Mango Zero

[ไม่มีสปอยล์] 5 ความเจ๋งของ Stranger things ทำไมใครๆ ก็ต้องดู ??

เชื่อว่าคนที่ตาม Stranger things มาตั้งแต่ซีซั่นแรกจะต้องดูซีซั่นสองกันหมดแล้ว ในที่นี้เราเลยขอพูดกับคนที่ไม่เคยดูมาก่อนก็แล้วกันเนาะ อาจสงสัยกันว่าทำไมช่วงนี้กระแส Stranger things ถึงลุกลามได้ขนาดนี้ ซีรีส์นี้ต่างจากเรื่องอื่นยังไง? ทำไมใครๆ ก็ต้องพูดถึง? แถมช่วงนี้ยังมีอีเวนต์ต่างๆ รวมถึงงานอาร์ตของ Stranger things ให้เราเห็นทั่วกรุงเทพฯ เลยด้วย

มาดูเหตุผลกันว่าทำไมทุกคนต้องดู Stranger Things? มันเจ๋งยังไง?

 

เรื่องย่อ

ซีซั่นที่ 1 : เรื่องเริ่มที่เมืองสมมุติชื่อฮอว์คินส์ รัฐอินเดียน่า  ช่วงค.ศ. 1980 ในซีซั่นแรกจะเน้นที่การสืบสวนการหายตัวไปของวิล หนึ่งในแก๊งของเด็กที่รักเรื่องวิทยาศาสตร์ และเมื่อตัวละครค่อยๆ ตามหาวิลทำให้พวกเขาได้พบกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นรอบๆ เมืองแห่งนี้

ซีซั่นที่ 2 : เนื้อหาในซีซั่นที่สองจะเกิดหลังจากเหตุการณ์แรกหนึ่งปี ตัวละครต้องต่อสู้กับผลที่เกิดจากเนื้อเรื่องในซีซั่นแรก ซึ่งเพื่อไม่เป็นการสปอยล์…รีบดูตามมาให้ทัน!

 

1. เป็นซีรีส์ที่ทำให้คนรู้จักเน็ตฟลิก

ถึงแม้ว่าซีรีส์เรื่องแรกที่เน็ตฟลิกทำจะเป็น House of Cards ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2013 แต่ในขณะนั้นกลุ่มคนที่รู้จักเน็ตฟลิกก็ยังอยู่ในวงแคบ จนมาเมื่อปี 2016 นี่แหละที่ซีรีส์ Stranger things ได้ถือกำเนิดขึ้นและกลายเป็นกระแสปากต่อปากที่ใครๆ ก็อยากหามาดูให้ได้

อย่างเราเองก็ไปตามดูเพราะว่าได้ยินมาจากนักเขียนและพอดแคสต์ต่างๆ ที่แนะนำเช่นกัน จนแบบเออไม่ได้การละดูบ้างก็ได้ ซึ่งด้วยตัวบทและมู้ดแอนด์โทนต่างๆ ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้กลายเป็นตัวตนของเน็ตฟลิกไปเลย เหมือนเป็นการบอกกับวงการภาพยนตร์ทั่วโลกว่า ‘ชั้นไม่ได้มาเล่นๆ นะ รอชมเรื่องอื่นกันต่อได้เลย!’

 

2. ผสมผสานกลิ่นอายยุค 80

ในยุคนี้เรามีหนังดีๆ เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ให้ได้ชมกันเยอะก็จริง แต่ถ้าพูดถึงซีรีส์หรือภาพยนตร์ที่เอาเด็กมาดำเนินเรื่องแนววิทยาศาสตร์ก็ถือว่าห่างหายกันไปนานเหมือนกัน ตั้งแต่ยุค E.T. the Extra-Terrestrial (1982) หรือจะ Super 8 (2011) ก็ตาม

ทำให้ Stranger things ถือเป็นซีรีส์แห่งยุคที่ผสมเรื่องวิทยาศาสตร์เข้ากับการดำเนินเรื่องโดยนักแสดงเด็ก และยังเป็นเรื่องราวในยุค 80 ด้วย ทำให้เราได้กลิ่นอายของยุคนั้นไปแบบเต็มๆ เป็นเสน่ห์ที่สุดทางมากๆ มู้ดแอนด์โทนของซีรีส์คุมธีมออกมาได้ดี ทั้งอาร์ตในหนัง พร้อพต่างๆ ที่ถึงจะเป็นวิทยาศาสตร์แต่ก็เป็นแนวอนาล็อค ทำให้เรานึกถึงช่วงเวลาตอนตัวเองเด็กๆ

 

3. นักแสดงคาแรคเตอร์จัด

ถ้าให้ว่ากันง่ายๆ เราว่า Stranger things มันเหมือนหนังเรื่องแฟนฉันที่เราเคยดูกันเมื่อปี 2003 มีกลิ่นอายความเป็นแก๊งเด็กๆ เที่ยวเล่น ขี่จักรยานกัน และดำเนินเรื่องไปแบบนั้น แต่ของ Stranger things จะเป็นแก๊งแฟนฉันที่เนิร์ดวิทยาศาสตร์ เนิร์ดบอร์ดเกม และหมกมุ่นกับการเรียนรู้มากๆ

เป็นแก๊งเด็กเนิร์ดที่อยู่ดีๆ เพื่อนของตัวเองก็หายไปหนึ่งคนอย่างไร้ร่องรอย เลยต้องค่อยๆ คลายปมปริศนาว่าที่สุดแล้วเพื่อนหายไปไหน? เรื่องราวในซีรีส์เลยทำให้เราเห็นความรักเพื่อนของแก๊งตัวละครกลุ่มนี้ ที่ประกอบไปด้วย Dustin, Lucus, Mike, Will รวมไปถึงน้อง Eleven ที่ไม่ว่าใครดูก็ต้องหลงรัก จนต้องตามไปกดฟอลโล่ไอจีของนักแสดงเลย

 

4. กลายเป็นกระแสฟีเวอร์

หลังจากซีรีส์ออกมาซีซั่นเดียวตัวละครและพร้อพต่างๆ ในซีรีส์ก็กลายเป็นสิ่งของที่ทุกคนอยากได้ ไม่ว่าจะเป็นหมวกที่ดัสตินใส่, ขนม Eggo ที่น้องแอลชอบกิน หรือจะอุปกรณ์ต่างๆ ที่ถูกใช้ในซีรีส์ ทุกอย่างกลายเป็นแรร์ไอเท็มที่ถูกนำมาทำเป็น Merchandise ทั้งจากแบรนด์เอง และจากกลุ่มแฟนคลับด้วย

อย่างกรุงเทพฯ ในช่วงนี้ก็ถูกเปลี่ยนโฉมให้ได้บรรยากาศเมืองฮอว์คินส์ ไปในหลายๆ สถานที่เหมือนกัน เช่น หอศิลกรุงเทพมหานคร (BACC) หรือจะพื้นที่แถวเอกมัย, ทองหล่อก็ด้วย

 

5. ดูเรื่องนี้ไม่เสียเวลาแน่นอน

หลายคนจะกลัวการเริ่มดูซีรีส์สักเรื่อง เพราะว่ากลัวจะเสียเวลาชีวิต กลัวจะติดเกินไปแล้วเสียงานเสียการ แต่สำหรับ Stranger things เราว่ามันโอเคที่จะใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง/ซีซั่น ในการชมนะ เพราะว่าเราจะไม่เสียดายทีหลังแน่ๆ

และระหว่างการดูซีรีส์เรื่องนี้เรายังอาจได้ไอเดียอะไรบางอย่างด้วย เช่นเรื่องราวด้านวิทยาศาสตร์ล้ำๆ หรือจะเพลงประกอบที่บอกเลยว่าคนสร้างนี่คัดมาแล้วอย่างดี เพราะเราแอบไปดูเบื้องหลังในเน็ตฟลิกมาแล้ว และพบว่า โอ้โห เขาคิดมาเยอะมากจริงๆ ในการจะเลือกเพลงประกอบสักเพลง

 

6. ลูกค้า AIS ชมฟรีด้วยนะ

* ข้อนี้ขอแถม

Stranger Things ทั้งซีซั่น 1 และ 2 สามารถรับชมแบบซับไทยได้แล้วบน Netflix ซึ่งสามารถตัดค่าบริการรายเดือน Netflix ผ่านบิลค่ามือถือเอไอเอสได้แล้ว

และเพื่อต้อนรับการมาของ Stranger Things ซีซั่น 2