็บและเข้าถึงข้อมูล ธุรกิจคลาวด์จึงมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นและเติบโตได้อีก
Virtual Reality : แบบจำลองและของจริง
หลังจากมีโรคระบาด COVID-19 หลายธุรกิจก็เริ่มปรับตัวเพื่อพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง ในการใช้ชีวิตแบบ New Normal กันมากขึ้น Virtual Reality (VR) และ Augmented Reality (AR) ก็เป็นอีกเทคโนโลยีหนึ่งที่ลดข้อจำกัดด้านพื้นที่และการเดินทาง
VR ภาพเสมือนจริงที่จำลองภาพและเสียงมาอยู่ตรงหน้า เพียงแค่ใส่อุปกรณ์ VR ในรูปแบบแว่น เช่น
- การเล่นเกมแบบ VR แค่ใส่แว่นก็เหมือนว่าเราได้เข้าไปอยู่ในสถานที่ในเกมจริงๆ
- Google Street View จำลองภาพสถานที่จริง แค่ใส่แว่นก็เหมือนได้ลงไปเดินจริงๆ
- การชมห้องตัวอย่างหรือนิทรรศการแบบไม่ต้องเดินทางไปสถานที่จริง
AR เทคโนโลยีที่นำภาพเสมือนมาไว้ในโลกจริง โดยประมวลผลผ่านอุปกรณ์สื่อสารอย่างโทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ต ก็จะเห็นเป็นวัตถุ 3 มิติ อยู่ตรงหน้า เช่น
- ภาพจำลองของสินค้า แม้จะไม่มีสินค้าจริง แต่ลูกค้าก็สามารถเห็นตัวสินค้า ทั้งขนาดและรายละเอียด จริง
- ป้ายบอกทางเสมือนจริง เพียงแค่ใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายไปที่ถนน ก็จะมีลูกศรนำทางไปยังจุดหมายที่ต้องการ
Social Impact : สร้างความปังในสังคมออนไลน์
ประเด็นที่มีการพูดถึงในโซเชียลมีเดียมีโอกาสที่จะแพร่หลายเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว การใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางหนึ่งในการแจ้งเกิด หรือสร้างการรับรู้และมีส่วนร่วมจากผู้ใช้ ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยให้ธุรกิจสตาร์ทอัพเป็นที่รู้จักมากขึ้น
สามารถทำได้ทั้งการสร้างแคมเปญที่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม หรือสร้างคอนเทนต์ที่ดึงดูดการมีส่วนร่วม (ในทางที่ดี) จากผู้คน เช่นคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นสังคม จะช่วยให้ธุรกิจของเราเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ไม่ว่าผู้มีส่วนร่วมจะเป็นลูกค้าของเราโดยตรง หรือเป็นลูกค้าของลูกค้าเราอีกที สิ่งเหล่านี้ก็จะช่วยสร้างคุณค่าให้ธุรกิจของเราได้
ที่สำคัญคือต้องทำธุรกิจอย่างมีจริยธรรมจริงๆ และคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมระยะยาวมากกว่าผลประโยชน์ทางธุรกิจระยะสั้น ธุรกิจของเราก็มีแนวโน้มที่จะเติบโตได้ในระยะยาว
ที่มา