‘สรยุทธ สุทัศนะจินดา’ อดีตผู้ประกาศข่าวที่ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคนี้กลับมารายงานข่าวอีกครั้งหนึ่งผ่านเฟซบุ๊คไลฟ์ หลังมีปัญหาเรื่องคดีความจนต้องถอนตัวออกจากรายการ ‘เรื่องเล่าเช้านี้’ การกลับมาของเขาได้รับการจับตามากเลยนะฮะท่านผู้ชม
สรยุทธ ส่งสัญญาณการกลับมาทำข่าวอีกครั้งเมื่อปลายเดือนธันวาคม ที่ผ่านมาหลังเขาเปิดเพจ ‘สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว’ พร้อมกับปล่อยคลิปการไลฟ์ครั้งแรกโดยใช้คำว่า ‘ทีมงานครอบครัวบันเทิง’ หรือนี่คือสัญญาณชัดเจนว่าเขากลับมาทำหน้าที่รายงานข่าวอีกครั้งของเขา
(ชมคลิปเบย)
ลาก่อยสื่อเก่า ‘สรยุทธ’ เลือกเล่าข่าวผ่าน Live
ประเด็นสำคัญที่ทำให้เราเฝ้าติดตามการทำงานของสรยุทธ คือการเห็นเขากลับมารายงานข่าวอีกครั้งที่ไม่ใช่บนทีวี เป็นการรายงานข่าว ‘น้ำท่วม’ ผ่านเฟซบุ๊คไลฟ์ แม้รูปแบบการนำเสนอจะเปลี่ยน แต่สิ่งที่เขาไม่เคยเปลี่ยนเมื่อต้องรายงานข่าวสดๆ เลยคือ
1.ลงพื้นที่รายงานความเคลื่อนไหว
2.เป็นตัวกลางในการประสานงานช่วยเหลือ
โดยเมื่อ 8 มกราคมที่ผ่านมา เขาลงพื้นที่ไปยังจุดที่น้ำท่วมและเริ่มรายงานข่าวทันที แม้ก่อนหน้านั้นจะมีหลายหน่วยงานประกาศรับสิ่งของและเงินบริจาคเพื่อนำไปช่วยเหลือคนในพื้นที่
แต่เสียงของสรยุทธ ดูเหมือนว่าจะดังกว่า ซึ่งก็เป็นปกติ เพราะในสมัยที่เขายังทำหน้าที่อ่านข่าว การเป็นตัวตั้งตัวตีเพื่อช่วยเหลือคนในพื้นที่ของสรยุทธ ก็กลบทุกหน่วยงานมิด มาวันนี้บนโลกออนไลน์ก็เช่นกัน เสียงเขายังดังกว่าอยู่ดีแม้จะมีทีหลัง
ส่วนคลิปการไลฟ์ สรยุทธ ยังคงลีลาการรายงานข่าวที่คุ้นเคย วลีเด็ดๆ ของเขาที่ว่า “ท่านผู้ชมฮะ” “ตอนนี้นะฮะ” มีครบ (แต่ไม่มี “วันนี้มาเลือกที่สุดของข่าว” หรือ “เลือกข่าวแชร์ออฟเดอะเดย์” นะ) รวมไปถึงการเข้าไปพูดคุยกับคนในพื้นที่อย่างจริงจัง เพื่อหาข้อมูล และเป็นกันเองก็ยังเป็นสิ่งที่เขาทำอย่างอัตโนมัติเป็นธรรมชาติ
โดยคลิปที่มีคนแชร์ และพูดถึงมากที่สุดคือ คลิปแรก ‘Live สดจากปากพนัง’ ความยาวเพียง 9.42 นาที แต่ขณะนี้มีคนชมไปล้านวิว และแชร์ไป 7 พันกว่าครั้ง ส่วนคลิปอื่นๆ ก็มียอดรับชมโดยเฉลี่ย 2 – 4 แสนวิว และแชร์หลักพันขึ้นไป ขณะที่ยอดไลค์เพจก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันอยู่ที่ 2 แสนไลค์
สรยุทธ ยังทำหน้าที่สื่อได้อีกหรือ?
กระแสที่เกิดขึ้นหลังจากเขาลงมารายงานสถานการณ์ผ่านเพจบุ๊คนั้นก็ทั้งชื่นชม และกร่นด่า แต่ดูเหมือนว่าเสียงชื่นชมจะดังกว่าอย่างมาก เพราะหลังจากที่เขาลงมารายงานสถานการณ์อย่างจริงจัง เพียงแค่คืนเดียวก็ทำให้คนนอกพื้นที่รับรู้ว่าสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้นั้น…ไม่เบาเลย
จ่าพิชิต ขจัดพาลชน แห่งเพจดราม่าแอดดิค แสดงความเห็นเกี่ยวกับการลงมาทำหน้าที่ ‘สื่อ’ ของสรยุทธ ในประเด็นที่มีคนตั้งคำถามถึงความไม่เหมาะสมที่จะทำหน้าที่สื่อของสรยุทธว่า
“หน้าที่แกตอนนี้ไม่เชิงสื่อ ซึ่งแกเคยระงับการปฎิบัติหน้าที่สื่อเพราะปัญหาเรื่องคดีความที่แกอยู่ในชั้นศาลอยู่ แต่ไอ้ที่แกทำอยู่ตอนนี้ มันก็ไม่เชิงสื่อ เหมือนแกเป็น influencer หรือคนที่มีอิทธิพลต่อสังคมสูง แกนำเสนออะไรแล้วเข้าถึงประชาชนและภาครัฐได้รวดเร็วและง่าย แกเลยใช้ที่แกมีตรงนี้มาช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนเพราะน้ำท่วม ณ เวลานี้ อย่าว่าแต่สื่อ หรือ influencer เลย พลเรือน ประชาชนทั่วไปอย่างเราๆ มีอะไรช่วยได้ก็ต้องช่วยกันครับ ถึงสรยุทธ จะปฎิบัติหน้าที่สื่อแบบเดิมไม่ได้ แต่เขาก็ปฎิบัติหน้าที่ในฐานะ influencer และประชาชนคนนึงที่อยากช่วยพ่อแม่พี่น้องที่เดือดร้อนได้นินา”
ขณะที่คนอื่นๆ ที่เห็นการลงมาลุยน้ำท่วมรายงานสถานการณ์ของสรยุทธ ส่วนใหญ่ก็ออกมาแสดงความเห็นในเชิงบวก แม้จะมีคนบอกว่าเขาไม่สมควรเป็นสื่อ เพราะติดคดีความ แต่ก็มีคนมาช่วยแก้ต่างให้ว่าสรยุทธ มีคดีความนั่นก็อีกเรื่อง แต่วันนี้สรยุธไม่ใช่ผู้ประกาศข่าวอีกแล้ว เขาก็เพียงแค่คนๆ หนึ่งที่เป็นที่รู้จัก แล้วลงไปในพื้นที่เพื่อรายงานความเคลื่อนไหวในพื้นที่เท่านั้น
อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่การชี้ชวนหรืออยากให้ด่วนตัดสินว่าใครถูกใครผิด เรื่องนี้อยากให้คนอ่านวิเคราะห์แล้วตัดสินใจด้วยตัวเอง
หรือ Online influencer คือผู้ทรงอิทธิมากกว่าสื่อเก่า
การกลับมารายงานข่าวของสรยุทธอีกครั้งโดยเลือกใช้ช่องทางออนไลน์ น่าจะเป็นการมาถึงในช่วงที่ถูกที่ถูกเวลา เพราะปีนี้ดูเหมือนว่าสื่อออนไลน์กำลังจะกลายเป็นพื้นที่นำเสนอข่าวแห่งใหม่ที่สื่อหลัก เริ่มหาทางที่จะเข้ามาทำในนามองค์กร แต่กลับกลายเป็นว่าคนที่เป็นระดับ influencer มีอิทธิพลมากกว่าสื่อเก่า
หากสังเกตดู การเติบโตของเพจสรยุทธ ที่เปิดขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ในฐานะ ‘ผู้สื่อข่าว’ นั้นมีการเติบโตอย่างมหาศาล เพียงแค่ 3 วันยอดไลค์ และยอดปฏิสัมพันธ์อื่นๆ ในเพจพุ่งทะยานระดับ 118,678.9% พุ่งแรงยิ่งกว่าน้ำป่าภาคใต้เสียอีก สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการรายงานข่าวบนออนไลน์ กำลังจะมีบทบาทมากว่าสื่อหลักเดิมแล้ว
สอดคล้องกับสิ่งที่ ‘นภพัฒน์จักษ์ อัตตนนท์’ ผู้สื่อข่าวหนุ่ม อัพสเตตัสว่า เขาไปฟังเสวนาเรื่องทิศทางสื่อในปี 2017 ที่ต่างประเทศ และสรุปสั้นๆ ว่าหากจะเป็นผู้ชนะในสื่อยุคนี้ต้อง 1.ถอดรหัส facebook Live ให้ได้ และ 2. ทำคลิปสั้นๆ มีคำอธิบายอยู่ทั้งในรูปแบบเสียงและภาพอินโฟกราฟฟิค ซึ่งนพจักร บอกว่าสรยุทธ ปลดล็อคข้อแรกได้แล้ว
น่าจับตามองมากๆ ว่าการเป็น influencer ของเจ้าพ่อคนข่าวในครั้งนี้ จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงการสื่อมวลชนไทยแค่ไหน หรือในอนาคตเราอาจจะเห็นช่องต่างๆ ส่งนักข่าวของตัวเองมาทำช่องทางของตัวเองก็เป็นได้ เพราะผู้สื่อข่าวบางคนทรงอิทธิพลมากกว่าสังกัดที่เขาอยู่
การใช้เฟซบุ๊คไลฟ์ของสรยุทธ อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนที่น่าติดตามต่อไปในอนาคตว่าเขาจะทำให้โลกของการรายงานข่าวบนโลกออนไลน์เปลี่ยนไปแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ น่าจะมีหลายสื่อ มองเห็นและน่าจะเริ่มขยับตัวเพื่อทำอะไรบางอย่าง