เดือนนี้ใครที่มีวันหยุดพักร้อนเหลือ แต่ไม่รู้จะไปเที่ยวไหน แมงโก้ซีโร่ขอนำเสนอ หมู่เกาะทะเลพม่า สดใหม่จัง ยังไม่ช้ำ ผู้เขียนเพิ่งมีโอกาสไปเที่ยวที่นี่มาหมาดๆ ขอบอกว่าในโลกใต้น้ำที่นี่มันช่างสวยงามยิงกว่าดูคลิป 4K ที่ถ่ายใต้น้ำจากกล้องโกโปรฮีโร่ 5 ซะอีก เทียบจากการที่เคยไปออกทริปดำน้ำตื้นในอดีตมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2545 ไม่ว่าจะเป็นฝั่งทะเลอันดามัน หมู่เกาะสิมิลัน, หมู่เกาะห้อง, อ่าวมาหยา, ทะเลแหวก, เกาะหลีเป๊ะ หรือแม้กระทั่งฝั่งอ่าวไทย เกาะแสมสาร,เกาะล้าน, เกาะเสม็ด ฯลฯ ทริปดำน้ำตื้นที่หมู่เกาะพม่า ยกให้เป็นอันดับหนึ่งเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นความสวยงามของปะการัง และความหนาแน่นของหมู่มวลปลามัจฉานุทั้งหลาย วิวใต้น้ำนี่ระดับเหมือนหลุดมาจากเรื่อง Finding Nemo เลยทีเดียว
ให้ข้อมูลกันก่อนนิดนึง คนทั่วไปอย่างเราๆ ที่ไม่ได้ซื้อเรือสปีดโบ้ทไว้ใช้งานส่วนตัว (แหงล่ะ) การดำน้ำเที่ยวที่เกาะพม่าจึงจำเป็นต้องอาศัยบริษัททัวร์เท่านั้น ยกเว้นแต่ว่าคุณมีญาติเป็นแอเรียล ลิตเติ้ลเมอร์เมด หรือกลุ่มโจรสลัดมนุษย์เงือกจินเบ เท่านั้น คุณถึงจะเดินทางไปดูปะการังและปลาต่างๆ ตามเกาะได้ด้วยตนเอง และถึงแม้เป็นญาติกับคนเหล่านี้ คุณก็ต้องซื้อทัวร์อยู่ดีจ้า เพราะว่าบริษัททัวร์แต่ละเจ้าก็ต้องไปบิทงานประมูลสัมปทานนักท่องเที่ยวในแต่ละเกาะกับทางรัฐบาลพม่าเท่านั้น ใครที่ไม่ได้ชนะการประมูลแล้วเนียนๆ ไปเที่ยวไปดำน้ำเล่นเอง อาจถูกรัฐบาลพม่านวดเอาได้นาจา
บริษัททัวร์แต่ละเจ้าก็จะมีราคาที่แตกต่างกันไปตามระยะทางของเกาะที่เค้าพาเราไปเที่ยว รวมถึงอาหารกลางวันต่างๆ บางเจ้าบุฟเฟ่ต์พรีเมี่ยม บางเจ้าเป็นข้าวกล่อง บางเจ้าลูกค้าต้องดำน้ำไปจับปลามาทำกินเองก็มี (อันนี้ประชด) แต่ทัวร์ที่ผู้เขียนเลือกไปเที่ยวรอบนี้เป็นของบริษัทเจซีทัวร์เป็นของคนไทย ทัวร์นี้มีความอเมซิ่งตรงที่ลูกทัวร์นอกจากจะมีคนไทยกับคนจีนที่นิยมมาใช้บริการแล้ว ก็ยังมีคนจากประเทศพม่ามาแจมทริปด้วยนี่แหละ โดยข้ามมาซื้อทัวร์จากฝั่งไทย และนั่งเรือกลับไปดำน้ำเที่ยวที่พม่าอีกที เพราะไม่มีทัวร์ขายจากฝั่งพม่า ประหลาดแท้แม้ไม่ทาอะไร (ไม่เกี่ยว)
ทัวร์ที่เราไปรอบนี้ เรียกว่าทัวร์ 4 เกาะพม่า มีเกาะไฮไลท์ชื่อว่าเกาะหัวใจมรกต เป็นสิ่งที่ใครต่อใครร่ำลือกันหนักหนา ว่าถ้ามาทริปดำน้ำพม่าต้องมาดูเกาะหัวใจดวงนี้ให้ได้ ไม่ไปเกาะนี้เหมือนมาไม่ถึงพม่า ส่วนอีก 3 เกาะที่เหลือก็มีเกาะเกือกม้า เกาะตาฟุก และเกาะย่านเชือก พอซื้อทัวร์เสร็จก็พาตัวเองมาขึ้นเรือที่ท่าเรือจังหวัดระนองให้ได้ตามวันและเวลาที่กำหนดเท่านั้นเป็นพอ
จุดนัดพบของเรากับทัวร์คือ “ท่าเทียบเรือแกรนด์อันดามัน” จังหวัดระนอง เป็นสถานที่ที่เราต้องทำเอกสารผ่านแดนจากฝั่งไทยเพื่อขอข้ามไปฝั่งพม่า โดยระหว่างรอ เราก็เห็นบรรดาป้าๆ ทำเรื่องขอข้ามแดนกันอีกเพียบ แต่การแต่งตัวคือรู้ทันทีเลยว่าป้าไม่ได้จะไปดำน้ำกับเราด้วยแน่นอน บางคนนี่พกเครื่องรางนำโชคออกมาไหว้กันเป็นกำๆ ตามด้วยเสียงที่สบถให้กำลังใจตัวเองกันเป็นระยะ “เฮงๆๆ วันนี้ต้องเฮง”
เพลงในหัวนี่ลอยมาเลย “คิดเอาไว้ว่าใช่ ต้องใช่แน่ๆ” มาสืบรู้ทีหลังว่าบนเกาะสนและเกาะสองของพม่า (ใกล้ๆ ระนอง) มีโรงเรียนสอนคณิตศาตร์เบื้องต้นเชิงประยุค ใครบวกเลขเข้าใกล้เลข 9 ได้มากที่สุด ถือว่าเป็นผู้มีบุญ ก็เลยเข้าใจแบบถึงบางอ้อ แอบเสียดายอยู่เหมือนกันนะ ถ้ารู้ว่าไฮไลท์ของการมาเยือนพม่าไม่ใช่ในน้ำ แต่อยู่บนบกแต่แรกคงไม่เสียเวลาไปดำน้ำดูปะการังแบบนี้แน่นอน
หลังจากแยกย้ายจากคุณป้าทั้งหลายแล้ว เราก็ได้แต่สวดภาวนาให้วันนี้เป็นวันของป้า และไกด์ของเราก็พาลูกทัวร์ทั้งหลายฝ่าคลื่นลมทะเลไทยข้ามฝากไปฝั่งพม่า น่าประหลาดมากที่ลมบนเรือที่ปะทะเรือนร่างของเรากลับไม่ร้อนเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่เป็นหน้าร้อน อย่างที่บอกไว้ตอนต้นว่าผู้เขียนเคยไปดำน้ำมาหลายที่ แต่ที่พม่านี่ก็เป็นอีกที่นึงที่ไม่เพลียกับความร้อนของทะเลเลยตลอดการเดินทาง จะว่าเรือสปีดโบ้ทเปิดแอร์ทิ้งไว้ก็ไม่น่าใช่
เกาะแรกที่ไปถึงคือเกาะเกาะฮอร์สชู (Horse Shoe Island) เกาะนี้ไกด์แนะนำก่อนจะเดินทางถึงว่าเป็นเกาะที่มีริมชายหาดสวยมาก ทรายขาวนิ่มละมุนเหมือนผงแป้ง สะอาดไร้การบุกรุก เช้าๆ แบบนี้ยังปราศจากรอยเท้าของมนุษย์บนเกาะแน่นอน เรานี่ตื่นเต้นที่จะได้ลงไปสัมผัสหาดทรายและประทับรอยเท้าเป็นคนแรกแทบใจจะขาด
แต่ปรากฎว่าไกด์บอกเราว่าเกาะนี้ให้นักท่องเที่ยวดำน้ำได้อย่างเดียว ทางการพม่าไม่อนุญาตให้ลงไปเดินเล่นหน้าหาดได้ไม่ว่ากรณีใด เลยเป็นเหตุให้หน้าหาดที่นี่ไม่เคยมีใครได้มาเหยียบนอกจากเจ้าหน้าที่อุทยาน…แล้วไม่ทราบว่าพี่จะบรรยายความสวยของหาดทรายเพื่อ !? แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะข้างใต้ทะเลก็สวยจนทำให้เราลืมความโกรธลงไปได้
นี่คือ Mother of the all ดอกไม้ทะเล เยอะมาก แต่เราถ่ายไม่ติดนีโม เพราะพวกเขาออกไปตามหาดอรี่กันอยู่ (จะบ้าเหรอ)
ตามด้วยมวลมหาประชาปลา ว่ายกันพึ่บพั่บไปหมด
พี่ไกด์บอกเราว่า 90% ของปลาที่เห็นคือปลาที่คนพม่าปล่อยลงทะเลตอนแก้กรรมสะเดาะเคราะห์กัน (ไม่ใช่และ)
ดำน้ำไปได้ซักพัก ก็เหลือบไปเห็นปลาปักเป้าสายพันธุ์ไจแอนท์ เธอทำหน้าเหวี่ยงใส่เรา เพราะเราเข้าไปใกล้ลูกมันเกินไป สังเกตุดีๆ จะเห็นลูกมันในเฟรมด้วยนะ
ตามมาด้วยปลาปักเป้าอีกสายพันธุ์นึง หน้าเหวี่ยงกรอกตามองบนไม่แพ้ตัวเมื่อกี๊ สายพันธุ์อะไรไม่รู้เหมือนกัน เพราะเราคุยกับไกด์ใต้น้ำไม่รู้เรื่อง
และนี่คือ “ปะการังอะไรก็ไม่รู้” ไกด์ไม่ได้บอกอีกแล้ว
และหมู่มวลปะการัง “อ่อน” ที่รอวันพัฒนาเป็นปะการัง “โยน” (มั่วสุดๆ)
หอยมือเสือที่นี่ใหญ่มาก กะขนาดด้วยสายตาน่าจะมีสองฟุตกว่าได้เลย พี่ไกด์เล่าให้ฟังว่า แกเคยเห็นปลาเข้าไปสำรวจข้างในปากของมัน และเจ้าปลาตัวนั้นก็ไม่เคยออกมาอีกเลย สงสัยจะติดใจ (แต่เราคิดว่าน่าจะเป็นปุ๋ยทะเลไปแล้วล่ะ)
ต้องบอกเลยว่าเกาะนี้ปลาแน่นมาก จะว่ายไปทางไหนก็ชนตัวเราตลอดเวลา
ปลาการ์ตูนก็มีให้เห็นเต็มไปหมดแทบจะทุกกอของดอกไม้ทะเลเลยทีเดียว ไอ้ตัวที่เห็นในรูปเหมือนจะชื่อพันธุ์มะเขือเทศมั้ง ไกด์บอกมาทีนึงแต่จำไม่ได้แหล่ว ปลาเยอะจัด T___T
และนี่คือปะการังจาน แต่ดูขนาดของมันแล้วน่าจะเรียกปะการังจานดาวเทียมมากกว่า ใหญ่สุดพลัง
เห็นหน้าตาเหมือนเจดีย์แบบนี้ แต่มันคือหนอนฉัตร เวลาเราทำน้ำกระเพื่อมใส่ มันก็จะหุบร่มหนีเราโดยไว นักท่องเที่ยวเยอะขนาดนี้ วันๆ นึงคิดว่าคงหุบเข้าออกไม่ต่ำกว่าร้อยครั้งแน่นอน แทบอยากซื้อยาคลายกล้ามเนื้อให้กินเลยทีเดียว
หลังจากโผล่ขึ้นสู่ผิวน้ำ ไกด์ก็พาเราเดินทางมาที่เกาะต่อไปซึ่งเป็นเกาะไฮไลท์ที่ถูกแชร์และพูดถึงอย่างถล่มทลายมากที่สุดเมื่อช่วงปีสองปีที่แล้วนั่นก็คือ “เกาะหัวใจมรกต”
เกาะนี้เป็นเกาะที่มีรูปทรงเป็นหัวใจและน้ำด้านในจะใสเป็นสีเขียวมรกต พอไกด์ประกาศว่าโค้งข้างหน้าเลี้ยวไปแล้วจะเจอเกาะหัวใจมรกตแล้ว ทุกคนบนเรือควักกล้องมารอถ่ายกันพึ่บพั่บ และนี่ภาพเกาะหัวใจมรกตอันงามที่เราถ่ายไว้ได้บนเรืออย่างสวยงามและตราตรึงใจ
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อยากถ่ายเกาะหัวใจมรกตให้สวยๆ จงซื้อโดรนมาถ่าย หลังจากที่ทุกคนบนเรือกำลังตั้งสติกันอยู่ พี่ไกด์ก็บรรยายไปเรื่อยๆ แกบอกว่าเกาะนี้จะเข้าไปด้านในเข้าได้ทางเดียว คือต้องมุดรูที่เราเห็นข้างหน้านี่แหละเข้าไป ไม่มีเชือกหรืออะไรนำทางทั้งสิ้น ต้องเป็นวันที่น้ำลงเท่านั้นถึงจะเข้าไปได้ สมัยก่อนเกาะนี้เป็นเกาะที่มีภูเขาไฟปะทุอยู่ และยังไม่เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่พอเกิดแผ่นดินไหวจนแผ่นเปลือกโลกดันตัวขึ้น พวกแร่ธาตุต่างๆ จึงพั่งพรูขึ้นมาในรูนี้มากมาย รวมถึงพวกสัตว์แปลกๆ และกัลปังหาที่พบเห็นได้เฉพาะทะเลน้ำลึก ก็ถูกแผ่นดินไหวดันมันขึ้นมากองอยู่ตรงนี้ด้วย พอได้ยินสตอรี่อันน่าอินเทอเรสติ้ง เราจึงไม่รอช้าโดดตูมลงน้ำทันที
พี่ไกด์พาเราว่ายผ่านร่องน้ำลึกจากหน้ารูทางเข้าเกาะหัวใจ ที่ห่างจากรูมาแค่ห้าเมตรก็เป็นเหวลึกใต้ทะเลอันแสนพิศวง ไม่รู้ว่าความลึกของมันมีขนาดเท่าไหร่ รู้แต่ว่าพี่ตูนเคยบอกไว้ว่า “ลึกลงเท่าไหร่ ไม่มีสิ้นสุด สีครามหมายความเหมือนใจมนุษย์ มันลึกเกินจะรู้ว~” เราเชื่อพี่ตูน ก็เลยตัดสินใจไม่ถามไกด์ว่ามันลึกเท่าไหร่กันแน่
จุดดำน้ำของเราหลักๆ จะอยู่ในรูปากปล่องภูเขาไฟนี่แหละ ส่วนจุดที่เป็นหัวใจมรกตไม่มีอะไร เหมาะสำหรับเอาไว้ให้โดรนถ่ายรูปเท่านั้น ไม่เหมาะดำน้ำใดๆ ทั้งสิ้น เราก็เลยวนๆ อยู่ปากปล่องซักพักใหญ่ จนกระทั่งเห็นไอ้เจ้านี่
นี่คือดาวขนนก หรือก็คือปลาดาวที่หน้าตาไม่เหมือนปลาดาว แต่ละม้ายคล้ายปลาหมึกผสมแมงมุมทารันทูร่า รูปร่างของมันอยู่ตรงเส้นกึ่งกลางพอดีเด๊ะ ระหว่างความสวยงามและความน่าเกลียดน่ากลัว ส่วนเทคนิคการเคลื่อนที่ในน้ำของมัน คือมันจะกระเพื่อมขยุ้มตัวลอยตามน้ำไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็ไปแหมะตัวลงตามปะการังต่างๆ
ถัดไปคือสิ่งที่ดีงามของการดำน้ำครั้งนี้อีกเช่นกัน มันคือกัลปังหา (ถ้าอ่านชื่อมันด้วยสำเนียงจีน จะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นอีก 10%) เริ่มตั้งแต่ต้นอ่อนของมันที่หน้าตาคล้ายดอกกะหล่ำหรือผักกาดแก้ว พอโตมาก็เริ่มมีกิ่งก้านพร้อมด้วยขนอ่อนๆ และร่างสุดท้ายซุปเปอร์ไซย่าสาม หน้าตามันจะเหลือแต่กิ่งแห้งๆ แบบนี้แหละ เจ้านี่คือสิ่งที่หายากยิ่งแห่งท้องทะเลน้ำตื้น เพราะมันจะอยู่ตามน้ำทะเลที่ลึกมากเท่านั้น เป็นบุญตาจริงๆ ที่ภูเขาไฟดันมันขึ้นมาจนน้ำตื้นถึงเพียงนี้
หลังจากดำผุดดำว่ายเกือบสี่สิบนาที ในขณะที่ทุกคนกำลังจะกลับกัน มีคนตะโกนออกมาจากด้านในว่า “เจอฉลาม” นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ว่ายน้ำหนีขึ้นเรือกัน แต่ส่วนตัวเราดันมีความโรคจิต ชอบฉลามเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะชอบหนังเรื่อง Jaws มาก ฝันไว้ตั้งแต่เด็กๆ ว่าซักวันนึงเราจะต้องโดนฉลามกัดให้ได้ ยิ่งมาเจอฉลามที่ถูกแผ่นเปลือกโลกดันมาจากใต้ทะเลน้ำลึก ตัวมันต้องระดับน้องๆ เมก้าโลดอนแน่นอน ขอถ่ายรูปให้เห็นเป็นบุญตาหน่อยเถอะ เลยตัดสินใจว่ายตามหามันจนได้ภาพนี้มา…
…ตัวแม๊งเล็กกว่าปลาช่อนในตลาดซะอีก ถ้ากล้องไม่ซูมไว้คงถ่ายเห็นแต่วิว เสียใจ ฮือ T__T
หลังจากขึ้นเรือมา ไกด์ก็พาเรามาถึงเกาะที่สาม ชื่อว่าเกาะตาฟุก เกาะนี้เป็นเกาะที่ไกด์พาเรามากินข้าว อาหารที่กินเป็นบุฟเฟ่ต์น่องไก่ทอดและชาพม่าไม่อั้น เกาะนี้ไม่มีการดำน้ำใดๆ ถ้าใครกินเสร็จเร็วก็เดินเล่นชิวๆ หรือถ่ายรูปหน้าหาดได้ ซึ่งหน้าหาดก็ทรายสวยและนิ่มพอตัวเลยทีเดียว พอเจอทรายนิ่มๆ แบบนี้ ฝรั่งทั้งหลายก็อดใจไม่ไหว นอนใส่ชุดบิกินี่อาบแดดกันอย่างเพลินใจ ส่วนเราก็ดูวิวชายหาดแบบเพลินตาดั่งคำที่โกเล้งมิได้กล่าวไว้ “หายทรายถึงจะนิ่มสักเพียงไหน ก็มิอาจนิ่มเท่าบิกินี่ที่กลิ้งอยู่ตรงหน้าเราได้”
พอกินข้าวเสร็จ พี่ไกด์ก็พาเรามาเกาะสุดท้าย เกาะย่านเชือก เกาะนี้เด่นดังเรื่องปลาการ์ตูนหลากชนิดและมีน้ำที่ใสมาก แค่มองจากบนเรือก็เห็นใต้ทะเลเกือบทุกอย่างแล้ว เห็นน้ำใสๆ แบบนี้ ข้างใต้ลึกเกือบสามเมตรเลยทีเดียว
และเมื่อลงน้ำ เจ้าปลาการ์ตูนนีโม่และดอกไม้ทะล สามารถพบเห็นได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะว่ายไปทางไหน
รวมถึงมีปลาการ์ตูนสายพันธุ์แปลกๆ นอกหนือจากสายพันธุ์นีโมสีส้มขาว ซึ่งปลาการ์ตูนทุกตัวนิสัยของมันจะหวงบ้านตัวเองมาก ปลาตัวไหนว่ายไปใกล้รัง พี่แกออกมาบู๊ตลอด ไม่รู้ว่าเป็นปลาเก๋าหรือปลาการ์ตูน
และไฮไลท์สุดท้ายของเกาะนี้ เจ้านี่คือปลาค้างคาว พี่ไกด์บอกว่าเห็นมันตั้งแต่ตัวเท่ากล่องไม้ขีดพญานาค จนตอนนี้ตัวบานกว่ากระทะโคเรียคิงรุ่นไดม่อนซีรี่ย์ไปซะแล้ว สาเหตุที่พี่เค้าจำมันได้ก็คือ พี่เค้ามาออกทริปทุกวัน และบริเวณนี้มีปลาค้างคาวอยู่เพียงตัวเดียวเท่านั้น ฉะนั้นจึงเป็นมันไม่ผิดตัวแน่นอน
ต้องบอกเลยว่าบริษัททัวร์ที่นี่ทุกเจ้า อนุรักษ์และรักษาธรรมชาติให้คงอยู่ไว้ตามเดิมได้ดีมากเลย แอบชื่นชม สิ่งไหนที่นักท่องเที่ยวไม่รู้ และหากทำไปจะส่งผลต่อสภาพแวดล้อมของธรรมชาติ ไกด์ก็จะคอยช่วยห้ามปรามตลอดเวลา
แถมยังมีช่วงเวลาการปิดเกาะเพื่อให้ธรรมชาติได้ฟื้นฟูตัวเองทุกปี โดยทุกเกาะจะปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าปีละ 4 เดือน ตั้งแต่เดือนมิถุนายน – กันยายน และเริ่มเปิดให้บริการนักท่องเที่ยวใหม่อีกครั้งตอนเดือนตุลาคม เพราะมันเป็นช่วงมรสุมเข้าพอดี ใครที่ชอบดำน้ำตื้นเป็นชีวิตจิตใจ เราขอยืนยันคำเดิมว่าที่นี่คือเดอะเบส มาเหอะ ไม่ผิดหวังแน่นอน
ที่มารูป [http://emeraldheartisland.blogspot.com/]