หากพูดถึงวงการเดี่ยวไมโครโฟน หรือถ้าเรียกอย่างเป็นสากลว่า ‘Stand up comedy’ ในเมืองไทยเราจะนึกถึงแค่ โน้ส – อุดม แต้พานิช’ คนเดียวที่โดดเด่น เป็นไอคอนในสายนี้ แม้ที่ผ่านมามีคนดังหลายคนพยายามสร้าง ‘เดี่ยวฯ’ ของตัวเองบ้างเพื่อจะตามรอยเขา ทว่าผลตอบรับไม่ดีเท่าที่ควรจึงเงียบหายไป กระทั่งมีชายคนหนึ่งตัดสินใจทำสแตนด์อัพคอมเมดี้ ของตัวเองในวันที่สังคมไทยขาดแคลนบุคลากรทางด้านนี้เขาคือ ‘ยู – กตัญญู สว่างศรี’
กตัญญู จัดสแตนด์อัพฯ ในชื่อ A – Katanyu : the man who stand up เมื่อปลายกันยายน ที่ผ่านมาจำนวนสองรอบที่โรงละครเคแบงก์ สยามพิฆเนศ ซึ่งก็มีผู้เข้าชมเกือบเต็มจำนวนสองพันที่นั่ง แม้จะเป็นงานโชว์ในระดับสเกลใหญ่ครั้งแรกของกตัญญู แต่เขาไม่ได้ดุ่มๆ แล้วทำเลย กตัญญูเริ่มต้นทำสแตนด์อัพฯ มาหนึ่งปีเต็มๆ แล้วเพื่อชิมลาง ก่อนหน้านั้นยูจัดโชว์มาทั้งสิ้น 2 ครั้งได้แก่
- A Katanyu 2016 : 30 ปีชีวิตห่วยสัส (จำนวน 60 ที่นั่ง 2 รอบ)
- A – Katanyu and Friend : One night stand up ร่วมกับเพื่อนๆ อีก 7 คน (จำนวน 300 ที่นั่ง 2 รอบ)
โชว์ทั้งสองครั้งที่ผ่านมาสเกล คนดูค่อนข้างจะน้อยกว่าครั้งล่าสุด แต่ก็ทำให้เห็นพัฒนาการของกตัญญู ที่ค่อยๆ เริ่มจากโชว์เล็ก กระโดดมาจัดโชว์ใหญ่เแบบไม่เจียมตัวแต่ทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ที่น่าสนใจคือเขาก็ได้รับการสนับสนุนความฝันบ้าๆ ของตัวเองจากสปอนเซอร์เบอร์ใหญ่อีกต่างหาก
ทั้ง ยูเบียร์, เอไอเอส, เดลล์ และ โก๋แก่ ให้ความเชื่อมั่น มอบเงินก้อนโตให้เขาไปจัดโชว์ซึ่งไม่เคยมีปรากฎว่ามีบุคคลโนเนมคนไหนที่ได้รับการไว้วางใจจากสปอนเซอร์รายใหญ่ได้มากถึงขนาดนี้ ทำให้โชว์ใหญ่ของเขาที่ตัวเองก็ไม่นึกฝันมาก่อนว่าจะเป็นจริงได้ ก็เกิดขึ้นแล้ว
ความรู้สึกหลังดู A – Katanyu : the man who stand up
สำหรับโชว์ A – Katanyu : the man who stand up นั้นเรามีโอกาสได้ดูทั้งสองรอบเพราะผม (อันหมายถึงคนเขียนนี่แหละ) เองก็เป็นหนึ่งในทีมงานเบื้องหลังตั้งแต่โชว์ครั้งแรก และยังเคยขึ้นเวทีสแตนด์อัพฯ กับกตัญญู มาแล้ว จึงมองเห็นพัฒนาการของยู ทุกโชว์จนกระทั่งถึงโชว์ล่าสุดนี้ ยู ได้โชว์พัฒนาร่างต่อไปให้เราได้เห็นตลอด จากการชมมาสองรอบ และเป็นคนเบื้องหลังนี่คือความคิดเห็นจากเรา
สิ่งที่ชอบในโชว์ของกตัญญู
โชว์ครั้งนี้ยู ทำให้คนที่ติดตามโชว์เขามาตลอดสองครั้งที่ผ่านมาได้เห็นว่าเขามีความนิ่งขึ้น ไม่ลนลาน นอยด์แดก ผิดกับโชว์ครั้งแรกที่แม้จะมีคนมาชมน้อยกว่าวันนี้แบบเทียบกันไม่ติด แต่ในวันนั้นยู มีแววตาที่กังวล และมีความวิตกจริตอย่างสัมผัสได้ ขณะที่วันนี้ยู นิ่งขึ้น สามารถเดินหยอกล้อกับทีมงาน คุยเล่นสนุกกับเพื่อนๆ ได้ทั้งที่อีกไม่กี่นาทีโชว์จะเริ่ม ในแง่ของสมาธิเขาจึงสอบผ่าน
อีกส่วนหนึ่งที่ชอบคือความคิดสร้างสรรค์ในการทำคลิปไวรัลเพื่อโปรโมทโชว์ของตัวเอง เขาทำคลิปล้อไปกับกระแส 3 คลิปพอโปรโมทโชว์ตัวเองไปสู่วงกว้างมากขึ้น ทั้งแต่งเพลงล้อเลียน ‘BNK48’, ทำคลิปล้อนักพูด ‘ฌอน บูรณะหิรัญ’ และคลิปล้อบิวตี้ บล็อกเกอร์ ‘จือปาก’ ทุกคลิปได้รับเสียงชมว่าขายของได้กวนตีนสัสๆ (ชมนะ…ชม) ไม่แน่ใจว่าช่วยในแง่ยอดขายแค่ไหน แต่สรุปตั๋วหมดเฉยเลยเอาสิ!
ส่วนในแง่มุขตลกที่เป็นแกนหลักของโชว์ต้องชมไปตามข้อเท็จจริงว่า เขายังคงเป็นนักเล่าเรื่องที่ดี ทราบมาว่าเขาซ้อมหนักมากก่อนโชว์ ผ่านการเดินสายไปซ้อมมุขที่ต่างๆ แม้อาจจะมีลืมมุขไปบ้างบนเวที แต่เขาก็ใช้ไหวพริบเอาตัวรอดออกมาได้ และยังทำให้คนดูคนจดจ่ออยู่กับมุขเขาได้เรื่อยๆ แต่มีบ้างที่คนดูหลายคนตามไม่ทัน เลยไม่เข้าใจสิ่งที่กตัญญู สื่อ และไม่ขำไปเลยก็มี
ตัวอย่างเช่นมุขเกี่ยวกับเพลงยุค 90s ที่กตัญญู พูดถึงเพลงที่ติดหูในวัยเด็ก และไม่สามารถแงะออก เขาพูดถึงเพลงประกอบรายการ ‘แบ่งปันรอยยิ้ม’ ‘เจ้าขุนทอง’ ‘Deep forest – Savana dance’ (ประกอบรายการ Show Time By ศศิธร) และ ‘กสิกรแข็งขัน’ ทั้งหมดนี้เป็นรายการเก่าระดับอายุ 25 ปีขึ้นไปน่าจะเข้าใจ แต่น้อยกว่านั้นอาจจะงงว่าเล่นมุขอะไร
ทั้ง 4 เพลงนี้หากใครเข้าใจตามทันก็จะเก็ตมุขของกตัญญู และขำตามต่อไปได้อย่างไม่หลุดขบวนกับมุขที่เชื่อมโยงกัน แต่กับบางคนที่ตามไม่ทันเขาจะนั่งอึ้งๆ เงียบๆ จากที่สังเกตคนดูแล้วเห็นว่า ช่วงนี้เป็นหนึ่งในช่วงที่คนขำ กับคนไม่ขำพอๆ กัน แต่ก็ไม่ได้เงียบเหงาว้าเหว่จนเกินไป
อีกมุขที่คนตามไม่ทันคือการพูดถึงออฟฟิศที่เขาทำงานอยู่ก่อนที่จะลาออกมาทำโชว์ เขาแซวออฟฟิศตัวเองอย่างสนุกคนในออฟฟิศที่มาดูขำ แต่คนที่ไม่เคยมาที่ออฟฟิศนี้มาก่อน หรือนึกภาพตามไม่ออกว่าออฟฟิศที่เล่าว่าสวยเหมือนออฟฟิศกูเกิ้ล หรือเหมือนออฟฟิศในหนังเรื่อง The Intern นั้น หน้าตาเป็นอย่างไร พอนึกตามไม่ทัน ก็เลยตามขำไม่ทัน
ทว่าอย่างไรก็ตามมุขอื่นๆ สามารถทำงานได้อย่างดีเลี้ยงเสียงหัวเราะได้เกินกว่าครึ่งของผู้ชม อย่างเช่นมุขที่ล้อทักษะความด้อยภาษาอังกฤษของตัวเองตอนไปเกาหลี มุขนี้ยู สามารถเอาคนดูให้อยู่กับโชว์ได้ มีการสรุปตอนจบคมคาย และเดาทางไม่ได้เลยว่ายู จะหักมุมอย่างไร
อีกมุขหนึ่งคือการเล่าเรื่องประสบการณ์การสั่งสตาร์บัคส์ ของตัวเองแล้วแกล้งบาริสต้า ด้วยการคิดชื่อประหลาดๆ ให้ตัวเองแล้วคอยดูว่าตอนที่เรียกชื่อบาริสต้า จะทำหน้าอย่างไร นับเป็นเรื่องเล็กๆ ใกล้ตัวที่ทำเอาหลายคนฮา และคิดว่าต้องมีหลายคนบอกชื่อเล่นปลอมๆ เพี้ยนๆ ของตัวเองเวลาไปสั่งสตาร์บัคส์ (รวมถึงร้านกาแฟร้านอื่นด้วย…)
อีกหนึ่งไหวพริบที่ยูสามารถเอามาเปลี่ยนเป็นมุขระหว่างโชว์ได้คือการเอาพฤติกรรมคนดูมาล้อ พูดถึงสปอนเซอร์แบบเนียนๆ มาทำเป็นมุข รวมถึงขยี้มุขของตัวเองนอกสคริปต์ด้วยไหวพริบทำให้มุขดูคมขึ้นไปอีก สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่จะเป็นกันได้ง่ายๆ ถ้าหัวไม่ไวพอ
สิ่งที่อยากให้กตัญญูพัฒนาต่อไป
แต่อย่างไรก็ตามโชว์ครั้งนี้ไม่ได้เพอร์เฟค ถ้าจะให้คะแนนเราเลือกให้ 7 เต็ม 10 โดย 3 คะแนนที่เราหักไปนั้นมาจากระยะเวลาความยาวของโชว์ที่อาจจะไม่เต็มอิ่มเท่าไหร่ทำให้คนดูรู้สึกว่า อ้าว…จบแล้วเหรอ รวมไปถึงการบอกว่าตัวเองลืมมุขบนเวที เรามองว่าแม้จะดูขำๆ คนดูเฮฮาชอบ แต่ถ้าทำโชว์ไปเรื่อยๆ คงไม่สามารถบอกว่าลืมมุขได้อีกแล้ว
อีกส่วนที่หักคือการเล่นมุขที่เฉพาะทางไปนิด บางมุขเป็นเรื่องส่วนตัว ต้องเป็นคนที่รู้จักยู มาก่อนถึงจะเข้าใจ สิ่งนี้วัดได้ชัดเจนว่ารอบแรกคนที่มาดูเป็นกลุ่มเพื่อนที่ทำงาน และคนรู้จักทำให้พวกเขาเก็ตมุข
แต่รอบที่ 2 ผู้ชมส่วนใหญ่รู้จักยู ผิวเผินมากๆ หรือไม่ก็ไม่รู้จักเลย พอเจอมุขเฉพาะทางเข้าเลยตามต่อไม่ติด ดังนั้นการที่ช่วงแรกคนจะขำ แล้วช่วงหลังเสียงหัวเราะหายไป หรือขำกระจายกันเป็นย่อมๆ มีให้เห็นในช่วงที่เล่นมุขส่วนตัวไปนิด แต่นั้นไม่ได้หมายความว่ามุขนั้นไม่ขำ มุขยูขำ แต่คนฟังบางคนไม่อินเลยจูนไม่ติด
อีกหนึ่งสิ่งคือการจบมุข บางมุขยังจบไม่ลง และตัดจบเอาดื้อๆ ทำให้การเล่นมุขไม่ต่อเนื่อง ถึงจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรในวันนี้ แต่ถ้าทำโชว์ต่อไปเรื่อยๆ ความลื่นไหลในการเข้าออกของมุขควรจะเนียนกว่านี้
ขณะที่มุขสุดท้าย เราเชื่อว่าคนดูคาดหวังว่าจะได้เห็นมุขจบที่มาแบบจัดหนักๆ จัดเต็มๆ ปรากฎว่าเป็นมุขที่มีสเกล ความฮาไม่ต่างกับหลายๆ มุขที่ยูเล่นไปบนเวที ซึ่งฮาอยู่แล้วแต่อาจจะยังไม่หนำใจสมกับที่เป็นมุขสุดยอด
ตอนหลังโชว์จบกตัญญู บอกเราว่า มีคนคอมเมนต์ประเด็นโชว์จบไม่ใหญ่พอเยอะเหมือนกันแต่เราทำเต็มที่แล้ว และไม่เสียใจที่วันนี้ได้ทำทุกอย่างลงไป รอบหน้ามาดูใหม่
เด็กหนุ่มที่ชื่อ ‘บีเบนซ์’ กับโชว์เปิดที่น่าเอาใจช่วย
ก่อนจะเล่นโชว์จริง ยูเชิญ ‘บีเบนซ์’ สแตนด์อัพคอมเมเดี้ยนหน้าใหม่ ที่ติดสอยห้อยตามยู มาเล่นเปิดโชว์ให้ ซึ่งคนส่วนใหญ่ในที่โรงละครแห่งนี้ไม่รู้จักบีเบนซ์ แต่บีเบนซ์ ก็สามารถทำให้คนฮา และประหลาดใจว่าชายที่อยู่บนเวทีนั้นคือโน้ต อุดม หรือเปล่าเพราะใบหน้าเขาคล้าย และเล่นมุข “หากพวกเรากำลังสบายจงปรบมือพลัน” นั้นก็ยิ่งทำให้คนดูนึกถึงโน้ต อุดมขึ้นไปอีก
แต่เล่นไปสักพักบีเบนซ์ เริ่มสะกดคนดูด้วยมุขตลกของตัวเอง ซึ่งเขาทำได้อย่างดีทั้งสองรอบการแสดง ทุกมุขที่เขาใส่ลงไปบนเวทีมีเสียงหัวเราะชอบใจตามมาให้กำลังใจเรื่อยๆ แม้บางช่วงการเล่าเรื่องของเขาจะดูรัว และเร็วไปนิดด้วยข้อจำกัดของเวลา ทำให้มุขที่คาดว่าจะต้องขำ ดันไม่ขำเพราะตอนตบมุข คนดูไล่ตามไม่ทัน รู้ตัวอีกที ท่อนเฉลยผ่านไปแล้ว
ในสายตาของผู้ชมเราเชื่อว่าบีเบนซ์ จะพัฒนาต่อไป และกลายเป็นคนทำโชว์ที่สามารถหาทางของตัวเองได้โดยไม่ต้องยืนอยู่ใต้เงาของโน้ต อุดม ต่อไป ซึ่งเราเห็นบางอย่างในตัวเด็กผู้ชายคนนี้ที่เขาจะหาคาแรคเตอร์ตัวเองเจอแล้วผลักดันตัวเองไปทำโชว์เดี่ยวๆ ของเขาได้
โชว์ครั้งต่อไปของกตัญญู
สแตนด์อัพฯ ของยู ครั้งนี้ไม่ใช่ทำขึ้นมาเล่นๆ แล้วจบเลยเพื่อสนองความต้องการของตัวเอง แต่เขามีแผนที่จะทำจริงจัง และจะพยายามสร้างวงการนี้ให้เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น แต่ยังพยายามชวนเพื่อนๆ ที่รวมเล่นสแตนด์อัพฯ ด้วยกันมาสร้างวงการสแตนด์อัพฯ ในเมืองไทยให้เกิดขึ้น ต่อไป
หลังจากนี้เราจะได้เห็นโชว์ของกตัญญู รวมไปถึงพ้องเพื่อนที่ร่วมหัวจมท้ายกันปั้นโชว์ใหม่ๆ ทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ให้เกิดขึ้นปีหน้าเราน่าจะได้เห็นโชว์สนุกๆ จากกตัญญู และพ้องเพื่อนอีกแน่นอน ขอแค่ติดตามความเคลื่อนไหวของเขาได้ที่ A – Katanyu และ a-katanyu.com