รีวิว Die Tomorrow หนังของพี่เต๋อ ที่แค่จบพาร์ทแรกก็อยากลุกกลับบ้านแล้ว ‘Die Tomorrow’ คืออัลบั้มเพลงว่าด้วยชีวิตและความตาย ในอัลบั้มนี้ประกอบด้วย 13 บทเพลง บางเพลงเราชอบทำนอง บางเพลงเราชอบเนื้อหา บางเพลงชอบแค่ท่อนฮุก บางเพลงก็ชอบเสียงร้อง เราอาจชอบบางเพลงเป็นพิเศษและฟังบางเพลงแบบข้ามๆ ไปบ้าง แต่พอฟังจบก็อาจได้ความรู้สึกต่างกันไป และก็เป็นไปได้ที่บางคนอาจไม่ชอบทั้งอัลบั้มเลย เพราะเพลงอัลบั้มนี้มีท่วงทำนองที่แต่งมาให้กับคนเฉพาะกลุ่ม แต่เรามั่นใจว่าเนื้อร้องที่ผู้กำกับเขียนออกมาไม่ได้ไกลตัวใครเลย มันเป็นเนื้อที่ใกล้ตัวมาก แต่อาจมีเมโลดี้ที่ไม่คุ้นหู เอ๊ะไม่เหมือนอัลบั้มที่แล้วเลยนี่หว่า โดยรวมก็ถือว่าเป็นการฟอร์มวงใต้ดินของพี่เต๋อที่น่าประทับใจมากอีกตามเคย : ) หมายเหตุ* เป็นหนังที่ไม่ว่าเขียนยังไงก็จะสปอยล์อยู่ดี เพราะงั้นถ้าไม่อยากโดนสปอยล์ให้ข้ามไปเลย ไปดูกันมาก่อนแล้วค่อยอ่านว่าคิดตรงกันหรือมีมุมไหนที่อยากแชร์เพิ่มหรือเปล่า Die Tomorrow คือ? ภาพยนตร์คอนเซ็ปต์ที่ว่าด้วยเรื่องความตาย ในหนังจะแบ่งเป็น 2 ก้อน หนึ่งคือพาร์ทของนักแสดง 6 พาร์ท ซึ่งทั้งหมดเป็นลองเทคมีความยาวตั้งแต่ 6-11 นาที สองคือพาร์ทย่อยที่เป็นฟุตเทจสัมภาษณ์ หรือบันทึกเสียงต่างๆ รวมกันอีก 7 พาร์ท เป็นหนังที่อธิบายไม่ถูก พี่เต๋อบอกว่า ‘คุณจะไม่รู้ว่าตัวละครทั้งหมดนี้มันเกิดอะไรขึ้น..ซึ่งถูกแล้ว เพราะว่าถ้ารู้ก่อนก็รู้ก่อนปะวะ เดี๋ยวถ้าในหนังมันจะบอกมันก็จะบอกอะ อย่างถ้าเราบอกว่าความตายมันเกิดขึ้นแบบไม่เลือกเวลา จริงๆ คุณก็ไม่ควรรู้อะไรก่อนเลย’ แรงบันดาลใจทางด้านสไตล์ของหนังเรื่องนี้คืออัลบั้ม zero ของวง pru , อัลบั้ม in rainbows ของวง radiohead และมิวสิควิดีโอเพลง green flash ของวง akb48 Die Tomorrow คือการเอาซูเปอร์ฮีโร่ทุกตัวที่เคยอยู่ในหนังพี่เต๋อ กลับมาฟอร์มเป็นทีม The Avengers ความรู้สึกหลังดูจบ เหมือนอ่านหนังสือธรรมะในฉบับที่มีภาพโฮโลแกรมยิงออกมาเป็นตัวอย่างจากหนังสือ แค่ดูพาร์ทแรกจบก็อยากลุกกลับบ้าน..เพื่อไปหาพ่อแม่และคนที่รักแล้ว ดูแล้วได้แรงบันดาลใจอยากใช้ชีวิตให้ดีขึ้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าระแวงการใช้ชีวิตมากขึ้น และสมองวนเวียนกับความตายไปชั่วขณะนึง (ตอนนี้ก็ยังคิดอยู่) ทำให้เรามีโอกาสได้ ‘กล้า’ คิด ว่าถ้าเลือกได้เราอยากตายแบบไหน ทุกวินาทีมีคนตาย 2 คน แค่ระหว่างดูหนังเรื่องนี้คนก็ตายไปกว่า 8,000 คนแล้ว เหมือนพี่เต๋อนั่งเล่ามุมมองเกี่ยวกับความตายให้เราฟังผ่านหนัง และเราก็รู้จักพี่เต๋อมากขึ้นผ่านมุมมองนั้น นี่คือการเปลี่ยนหนังสือธรรมะมาอยู่ในรูปแบบภาพยนตร์ยาว เพราะหนังเรื่องนี้มันพูดถึงการมีชีวิต การใช้ชีวิต และความตาย ทำให้เรารู้สึกว่ามันเป็นแกนเดียวกับหนังสือธรรมะหรือการเรียนปรัชญา แต่แค่ว่าการเรียนครั้งนี้ถูกสอนออกมาผ่านหนัง ทำให้เราเปิดใจรับฟังมากขึ้นและอยากตามดูต่อไป แต่ถามว่ามันเป็นหนังที่มีบทสรุปให้เป็นข้อคิดไหม…ก็ไม่นะ มันไม่ได้บอกว่า ‘ข้อคิดในวันนี้ เราควรใช้ชีวิตอย่างมีสติ’ มันไม่ได้พูดเลย สิ่งที่เราจับได้จากหนังคือเราจะตายตอนไหนก็ได้ จะออกจากโรงหนังแล้วตายก็ได้ หรือจะตายคาโรงในนาทีถัดมาเลยก็ได้ คือมันไม่มีอะไรบอกได้เลยว่าคนที่ตายก่อนต้องเป็นคนร่างกายอ่อนแอกว่าหรือว่าเป็นคนที่นิสัยไม่ดี การดูหนังเรื่องนี้เลยทำให้เรากลับมาสรุปข้อคิดกับตัวเองมากกว่าว่าเราอยากใช้ชีวิตให้ดีขึ้น รักคนที่เราควรจะรักมากขึ้น ดูแลเอาใจใส่สิ่งสำคัญในชีวิตมากขึ้น นี่คือการเปลี่ยนหนังสือธรรมะมาอยู่ในรูปแบบภาพยนตร์ยาว เพราะหนังเรื่องนี้มันพูดถึงการมีชีวิต การใช้ชีวิต และความตาย ทำให้เรารู้สึกว่ามันเป็นแกนเดียวกับหนังสือธรรมะหรือการเรียนปรัชญา แต่แค่ว่าการเรียนครั้งนี้ถูกสอนออกมาผ่านหนัง ทำให้เราเปิดใจรับฟังมากขึ้นและอยากตามดูต่อไป แต่ถามว่ามันเป็นหนังที่มีบทสรุปให้เป็นข้อคิดไหม…ก็ไม่นะ มันไม่ได้บอกว่า ‘ข้อคิดในวันนี้ เราควรใช้ชีวิตอย่างมีสติ’ มันไม่ได้พูดเลย สิ่งที่เราจับได้จากหนังคือเราจะตายตอนไหนก็ได้ จะออกจากโรงหนังแล้วตายก็ได้ หรือจะตายคาโรงในนาทีถัดมาเลยก็ได้ คือมันไม่มีอะไรบอกได้เลยว่าคนที่ตายก่อนต้องเป็นคนร่างกายอ่อนแอกว่าหรือว่าเป็นคนที่นิสัยไม่ดี การดูหนังเรื่องนี้เลยทำให้เรากลับมาสรุปข้อคิดกับตัวเองมากกว่าว่าเราอยากใช้ชีวิตให้ดีขึ้น รักคนที่เราควรจะรักมากขึ้น ดูแลเอาใจใส่สิ่งสำคัญในชีวิตมากขึ้น เป็นหนังที่จุดประเด็นให้คิดว่าอยากตายแบบไหน “มีกฏสามข้อในการมีชีวิตอะ เป็นแบบเกิด ใช้ชีวิต แล้วตาย ซึ่งคนจะจำข้อหนึ่งกับสองแต่ไม่จำสาม” -พี่เต๋อพูดเอาไว้ในบทสัมภาษณ์ คุยกับ เต๋อ-นวพล ถึงหนังอิสระเรื่องใหม่ที่ถ้า Die Tomorrow ก็ไม่เสียดายแล้ว พอเราไปดูหนังจริงๆ ก็กลับมาคิดว่าเออจริงด้วยว่ะ เพราะในหนังเรื่องนี้มันทำให้เรากล้าคิดด้วยซ้ำ ว่าจะตายแบบไหนดี จากปกติที่จะใช้ชีวิตแบบลืมหูลืมตา ‘เห้ยอย่าพูดเรื่องตายเลยยังไม่ตายหรอกมั้ง เอาหัวข้อนี้ออกไปไกลๆ’ หลังดูจบเลยได้คิดมากขึ้น และเปลี่ยนความกลัวตายนั้นให้มาเป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตให้ดีกว่าก่อนหน้านี้มากกว่า ทุกวินาทีมีคนตาย 2 คน แค่ระหว่างดูหนังเรื่องนี้คนก็ตายไปกว่า 8,000 คนแล้ว หนังมันบีบมากๆ ด้วยเสียงเงียบๆ ของมัน เสียงนาฬิกาติ๊กต่อกติ๊กต่อก รวมถึงเฟรมหนังที่มันบีบเป็นสี่เหลี่ยมไซส์เกือบๆ จะจตุรัส ทำให้เราอึดอัดในการดูเหมือนกัน แต่ในบางพาร์ทความอึดอัดก็กลายเป็นความปลงในชีวิต เหมือนหนังมันบอกเราว่า เออมึงไม่ต้องตกใจ ยังไงคนทั้งเรื่องและตัวมึงเองก็ต้องตายอยู่แล้ว มึงไม่ต้องลุ้นอะไรหรอก เดี๋ยวมึงก็ต้องตายเหมือนตัวละครที่มึงดูอยู่อะแหละ มึงแค่ไม่รู้ว่ามึงต้องตายตอนไหน ตัวละครที่มึงดูอยู่พวกมันก็ไม่รู้เหมือนกัน ทุกวินาทีมีคนตาย 2 คน แค่ระหว่างดูหนังเรื่องนี้คนก็ตายไปกว่า 8,000 คนแล้ว หนังมันบีบมากๆ ด้วยเสียงเงียบๆ ของมัน เสียงนาฬิกาติ๊กต่อกติ๊กต่อก รวมถึงเฟรมหนังที่มันบีบเป็นสี่เหลี่ยมไซส์เกือบๆ จะจตุรัส ทำให้เราอึดอัดในการดูเหมือนกัน แต่ในบางพาร์ทความอึดอัดก็กลายเป็นความปลงในชีวิต เหมือนหนังมันบอกเราว่า เออมึงไม่ต้องตกใจ ยังไงคนทั้งเรื่องและตัวมึงเองก็ต้องตายอยู่แล้ว มึงไม่ต้องลุ้นอะไรหรอก เดี๋ยวมึงก็ต้องตายเหมือนตัวละครที่มึงดูอยู่อะแหละ มึงแค่ไม่รู้ว่ามึงต้องตายตอนไหน ตัวละครที่มึงดูอยู่พวกมันก็ไม่รู้เหมือนกัน การรวมตัวของนักแสดงคุณภาพอย่างกับ The Avengers ในหนังเรื่องนี้ พี่เต๋อนำเอานักแสดงรุ่นเก่าตั้งแต่คุณทรายจากเรื่อง 36 มาจนถึงหนังสั้นหนังยาวหนังโฆษณาเรียกว่าเอามาหมด และแน่นอนว่านักแสดงทุกคนผ่านการแคสต์มาเป็นขั้นตอนปกติเหมือนกันนะ พี่เต๋อเคยพูดเล่นๆ ตอนให้สัมภาษณ์ว่ามันเหมือนเราคิดว่าถ้าหนังเรื่องนี้คืองานศพของเรา เราก็อยากให้คนที่เราเคยทำงานด้วยมาอยู่รวมกันที่งานศพนี้ และมันออกมาเวิร์คมากๆ ตัวละครทุกตัวคือดีงาม แสดงพลังงานของตัวเองกันออกมาได้ครบ มันเหมือนเราดูหนังภาคต่อของเรื่องเก่าๆ ที่พวกเขาเคยเล่นมา แต่ครั้งนี้พวกเขาแก่ขึ้นและมีหัวข้อความตายเป็นบทสนทนาที่สื่อสารกับคนดู เป็นหนังที่ถ้าเลือกได้ก็ควรดูในโรงภาพยนตร์ มันมีหลายเหตุผลมากๆ ที่ควรจะดูกันในโรงภาพยนตร์ อย่างแรกเลยคือเรื่องของเสียงเพลงประกอบ มันมีหลายองค์ประกอบของเสียงในหนังเรื่องนี้ และเราว่าถ้ารอดูแผ่นเราอาจเก็บรายละเอียดเองไม่ได้เท่าดูในโรงภาพยนตร์ รวมถึงภาพหรืออัตราส่วนของหนังที่พอดูในโรงแล้วมันได้บรรยากาศมากๆ แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดที่เราคิดก็คือสมาธิ อย่างที่บอกว่าหนังเรื่องนี้มันเหมือนอ่านหนังสือธรรมะ และความเงียบในโรงภาพยนตร์มันเงียบจริงๆ แบบที่เราจะมีเวลาคิดทบทวนกับตัวเองไปด้วยในระหว่างที่ดูหนังอยู่ และอีกมุมมันก็อึดอัดด้วยที่เราต้องรอจนหนังจบถึงจะมีโอกาสออกไปใช้ชีวิตให้ดีขึ้น อย่างตัวเราเองแค่หนังผ่านไปพาร์ทแรกก็รู้สึกร้อนรนอยากจะโทรหาพ่อหาแม่แล้ว และในหนังมันยังมีเวลาบอกด้วยว่าหนังดำเนินมากี่นาทีแล้ว และคนตายไปกี่คนแล้ว เพราะจากสถิติทุกวินาทีจะมีคนตายสองคน เป็นหนังที่ถ้าเลือกได้ก็ควรดูในโรงภาพยนตร์ มันมีหลายเหตุผลมากๆ ที่ควรจะดูกันในโรงภาพยนตร์ อย่างแรกเลยคือเรื่องของเสียงเพลงประกอบ มันมีหลายองค์ประกอบของเสียงในหนังเรื่องนี้ และเราว่าถ้ารอดูแผ่นเราอาจเก็บรายละเอียดเองไม่ได้เท่าดูในโรงภาพยนตร์ รวมถึงภาพหรืออัตราส่วนของหนังที่พอดูในโรงแล้วมันได้บรรยากาศมากๆ แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดที่เราคิดก็คือสมาธิ อย่างที่บอกว่าหนังเรื่องนี้มันเหมือนอ่านหนังสือธรรมะ และความเงียบในโรงภาพยนตร์มันเงียบจริงๆ แบบที่เราจะมีเวลาคิดทบทวนกับตัวเองไปด้วยในระหว่างที่ดูหนังอยู่ และอีกมุมมันก็อึดอัดด้วยที่เราต้องรอจนหนังจบถึงจะมีโอกาสออกไปใช้ชีวิตให้ดีขึ้น อย่างตัวเราเองแค่หนังผ่านไปพาร์ทแรกก็รู้สึกร้อนรนอยากจะโทรหาพ่อหาแม่แล้ว และในหนังมันยังมีเวลาบอกด้วยว่าหนังดำเนินมากี่นาทีแล้ว และคนตายไปกี่คนแล้ว เพราะจากสถิติทุกวินาทีจะมีคนตายสองคน ถ้าไปดูกับพ่อแม่จะรุนแรงไปไหม ข้อนี้เป็นคำถามที่ถามตัวเองเหมือนกันระหว่างที่ดูอยู่และสำหรับเราคำตอบคือไม่ได้ว่ะ มันจะเศร้าไปหน่อย ขอดูเงียบๆ คนเดียวแล้วค่อยกลับไปตกตะกอนกับตัวเองดีกว่า แต่ก็คิดว่ามันก็อาจมีข้อดีเหมือนกันนะ คือแล้วแต่คนจริงๆ ถ้าดูพร้อมพ่อแม่ไปด้วยจับมือกันไปด้วยอาจได้อีกความรู้สึกก็ได้ แต่แค่เราป๊อดเกินจะทำอะไรแบบนั้น ฮ่าๆๆ ซื้อตั๋วได้แล้ววันนี้ผ่าน www.sfcinemacity.com ฉายจริง 23 พ.ย. เป็นต้นไป ที่ SFW เซ็นทรัลเวิลด์ / รอบ 15.00 / 19.30 SFX เซ็นทรัลพระราม 9 / รอบ 15.00 / 19.30 SFX เซ็นทรัลลาดพร้าว / รอบ 15.00 / 19.30 SF เมญ่า เชียงใหม่ / รอบ 15.00 / 19.30 SF เซ็นทรัล ขอนแก่น / รอบ 15.00 SF แหลมทอง บางแสน / รอบ 15.00 SFX เซ็นทรัล พลาซ่า นครราชสีมา / รอบ 19.30