หน้าหนาวนี้ขออนุญาตพาไปเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งใช้เวลาเดินทางเพียง 1 ชั่วโมงเล็กน้อย ที่นี่เป็นเมืองเล็กๆ อยู่ทางภาคใต้ของประเทศเวียดนาม ใช่แล้วค่ะที่พูดถึงคือ “ดาลัด” นั่นเอง เมืองที่อากาศดีทั้งปี ดอกไม้สวย ธรรมชาติแน่น สถาปัตยกรรมหลากหลาย จนได้รับขนานนามว่า “ปารีสแห่งตะวันออก”
ถือเป็นเป็นทริปแรกในชีวิตของเราที่ได้ไป “ดาลัด” หลังจากนั่งดูรูปรีวิวมานักต่อนักในที่สุดฝันก็เป็นจริงแต่ถ้าจะไปเที่ยวแบบคนอื่นๆ ก็จะซ้ำๆ งานนี้ขอพาไปเที่ยวแบบสไตล์หญิงเกศดีกว่าบอกเลยว่าทั้งตื่นเต้น มันส์ ฮา ครบรสเลยค่ะ
จากกรุงเทพฯบินสู่ “ดาลัด” เราใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงนิดๆ เท่านั้นค่ะ ซึ่งเดินทางเร็วกว่าไปทำงานในแต่ละวันซะอีก ฮ่าๆ โดยเครื่องบินจะมุ่งหน้าไปยัง สนามบินเลียนคัง ดาลัด (Lien Khuong Dalat) ห่างจากเมืองดาลัดประมาณ 40 นาที
ที่นี่อากาศจะหนาวสุดประมาณ 8 องศาเซียลเซียส และร้อนสุดประมาณ 28 องศาเซลเซียส เอิ่มบ้านเราถือว่าหนาวแล้วแหละ อีกเสน่ห์ของเมืองนี้คือในหนึ่งวันอาจจะเจอครบทั้ง 4 ฤดู คือ ร้อน หนาว ฝน และฤดูไม้ใบไม้ผลิ
น้ำตกดาตันลา (Datanla Waterfall)
ก่อนจะเข้าไปยังเมืองดาลัด ขอแวะน้ำตกชื่อ ดาตันลา (Datanla Waterfall) ซึ่งยิ่งใหญ่มาก ช่วงที่เราไปฝนกำลังตกเลยแอบเสียดายเบาๆ แต่ไม่หวั่นค่ะ ไหนๆ มาแล้วต้องลงไปดูให้เห็นกับตา
ปกติเวลาเราลงไปดูน้ำตกหรือทางขึ้นจะต้องเดินเท้า แต่ที่นี่จะมีความพิเศษตรงที่นั่งรถราง (Roller Coaster) สามารถบังคับได้ด้วยตัวเองหรือให้เจ้าหน้าที่ช่วยก็ได้แต่ถ้าจะให้สนุกสุดเหวี่ยงต้องขับเองค่ะ
ระยะทางจากจุดเริ่มต้นไปยังน้ำตกบอกเลยว่าโคตรตื่นเต้นเพราะเหมือนเรานั่งรถไฟเหาะ (แบบเด็กน้อย) เนื่องจากไม่หวาดเสียวมากเท่าไหร่แต่หญิงเกศกรี๊ดทุกโค้งถ้าดูจากคลิปน่าจะเห็นแล้วฮ่าๆ ความปลอดภัยของรถรางที่นี่ดีเยี่ยมเลยค่ะเพราะมีเข็มขัดนิรภัยให้กับทุกคันส่วนข้างๆ รางรถจะมีตาข่ายป้องกันไว้กรณีเกิดอุบัติเหตุป้องกันเราไม่ร่วงลงไปยังด้านล่างนั้นเอง ส่วนระหว่างทางจะมีเจ้าหน้าที่คอยบริการตลอดเวลา
เราใช้เวลาประมาณ 5 นาทีก็มาถึงจุดน้ำตกดาตันลา วินาทีแรกที่เห็นน้ำตกก็หายเหนื่อยแล้วอึ้งมาก ส่วนวินาทีต่อมารู้ตัวอีกทีหัวเปียกค่ะ เพราะฝนตกแล้วน้ำตกกระเซ็นแรงมาก น้ำตกที่มีอายุกว่า 100 ปี ที่นี่ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติมากมาย
สถานีรถไฟดาลัด (Dalat Railway Station)
เสียงงงงงง รถด่วนขบวนสุดท้ายยย เอ้ยยย ไม่ใช่ ที่นี่คือสถานีรถไฟดาลัด สุดคลาสสิคของเวียดนาม ซึ่งเก่าแก่ที่สุด สร้างด้วยศิลปะสไตล์ฝรั่งเศส เป็นอีกสถานที่ที่ควรไปเช็คอิน เราจะพบกลิ่นอายย้อนยุคของสถานที่นี้ค่ะ หากย้อนกลับไปสมัยก่อนที่นี่ค่อนข้างรุ่งเรืองอย่างมาก เพราะเป็นสถานีรถไฟที่เชื่อมต่อผู้คนจากด้านนอกเข้ามาเมืองดาลัด
แต่เมื่อมีเส้นทางคมนาคมอย่างอื่น รวมทั้งเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นทำให้สถานีรถไฟสายนี้ถูกยกเลิก แทนที่จะปล่อยทิ้งร้างกลับกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เราจะพบว่ามีหนุ่มสาวชาวเวียดนามแล้วนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศเข้ามาถ่ายรูปกับขบวนรถไฟ หญิงเกศก็ไม่ยอมแพ้ค่ะ หามุมชิคๆ ถ่ายแบบฮิปเตอร์เบาๆ รูปที่ออกมาเริ่ดมาก
Hydrangeas Garden
ดอกไม้อะไรใหญ่เท่าหน้าหญิงเกศ ^^ นั่นก็คือดอกไฮเดรนเยีย เพราะที่นี่คือ Hydrangeas Garden ซึ่งเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวต้องมาให้ได้ เรียกว่าถ้ามาดาลัดแล้วไม่มาถ่ายรูปกับสวน Hydrangeas Garden หล่ะก็เท่ากับว่าคุณมาไม่ถึงนั่นเอง
มองไปทางไหนก็มีแต่ดอกไฮเดรนเยียเต็มไปหมดเลยค่ะด้วยอากาศที่นี่ดีตลอดทั้งปีทำให้เจ้าดอกไฮเดรนเยียเบ่งบานต้อนรับนักท่องเที่ยวตลอดแล้วยังมีขนาดใหญ่อีกด้วยที่นี่เป็นของเอกชนค่ะซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลตลอดเวลาไม่แปลกใจที่ดอกไม้ยังคงสมบูรณ์อยู่
ภายในทุ่งดอกไม้นั้นจะมีร่องให้เราสามารถเข้าไปถ่ายรูปได้ด้วยความที่หญิงเกศเป็นผู้หญิงไซส์เล็กก็อาจจะทำให้เห็นแค่หัวโผล่ออกมาแต่ถ่ายออกมาแล้วดูงดงามชมตัวเองเก่งค่ะ
แต่ถ้าใครอยากได้มุมสูงก็มีบันได้เหล็กติดตั้งไว้ด้วยรับรองปลอดภัยเพราะหญิงเกศทดสอบมาแล้วค่ะ เรียกว่ามุมนี้เป็นมุมมหาชนนั่นเองค่ะ แต่สามารถครีเอทมุมใหม่ๆ ได้เลยตามความชอบ เพราะมีดอกไม้เยอะมากกกกกก
โบสถ์โดเมนเดมารี (Domaine De Marie Convent)
ด้วยจุดเด่นของโบสถ์โดเมนเดมารีที่มีสีชมพูสดทำให้ที่นี่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาตลอดวันนี้ท้องฟ้าก็เป็นใจซะเหลือเกินทำให้รูปที่ออกมาสวยงามมากยิ่งขึ้นโบสถ์ที่นี่เปิดใช้งานปกติเลยค่ะแต่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาถ่ายรูปตลอด
สนามหลวงเมืองดาลัด
ครั้งแรกที่ไกด์ท้องถิ่นบอกว่าที่นี่คือสนามหลวง เราก็นึกถึงสนามหลวงบ้านเราเลยทีเดียว เพราะที่นี่ถือเป็นพื้นที่ใจกลางที่ให้ทุกคนมาทำกิจกรรมมากมาย แล้วยังมีพื้นที่ศิลปะอีกด้วย
อย่างอาคารสีเหลืองที่เราเห็น ชาวดาลัดได้รับแรงบันดาลใจมาจากดอกบัวตอง จึงก่อสร้างขึ้นเพื่อใช้สอยต่างๆ จะพบว่ามีคนทุกเพศทุกวัยมารวมตัวกันที่นี่เพื่อพักผ่อนหย่อนใจ
ถัดมาใกล้ๆ กันคือ Doha Café เป็นร้านกาแฟที่มีจุดเด่นตรงอาคารเพราะได้รับแรงบันดาลใจจากดอก อาร์ติโช๊ค Artichoke ที่นี่จึงกลายเป็นอีกหนึ่งแลนมาร์คที่พลาดไม่ได้เหมือนกัน ด้านหน้าจะเป็นทะเลสาบซวนเฮือง (Xuan Huong lake) แปลว่า กลิ่นหอมฤดูดอกไม้ผลิ ที่นี่เป็นทะเลสาบใหญ่ ที่อยู่กลางใจเมืองดาลัดเปรียบเสมือนที่พักผ่อนหย่อนใจนั่นเอง
ตลาดไนท์บาร์ซ่า ดาลัด
ขอปิดท้ายด้วยการชอปปิ้งกันหน่อยค่ะ ใครว่าที่นี่มีแต่ธรรมชาติไม่จริงเลยค่ะ เพราะอีกหนึ่งเสน่ห์ของเมืองดาลัทคือตลาดกลางคืน จากเดิมที่นี่เคยเป็นตลาดขายผักสดมาก่อน แต่นักท่องเที่ยวน้อย ทำให้ชาวบ้านหาของอย่างอื่นมาขาย จนทำให้มีนักท่องเที่ยวเข้าซื้อของต่างๆ ฝากเป็นที่ระลึก ที่นี่จึงกลายเป็นแหล่งชอปปิ้งขนาดใหญ่ไปเลย ทุกวันเสาร์อาทิตย์จะมีถนนคนเดิน โดยไม่ให้รถผ่านเข้ามา แต่ช่วงที่หญิงเกศไปเป็นวันธรรมดา ทำให้เราต้องเดินไปดูรถไป ไม่งั้นอาจจะถูกชนได้ ฮ่าๆ
ตลอดเส้นทางของที่นี่ก็จะมีเสื้อกันหนาว หรืออุปกรณ์กันหนาวเยอะมากกกกก เสื้อไหมพรม เสื้อกันหนาว หมวก ถุงเท้า รองเท้า กระเป๋า เสื้อผ้าวัยรุ่น ซึ่งราคาถูกมากค่ะ ถ้าคิดไม่ออกจะซื้อของฝากเป็นอะไรที่นี่มีให้เลือกเพียบเลยค่ะ
ระหว่างทางก็มีของกินประจำท้องถิ่นด้วย อย่างพิซซ่าดาลัท ราคา 20,000 ดอง ประมาณ 30 บาท เป็นแป้งบาง คล้ายๆ กับแป้งห่อแหนมเนืองเอามาปิ้งไฟ ตกแต่งหน้าด้วยไข่ไก่ ต้นหอม โรยหน้าด้วยหอมเจียว กุ้งแห้งและไส้กรอก ปิดท้ายด้วยซอสมะเขือเทศหรือซอสพริก รสชาติค่อนข้างถูกปากคนไทยมากเพราะมีความจัดจ้าน เข้ากันได้ดีของวัตถุดิบทั้งหมด แป้งกรอบมากแบบว่ากัดไปดังกร๊วบเลยคะ
อีกเมนูที่น่าสนใจคือขนมแผ่นๆ จำชื่อไม่ได้ หญิงเกศเห็นคนยืนมุงเลยต่อแถวด้วย ขนมนี้ราคา 10,000 ดอง ประมาณ 15 บาท เป็นแผ่นแป้งสีขาว 2 แผ่น ตรงกลางมีไส้เป็นถั่ว มะพร้าวอ่อนแล้วก็สายไหม ปิดท้ายด้วยซอสรสชาติหวานๆ กินแล้วหวานๆ มันๆ เข้ากันได้ดี แต่อาจจะไม่ต่อชิ้นที่สองแน่นอน ฮ่าๆๆ
เวียดนามเป็นประเทศที่ใช้รถมอเตอร์ไซต์เยอะมาก ก.ไก่ล้านตัว ไปที่นี่จะได้ยินเสียงแตรรถดังสนั่นหวั่นไหว แรกๆ เราอาจจะไม่คุ้นชินแต่อยู่ไปก็ชิลล์ค่ะ เรียกว่าต้องมีสติในการข้ามถนนอย่างมาก ไกด์ท้องถิ่นเล่าให้ฟังว่า เวลาข้ามถนนถ้าเราตัดสินใจแล้วจะข้ามก็ข้ามเลยอย่าลังเลว่าจะไปดีหรือไม่ไป ไม่อย่างนั้นรถอาจจะชนเราได้ เพราะรถจะหลบเราเอง
“ดาลัด” ถือเป็นอีกเมืองที่น่าสนใจสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ เดินทางไม่ไกล อากาศดีทั้งปี ครั้งหนึ่งในชีวิตเราต้องไปสัมผัสกับมันสักครั้งสำหรับทริปนี้ขอขอบคุณ KTC ที่พาเราบินลัดฟ้าสู้ดาลัด บอกเลยว่าคุ้มค่าสุดๆ ค่ะ ^^ .