หลังจากในการประชุมอภิปรายไม่ไว้วางใจ ณ รัฐสภา ที่ นายวิโรจน์ ลักขณาอิศร ส.ส.พรรคก้าวไกล ได้เปิดอภิปรายถึงกรณีการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ที่ล่าช้าและกระจุกตัว
ล่าสุด นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรางสาธารณสุขได้ออกมาชี้แจงและจัดการแถลงข่าวร่วมกับ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และนพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ โดยสรุปเป็นข้อ ๆ ดังนี้
- หลังจากที่ประเทศไทยสามารถควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อ และการระบาดในระลอก 2 ได้ แม้จะช้าไปบ้าง แต่ขั้นตอนต่อไปคือการใช้วัคซีน
- สธ.วางเป้าหมายใช้วัคซีนเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันระดับประเทศ จึงเน้นความครอบคลุม จึงเตรียมการให้เร็วที่สุดเท่าที่จะนำได้ โดยจำนวน 63 ล้านโดสถือว่าสูงที่สุด
- ด้านการเตรียมการเรื่องวัคซีน เริ่มตั้งแต่ช่วงเม.ย. โดยวางไว้ 3 รูปแบบ คือ การสนับสนุนวิจัยในประเทศ การทำความร่วมมือในการวิจัยกับต่างชาติ และการจัดหาวัคซีนโดยตรง
- สิ่งสำคัญที่ประเทศไทยวางเป้าหมายไว้คือ การถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต
- ช่วงเดือน ก.ค. – ส.ค. แอสตราเซเนกา เริ่มหาผู้ผลิตวัคซีนต่อ และพบว่าสยามไบโอไซเอนซ์มีความเหมาะสม จึงเจรจาจองซื้อ และจะถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้ไทย
- ทางแอสตราเซเนกา เชื่อมั่นในศักยภาพของสยามไบโอไซเอนซ์ พร้อมทั้งเริ่มถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้ตั้งแต่เดือน ต.ค. ที่ผ่านมา ภายใต้เงื่อนไขผลิตเพื่ออาเซียน
- การจองซื้อวัคซีนทุกเจ้าต้องจ่ายเงินบางส่วน แต่ความต่างคือของแอสตราเซเนกาจ่ายค่าจองเป็นส่วนหนึ่งของค่าวัคซีน การอภิปรายในสภาให้ข้อมูลไม่ครบถ้วนอาจเกิดความเข้าใจผิดได้
- ข่าวลือที่ระบุว่ามีบริษัทวัคซีนของอินเดียมาเสนอขายให้ประเทศไทย ไม่เป็นความจริง
- ขอให้มั่นใจในศักยภาพคนไทยที่ไม่แพ้ใครในโลก เราไม่จำเป็นต้องมีวัคซีนหลายชนิด แต่ขอให้มีวัคซีนจำนวนมากพอ ครอบคลุมประชากร ฉีดวัคซีนได้คุณภาพ
- เป้าหมายการบริหาจัดการวัคซีนคือ 1.ลดอัตราการป่วยและตาย 2.ปกป้องระบบสุขภาพของประเทศ 3.ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
- เป้าหมายการฉีดวัคซีน เริ่มจาก 2 ล้านโดสของซิโนแวค สำหรับผู้เสี่ยงสูง ในเดือน ก.พ. – เม.ย. 64 จากนั้น 63 ล้านโดสจะดำเนินการใน 7 เดือน ตั้งเป้าโรงพยาบาลพร้อมฉีด 1,000 แห่ง ฉีดได้วันละ 30,000 คน ปีละ 10 ล้านคน
- กรณีราคาวัคซีนแอสตราเซเนกาที่ไทยซื้อแพงกว่าอียูและสหรัฐฯ เนื่องจากรวมค่าสนับสนุนการวิจัยที่ได้รับจากแต่ละประเทศมาหักเป็นค่าวัคซีน ทำให้ราคาแต่ละประเทศไม่เท่ากัน
ที่มา The Bangkok Insight