กลับมาอีกครั้งพร้อมความยิ่งใหญ่กับละครนิเทศจุฬาฯ ปีนี้มาในชื่อเรื่อง “Tuesday At Ephémère ณ สถานีที่เราพบกัน” ที่จะพาทุกคนย้อนเวลาไปกับรถไฟที่สถานีเอเฟแมร์ ความพิเศษของปีนี้อยู่ที่การย้ายสถานที่จัดแสดงจากโรงภาพยนตร์สกาลา มายังโรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ สยามสแควร์วัน ที่ทุ่มทุนเนรมิตทั้งฉาก แสง สี และเสียง ได้อย่างอลังการราวกับยกสถานีเอเฟแมร์มาให้ได้ชมถึงที่ ไม่ใช่แค่ในโรงละคร แต่บรรยากาศหน้างานตั้งแต่เดินตั๋วจนเดินเข้าไปถึงที่นั่ง ก็ถูกจัดให้เข้าธีม เหมือนกับมีพนักงานออกตั๋วและส่งขึ้นรถไฟไม่มีผิด Tuesday At Ephémère ณ สถานีที่เราพบกัน เป็นเรื่องราวของ ทิม ชายหนุ่มที่บังเอิญเจอจดหมายรักเก่าของ ลูคัส ผู้เป็นพ่อ แต่กลับพบว่าชื่อในจดหมายนั้นกลับไม่ใช่ เบคกี้ แม่ของเขา ทิมจึงตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนพิเศษไปยังที่อยู่บนจดหมาย ซึ่งพาเขาย้อนเวลากลับไปในปี 1950 เพื่อหาคำตอบและแก้ไขอดีตของครอบครัว ในขณะที่ความรักของพ่อและแม่กำลังเริ่มไปได้ดี ทิมก็ได้พบกับหญิงสาวปริศนาชื่อ อีฟลิน ที่ปรากฏตัวขึ้นในฐานะศัตรูความรักของแม่ของเขาอีกด้วย งานนี้ทิมจึงต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อขัดขวางอีฟลิน และทำให้ความรักของพ่อและแม่สมหวัง เพื่อที่ครอบครัวของเขาจะได้มีแต่ความสุข เรื่องราวต่างๆ จึงบังเกิดขึ้นพร้อมการเปลี่ยนแปลงที่ตามมามากมาย ในส่วนของนักแสดงครั้งนี้ ก็ได้ยกทัพทีมนักแสดงนำมาทั้งหมด 6 คน พร้อมกับทีมแดนซ์อีกเกือบ 20 ชีวิต ที่ร่วมกันถ่ายทอดเรื่องราวผ่านการแสดงและท่าเต้น แน่นอนว่าสำหรับทีมแดนซ์ก็ยังคงไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะทั้งท่าเต้นและคอสตูมเรียกได้ว่าเหมือนยกมิวสิกเคิลมาไว้ที่นี่เลยก็ว่าได้ ส่วนนักแสดงก็มีความเหมาะสม รับส่งบทกันได้ค่อนข้างราบรื่นดี แต่ส่วนตัวคิดว่าบางตัวละครยังไม่โดดเด่นเท่าที่ควร เลยอาจทำให้ถูกกลืนไปบ้างในบางฉาก แต่สำหรับตัวละครที่ได้รับความสนใจและกุมคนดูได้อยู่หมัด น่าจะเป็น ปาสคาล ด้วยคาแรกเตอร์ที่ถูกวางให้ดูตลก เมื่อมีบทพูดทีไร เลยสามารถเรียกเสียงหัวเราะจากคนดูได้ทุกครั้ง นอกจากนี้ยังมี โจเซฟีน ที่น่าจะชนะเลิศตั้งแต่เสื้อผ้า หน้า ผม ที่โดดเด่นกว่าใครเพื่อน บวกกับจริตความเป็นไฮโซผู้ที่ต้องการความสนใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทุกท่วงท่าที่แสดงออกมาจึงมักเป็นจุดสนใจเป็นธรรมดา จุดที่ทำเอาเซอร์ไพรส์มากๆ ในปีนี้คงจะเป็นฉาก ที่เตรียมกันมาอย่างยิ่งใหญ่ เรียกว่ารถไฟเป็นรถไฟ ไหนจะฉากเลื่อน ที่นอกจากจะเลื่อนซ้ายขวาหน้าหลังแล้ว ยังมีแบบที่เลื่อนลงมาจากด้านบนอีกด้วย ยังไม่นับรวมเหล่าเอฟเฟกต์ประกอบฉากที่จัดเต็มไม่แพ้กัน บอกเลยว่าแค่ได้ดูฉากสวยๆ ก็คุ้มค่าบัตรแล้ว ฉากที่ประทับใจที่สุด ขอยกให้เป็นฉากเต้นรำใต้แสงดาวของพระนาง ที่นอกจากจะยกดาวทั้งผืนฟ้ามาให้ชมกันกลางสยามแล้ว ทั้งดนตรีและบรรยากาศในฉากยังงดงามชวนฝัน จนมีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครจริงๆ บทละครโดยรวมยังรู้สึกว่าสื่อสิ่งที่ต้องการออกมาได้ไม่ชัดเท่าที่ควร ถ้าขยี้ประเด็นครอบครัวมากกว่านี้ อาจจะทำให้มีอารมณ์ร่วมมากขึ้น แต่ด้วยองค์ประกอบอื่นๆ ก็ทำให้บทราบรื่นไปได้ด้วยดี แถมยังมีมุกตลกแทรกอยู่เรื่อยๆ ตามสไตล์ โดยรวมก็ยังมีข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ อยู่บ้าง ในเรื่องของเสียงและแสงในบางฉาก อาจเพราะเปลี่ยนสถานที่ใหม่ และเป็นการแสดงรอบแรก แต่เมื่อเทียบกับภาพรวมทั้งหมดจึงไม่ได้เป็นจุดผิดพลาดใหญ่โตอะไร สุดท้ายนี้ขอฝากละครนิเทศจุฬาฯ ละครนิเทศจุฬาฯ ที่ยังเหลือรอบแสดงอีก 4 รอบ ในระหว่างวันที่ 25-26 มกราคมนี้ ที่โรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ สยามสแควร์วัน ชั้น 7 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ละครนิเทศ จุฬาฯ ภาพจาก : ละครนิเทศ จุฬาฯ