[10/10] รีวิว Dunkirk : ไม่ดราม่า ไม่ระเบิดตู้มต้ามอลังการ แต่บีบคั้นหัวใจสุดๆ ได้ยินชื่อ ‘คริสโตเฟอร์ โนแลน’ คอหนังก็คงรู้อยู่แล้วว่ายังไงมันก็ต้องเป็นหนังที่ดีมาก!! เพราะฉะนั้นในบทความนี้เลยขอเลือกที่จะพูดถึงเรื่องราวของ ‘ดันเคิร์ก’ ที่เป็นเหตุการณ์ครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สอง เพื่อเป็นการปูเส้นเรื่องให้ทุกคนไปดูกันได้แบบเต็มอรรถรส ส่วนตัวหนังก็ขอบอกว่า ไปดูเถอะ อย่าคิดมาก มันต้องดีมากอยู่แล้ว! หนังสร้างจากเหตุการณ์จริงสมัยสงครามโลก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นเหตุการณ์ที่ทั่วโลกต้องจารึกและถูกนำมาสร้างเป็นหนังอยู่บ่อยครั้ง แต่ถึงแม้จะถูกเอามาสร้างเป็นหนังออกมาหลากหลายมุมมอง หลากหลายเรื่อง แต่ไม่ว่ายังไงมันก็ยังสร้างความช็อคให้กับคนดูได้อยู่ดี และสำหรับหนังที่สร้างโดย ‘คริสโตเฟอร์ โนแลน’ แล้ว มันมักจะไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เพราะถึงแม้จะสร้างจากเรื่องจริง แต่โนแลนก็ยังฝากลายเซ็นของเขาไว้ในผลงานชิ้นใหม่นี้ได้อย่างดีเยี่ยม ถือเป็นหนึ่งในหนังแนวสงครามที่ดีที่สุดอีกเรื่องเลย ปูความรู้ก่อนไปดูหนัง กับ ‘ยุทธการที่ดันเคิร์ก’ ยุทธการที่ดันเคิร์กเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ครั้งสำคัญของสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเกิดขึ้นเพียงเวลาไม่ถึง 2 สัปดาห์เท่านั้น (ระหว่างวันที่ 26 พฤษภาคม จนถึงวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ.1940) อย่างที่เรารู้กันว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง จะแบ่งออกเป็นสงครามระหว่างกลุ่มอักษะและฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งในช่วงนั้นกองกำลังทหารฝ่ายสัมพันธมิตรถูกล้อมไว้โดยพวกอักษะ มีทหารกว่าสี่แสนนายที่ถูกล้อมไว้ที่หาดดันเคิร์ก เมืองคาเลส์ ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งทหารฝ่ายอักษะก็ทำศึกบีบเข้ามาเรื่อยๆ จนกองกำลังสัมพันธมิตรจะต้านได้อีกไม่นาน วิธีที่จะเอาชีวิตรอดออกมาได้ก็คือการอพยพทหารโดยทางเรือเท่านั้น ยุทธการที่ดันเคิร์ก จึงเกิดขึ้นโดยมีเป้าหมายคือการระดมกองเรือให้ได้มากที่สุดเพื่อขนถ่ายทหารกลับมาให้ได้มากที่สุด จนท้ายที่สุดก็สามารถอพยพทหารสัมพันธมิตรกว่า 330,000 ผ่านทางทะเลกลับมาได้ ปูความรู้ก่อนไปดูหนัง กับ ‘ยุทธการที่ดันเคิร์ก’ ยุทธการที่ดันเคิร์กเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ครั้งสำคัญของสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเกิดขึ้นเพียงเวลาไม่ถึง 2 สัปดาห์เท่านั้น (ระหว่างวันที่ 26 พฤษภาคม จนถึงวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ.1940) อย่างที่เรารู้กันว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง จะแบ่งออกเป็นสงครามระหว่างกลุ่มอักษะและฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งในช่วงนั้นกองกำลังทหารฝ่ายสัมพันธมิตรถูกล้อมไว้โดยพวกอักษะ มีทหารกว่าสี่แสนนายที่ถูกล้อมไว้ที่หาดดันเคิร์ก เมืองคาเลส์ ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งทหารฝ่ายอักษะก็ทำศึกบีบเข้ามาเรื่อยๆ จนกองกำลังสัมพันธมิตรจะต้านได้อีกไม่นาน วิธีที่จะเอาชีวิตรอดออกมาได้ก็คือการอพยพทหารโดยทางเรือเท่านั้น ยุทธการที่ดันเคิร์ก จึงเกิดขึ้นโดยมีเป้าหมายคือการระดมกองเรือให้ได้มากที่สุดเพื่อขนถ่ายทหารกลับมาให้ได้มากที่สุด จนท้ายที่สุดก็สามารถอพยพทหารสัมพันธมิตรกว่า 330,000 ผ่านทางทะเลกลับมาได้ ดันเคิร์ก อยู่ตรงไหน? เวลาดูหนังประวัติศาสตร์ก็เหมือนได้กลับไปอยู่ในห้องเรียนสมัยม.ปลายอีกรอบ เพราะฉะนั้นไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว มาดูแผนที่กันเลยละกันว่าเจ้าดันเคิร์กนี่มันอยู่ตรงไหนของโลก ในตัวอย่างหนังจะมีบทที่ตัวละครพูดว่า “You can practically see it from here…home.” (คุณสามารถมองเห็นบ้าน (อังกฤษ) ได้จากตรงนี้เลย) ซึ่งหากดูแผนที่โลกแล้ว จะพบว่าระยะทางระหว่างดันเคิร์ก กับประเทศอังกฤษ มันใกล้กันมากๆ แบบที่เกือบจะมองเห็นได้ด้วยตาแล้วจริงๆ มันเลยยิ่งเป็นเส้นเรื่องที่บีบคั้นหัวใจเราเข้าไปอีก ว่าเส้นทางมันใกล้แต่หนทางที่จะอพยพไปได้สำเร็จมันช่างไกลจริงๆ วิธีเลือกนักแสดงของโนแลน โนแลนได้ให้สัมภาษณ์ว่า ปกติหนังฮอลลีวูดมักจะคัดนักแสดงอายุ 28, 29, 30 ปี ให้มารับบทที่อายุน้อยกว่าความเป็นจริง แต่สำหรับเขา เขาอยากคัดตัวนักแสดงที่มีอายุเหมาะสมกับเรื่องราว อยากได้เด็กที่ผ่านเรื่องราวแบบที่คนทั่วไปจะเจอในช่วงอายุนั้นๆ ซึ่งนักแสดงทุกคนก็เล่นออกมาได้เป็นธรรมชาติ และดีมากๆ ถึงบทจะไม่ได้เอื้อให้มีใครโดดเด่นออกมาเป็นพิเศษ แต่ทุกคนเป็นชิ้นส่วนที่เติมให้คนดูรู้สึกร่วมไปกับหนัง วิธีเลือกนักแสดงของโนแลน โนแลนได้ให้สัมภาษณ์ว่า ปกติหนังฮอลลีวูดมักจะคัดนักแสดงอายุ 28, 29, 30 ปี ให้มารับบทที่อายุน้อยกว่าความเป็นจริง แต่สำหรับเขา เขาอยากคัดตัวนักแสดงที่มีอายุเหมาะสมกับเรื่องราว อยากได้เด็กที่ผ่านเรื่องราวแบบที่คนทั่วไปจะเจอในช่วงอายุนั้นๆ ซึ่งนักแสดงทุกคนก็เล่นออกมาได้เป็นธรรมชาติ และดีมากๆ ถึงบทจะไม่ได้เอื้อให้มีใครโดดเด่นออกมาเป็นพิเศษ แต่ทุกคนเป็นชิ้นส่วนที่เติมให้คนดูรู้สึกร่วมไปกับหนัง ไม่ดราม่า ไม่ระเบิดตู้มต้ามอลังการ แต่บีบคั้นหัวใจสุดๆ ขึ้นชื่อว่าเป็นหนังเกี่ยวกับสงคราม อาจคิดว่าต้องมีระเบิดตู้มต้ามทั้งเรื่อง เอฟเฟกต์ต่างๆ ต้องงัดออกมาเต็มที่ ต้องมีร้องไห้ ต้องมีกรีดร้อง ต้องมีเลือดไหลโชก!! แต่.. โนแลนไม่ได้สร้างหนังเรื่องนี้ให้ออกมาเป็นแบบนั้น เขากลับสร้างหนังเรื่องนี้ออกมาได้เรียบง่ายสุดๆ เล่าผ่านเส้นเรื่องที่จริงใจ ไม่ได้เติมแต่งหรือพยายามขยี้อารมณ์คนดูให้รู้สึกหดหู่ แต่ยิ่งทุกอย่างมันราบเรียบไปหมดเราเลยยิ่งเกิดความกดดัน เราไม่รู้เลยว่าจะเจอกับอะไรบ้างในหนังเรื่องนี้ เหมือนเราถูกพาเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ หน้าที่ของคนดูคือการเผชิญไปกับตัวละครในสถานการณ์ต่างๆ เท่านั้นเอง เรื่องราวแสนหดหู่ ขัดแย้งกับหนังที่บรรจงถ่ายอย่างสวยงาม ถ้าพูดถึงหนังที่ต้องมีตัวเอกของเรื่อง หนังเรื่องนี้ตัวเอกคงเป็นภาพและเสียงที่เป็นตัวดำเนินให้คนดูรู้สึกไปกับมัน หนังเรื่องนี้เอาจริงแค่ไปดูภาพต่างๆ ที่นำเสนอออกมาก็คุ้มแล้ว ทุกเฟรมภาพถ่ายทำออกมาดีมาก ไม่ได้มีซีจี หรือเอฟเฟกต์อะไรหนักหน่วงมากมาย แต่สื่อสารอารมณ์ได้ดีมากๆ มันเวิ้งว้าง มันนิ่งเรียบ มันคือความสวยงามที่ขัดกับสถานการณ์ที่ตัวละครกำลังเจอ เรื่องราวแสนหดหู่ ขัดแย้งกับหนังที่บรรจงถ่ายอย่างสวยงาม ถ้าพูดถึงหนังที่ต้องมีตัวเอกของเรื่อง หนังเรื่องนี้ตัวเอกคงเป็นภาพและเสียงที่เป็นตัวดำเนินให้คนดูรู้สึกไปกับมัน หนังเรื่องนี้เอาจริงแค่ไปดูภาพต่างๆ ที่นำเสนอออกมาก็คุ้มแล้ว ทุกเฟรมภาพถ่ายทำออกมาดีมาก ไม่ได้มีซีจี หรือเอฟเฟกต์อะไรหนักหน่วงมากมาย แต่สื่อสารอารมณ์ได้ดีมากๆ มันเวิ้งว้าง มันนิ่งเรียบ มันคือความสวยงามที่ขัดกับสถานการณ์ที่ตัวละครกำลังเจอ สุดท้ายนี้ขอบอกว่าไปดูเถอะ ไปดูเถอะ ไม่ต้องคิดมาก หนังมันดี เช็กรอบหนัง อ้างอิงข้อมูลจาก ยุทธการที่ดันเคิร์ก Dunkirk – Roundtable Featurette แผนที่ The Battle of Dunkirk Was Nerve-Wracking—and Bizarre Dunkirk evacuation บท 80% การลำดับเรื่อง 100% ภาพ 100% จังหวะตัดต่อ เพลงประกอบ 89% นักแสดง 90% คะแนนรวม 100%