ปฎิเสธไม่ได้ว่ากว่า “เงือกน้อยผจญภัย” จะถูกนำเข้าฉายนั้นต้องผ่านพายุคลื่นโหมกระหน่ำมามาก ไม่ว่าจะความคาดหวังของฝันหวานวัยเยาว์ที่ถูกสานต่อครั้นเราโตเป็นผู้ใหญ่ ความหลากหลายที่ถูกนำมาแต่งเติมให้กับเรื่องราวที่คุ้นเคย ทำให้ “เงือกน้อยผจญภัย” เป็นเป้าสายตาจากผู้ชมทั้งเด็กและผู้ใหญ่จำนวนมาก และในทางเดียวกันก็เป็นเป้าของการถกถามของใครหลาย ๆ คน
เป็นอีกครั้งที่ดิสนีย์ได้หยิบยกเรื่องราวจากแอนิเมชันชื่อดัง “The Little Mermaid” มาดัดแปลงเป็นไลฟ์แอคชัน จึงเป็นเรื่องธรรมดาหากกำแพงความคาดหวังที่ถูกตั้งไว้จะสูงลิบลิ่ว บวกกับกระแสของไลฟ์แอคชันดิสนีย์ที่ค่อนข้างจะลุ่ม ๆ ดอน ๆ แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำตามความคาดหวังเหล่านี้ได้หรือไม่ เรามาดูกันดีกว่า!
พูดถึงนางเงือกน้อย เราก็ต้องนึกถึงแอเรียลเป็นอันดับแรก ซึ่งตัวชูโรงอย่าง Halle Bailey ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลย การแสดงของ Halle Bailey นับว่ามีเสน่ห์มาก เธออาจไม่ใช่แอเรียลพิมพ์เดียวกับแอนิเมชัน แต่ก็เป็นแอเรียลที่มีมุมซุกซน ขี้เล่น ช่างสงสัย และแทบจะเหมือนกับว่าเธอเป็นนางเงือกที่เพิ่งเคยได้ขึ้นมายังโลกมนุษย์ครั้งแรกเลยด้วยซ้ำ
มีตัวเอกแล้วก็ต้องมีตัวร้าย การแสดงของ Melissa McCarthy ในบทเออร์ซูล่าดีและสนุกมาก ๆ เป็นตัวร้ายที่มีความลึกลับ น่ากลัว ตัวมารดา แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชมได้อย่างเป็นธรรมชาติ (อีกสิ่งหนึ่งที่น่าชื่นชม จังหวะมุกตลกในเรื่องนี้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว) และฉากของวาเนสซ่าที่ Jessica Alexander เล่นนั้น เรียกว่ามาน้อยแต่สร้างความประทับใจได้มากสุด ๆ
นอกจากนี้แล้ว ยังมีแก๊งสรรพสัตว์ที่เคยสร้างความสงสัยและความข้องใจให้กับเหล่าคนดูด้วยความเสมือนจริงนั้น ก็ได้เสียงและการแสดงที่มีลูกเล่นช่วยไว้ได้เยอะมาก เซบาสเตียนและสกัตเติ้ลแทบจะแย่งซีนจากนักแสดงหลักไปได้เต็ม ๆ เรียกว่าเป็นคู่หูคู่ฮาเลยก็ยังได้
ส่วนเรื่องเพลงก็คงไม่ต้องพูดให้มากความ ดนตรีนับเป็นจุดเด่นของดิสนีย์มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ดนตรีมีความฮึกเหิมยิ่งใหญ่สมกับเป็นภาพยนตร์มิวสิคัล Halle ก็สามารถขับร้องบทเพลงไซเรนของแอเรียลได้อย่างไม่มีที่ติ
นอกจากนี้ยังมีเพลงที่ถูกนำมาเรียบเรียงและเปลี่ยนเนื้อเพลงให้เหมาะกับยุคสมัยอย่าง Kiss the Girl (ชาวมะม่วงชื่นชอบเพลงนี้มาก) ที่ฟังสนุก แปลกใหม่แต่ไม่ทิ้งลายของเก่าเลย
สิ่งหนึ่งที่น่าเสียดายของภาพยนตร์เรื่องนี้เห็นจะเป็นความสับสนของดิสนีย์ ที่ยังหาจุดลงตัวระหว่างความแฟนตาซีและความสมจริงในไลฟ์แอคชันไม่เจอ ทำให้หลายครั้งบางฉากก็ดูสมจริงเกินไปจนขาดความวิเศษ แต่พอฉากมีความแฟนตาซี ก็ดูไม่ลงรอยเพราะขัดกับความสมจริงก่อนหน้า หากดิสนีย์สามารถหาจุดยืนของตัวเองได้ คงช่วยให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ชวนฝันขึ้นได้มากแน่นอน
และถึงแม้ว่าในแง่การแสดงและบทเพลงจะดี แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังมีความ “ผิดที่ผิดทาง” ในการนำเสนอและเล่าเรื่องอยู่พอสมควร คงเป็นเพราะการเล่าเรื่องและเรียงลำดับภาพที่คล้ายคลึงกับละครเวทีมากกว่า (โปรดิวเซอร์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ต่างล้วนกำกับหนัง / ละครเวทีมิวสิคัลกันมาแล้วทุกคน)
พอนำปัจจัยเหล่านี้มาอยู่ในรูปแบบของภาพยนตร์จึงดูขาด ๆ เกิน ๆ ไม่สมเหตุสมผลในบางจุด จนทำให้ออกมาดูตลกโดยไม่ได้ตั้งใจอยู่บ่อยครั้ง บวกกับความสมจริงบ้าง ไม่สมจริงบ้างของภาพยนตร์ ที่อาจทำให้คนดูเสียอรรถรสในการรับชมไปพอสมควร
ใด ๆ ก็แล้วแต่ สำหรับชาวมะม่วงแล้ว “The Little Mermaid” อาจไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ดีที่สุด แต่ถือว่าเป็นไลฟ์แอคชันของดิสนีย์ที่มา “ถูกทาง” แม้จะเผชิญกับความกังขามากมายก่อนเปิดฉาย แต่ก็นับว่าเป็นหนึ่งในไลฟ์แอคชันของดิสนีย์ที่ดูแล้วสนุก หัวเราะตามได้ แม้จะมีจุดที่ทำให้ข้องใจ แต่ก็ได้การแสดงที่สนุกสนานช่วยไว้ได้มาก