สัมภาษณ์เบื้องหลังการออกแบบโพรงกระต่าย Rabbit Digital Group พร้อมแอบส่องชีวิตการทำงานที่ออฟฟิศโกดังแห่งนี้ ถ้านึกถึงออฟฟิศที่เท่ที่สุดในยุคนี้ เชื่อว่าออฟฟิศโกดังของ Rabbit Digital Group จะต้องติดโผขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ เพราะเป็นออฟฟิศเอเจนซีเจ้าแรกที่เปลี่ยนโกดังให้กลายเป็นรังกระต่ายสุดคูล มีพื้นที่กิจกรรมกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด(เค้าทำงานกันตรงไหนอ้ะ?) ตอบโจทย์ชีวิตพวกเราที่อยากมีสไลเดอร์ในที่ทำงานเป็นที่สุด ซึ่งบทความนี้เราจะมาสัมภาษณ์พี่เล็ก–รุ่งโรจน์ ตันเจริญ ผู้บริหาร Rabbit Digital Group และสถาปนิกผู้ออกแบบอย่าง พี่พจ พจนฤทธิ์ นิมิตกุล มาลองอ่านกันดูว่าที่มาที่ไปของที่ทำงานสไตล์โกดังของชาวกระต่ายเป็นมายังไง และนับจากวันแรกจนถึงวันนี้ชีวิตการทำงานที่นี่ของชาวกระต่ายเป็นยังไงบ้าง Disclaimer // MangoZero เป็นบริษัทในเครือ Rabbit Digital Group DAY 00 : มาดู Before-After กัน ว่าก่อนการก่อสร้างสภาพที่นี่เป็นยังไง ภาพต่อไปนี้เป็นภาพที่น้อยคนได้เคยเห็น(ก็ใช่อะสิ เพราะมาเห็นอีกทีก็ตอนสร้างเสร็จแล้ว) จะเห็นว่าโกดังสวยมากๆ ชั้นลอยที่มีอยู่ทุกวันนี้ก็มีมาก่อนแล้ว การออกแบบที่นี่จึงเป็นคล้ายกับการรีโนเวตเก็บจุดเด่นของสถานที่ไว้และเพิ่มเติมส่วนที่อยากใช้งานเข้าไป “จุดเด่นอย่างแรกเลยคือความสูง..สูงมากกก ทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่ในอาคารทั่วไป มันเป็นความสูงที่คนไม่ค่อยคุ้นชิน แล้วแสงของเดิมเจาะเป็น Skylight ทำให้มีแสงลงเป็นจุดๆ ตามจุดนู้นจุดนี้ แนวคิดการออกแบบก็ตั้งใจให้มันสอดคล้องกับของเดิมให้ได้มากที่สุด แล้วก็ขับจุดเด่นของเดิมให้ได้มากที่สุด แค่นั้นเลย” – พี่พจกล่าว ถึงการออกแบบจะเน้นความสวยงามแล้ว แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการใช้งาน และที่แห่งนี้ก็ตั้งโจทย์ไว้ว่าจะออกแบบเพื่อคนใช้ด้วย “ตอนออกแบบก็คิดเลยว่าตัวเองเป็นคนใช้ คิดเลยว่าตัวเองจะเดินมาตรงนี้เจอเพื่อนอยู่ตรงนี้ เนี่ยตรงนี้ก็คือเราเดินขึ้นมาหัวหน้าอยู่ตรงนี้นะเราก็เดินไปคุยกับเขา แวะกินกาแฟกับเพื่อน วางแก้วไว้ที่ความสูงตรงนี้นะ เดินเข้ามาอยากเห็นอะไรก็นึกอยู่ในหัวหมด จะมีเพื่อนอยู่คนนึงนั่งอยู่ตรงนั้นนะ มันจะตะโกนเรียกเราตอนเที่ยงเพื่อไปกินข้าว” – พี่พจ เจ้าของเสียงนุ่มพูดพร้อมลากปากกาไปตามภาพร่างสเก็ต “ถ้าสังเกตโต๊ะแทบทุกอันอะมันจะเป็นกึ่งเปิดกึ่งปิด คือพอนั่งเราก็จะไม่ได้มองเห็นคนอื่น แต่พอยืนปุ้บเราจะเห็นทั้งหมดเลย แต่มันก็ไม่ได้คอนเนคกันร้อยเปอร์เซ็นสักทีเดียวมันก็จะยังเป็นโซนๆ อยู่ เป็นพื้นที่กึ่ง Private และ Public ที่เชื่อมกันอยู่ ถ้าสมมติว่าเป็นออฟฟิศทั่วไป โต๊ะทำงานก็จะเป็นโซนทำงานเลย ถ้าเข้าโซนชิลมันก็จะเป็นโซนชิลเลย อันนี้มันจะเป็นกึ่งๆ ซึ่งพี่ว่าลึกๆ มันก็จะ Drive ความคิดสร้างสรรค์ระดับนึงนะ” – พี่เล็ก DAY 01 : วันแรกที่มาสัมภาษณ์งาน..เราหลง ก็ใครจะไปคิดว่าในซอยเล็กๆ ของถนนบรรทัดทองจะมีโกดังซ่อนอยู่ เป็นซอยขนาดรถผ่านได้คันเดียว อยู่ลึกเข้ามาข้างโรงเรียนประเสริฐธรรมทำให้ด้านหน้าจะมีขายโตเกียวบ้าง ผลไม้บ้าง (ขนมหน้าโรงเรียนชัดๆ) ถ้ายืนอยู่ด้านนอกออฟฟิศ เราจะเห็นแค่ประตูกระจกใสหนึ่งบาน ที่พอเปิดเข้ามาจะเจอโลกอีกใบเลย เพราะนั่นแหละ..ใครจะไปคิดว่าในซอยแบบนี้จะมีโกดังโคตรใหญ่ซ่อนอยู่ พี่เล็กเล่าว่าในช่วงที่หาทำเลเพื่อสร้างออฟฟิศที่ใหม่ ก็ปิ๊งไอเดียว่าอยากจะใช้โกดังมาทำออฟฟิศบ้าง(แบบในหนังเรื่อง The Intern นั่นแหละ) พอลองเสิร์จกูเกิลก็เจอที่นึงอยู่แถวจุฬาฯ ตอนโทรถามเจ้าของที่ยังถามเลยว่า “มันมีจริงๆ หรอครับ” ก็ทำเลมันดีมากอยู่ตรงข้ามสวนอุทยานจุฬาฯ 100 ปี ไม่ไกลรถไฟฟ้าด้วย.. และมันก็มีจริงๆ วันแรกที่พี่เล็กมาดูโลเคชั่นก็รู้สึกเหมือนกับพนักงานอย่างพวกเรานี่แหละ ที่รู้สึกว่านี่เป็นโลกอีกใบ แต่สิ่งที่พี่เล็กตื่นเต้นไปกว่านั้นก็คือภาพวันที่โกดังแห่งนี้จะถูกแปลงโฉมให้กลายเป็นที่ทำงานและจุคนจำนวนร้อยกว่าชีวิต “เดินมาครั้งแรกก็จินตนาการแล้วว่าถ้าตรงนี้เป็นออฟฟิศนะแม่งต้องมันแน่เลยว่ะไรเงี้ย คือวันที่เดินเข้ามาเห็นไซต์แล้วแบบจินตนาการเลยว่าต้องมันแน่ๆ พอนึกภาพออฟฟิศเก่าที่ขยายมาเป็นอันนี้ก็แบบ..คือมันใหญ่มาก ถึงวันนี้จะเริ่มชินแล้วก็เถอะ” ด้านฝั่งสถาปนิกอย่างพี่พจเองก็บอกเราว่าตอนมาดูที่นี่ก็คิดว่าสถานที่สวยมาก แต่สิ่งที่มองเห็นเลยว่าต้องมีแน่ๆ ก็คือต้นไม้ที่จะเป็นพระเอกของออฟฟิศแห่งนี้ ภายหลังพี่พจได้ขุดพื้นลงไปและเอา ต้นมั่งมี มาประจำไว้คู่กับชาวกระต่าย “เนี่ยอันนี้คือไปไซต์ครั้งแรกเลยนะแล้วกลับมาวาด” – พี่พจบอกเราพร้อมยื่นภาพสเก็ตให้ดู พอเราได้ฟังจากทั้งพี่เล็กและพี่พจก็กลับมาสังเกตเองเหมือนกันว่าต้นไม้ที่ตั้งอยู่ตรงนี้มันทำให้รู้สึกว่าออฟฟิศนี้เป็นกึ่งเอาท์ดอร์ คือเมื่อไหร่ก็ตามที่เริ่มเครียดกับงาน พอเราออกมานั่งข้างนอกตรงโซนต้นไม้ มันเหมือนเราได้ใกล้ธรรมชาติขึ้นอีกนิดและปล่อยวางอะไรลงไปได้นิดหน่อย ด้านฝั่งสถาปนิกอย่างพี่พจเองก็บอกเราว่าตอนมาดูที่นี่ก็คิดว่าสถานที่สวยมาก แต่สิ่งที่มองเห็นเลยว่าต้องมีแน่ๆ ก็คือต้นไม้ที่จะเป็นพระเอกของออฟฟิศแห่งนี้ ภายหลังพี่พจได้ขุดพื้นลงไปและเอา ต้นมั่งมี มาประจำไว้คู่กับชาวกระต่าย “เนี่ยอันนี้คือไปไซต์ครั้งแรกเลยนะแล้วกลับมาวาด” – พี่พจบอกเราพร้อมยื่นภาพสเก็ตให้ดู พอเราได้ฟังจากทั้งพี่เล็กและพี่พจก็กลับมาสังเกตเองเหมือนกันว่าต้นไม้ที่ตั้งอยู่ตรงนี้มันทำให้รู้สึกว่าออฟฟิศนี้เป็นกึ่งเอาท์ดอร์ คือเมื่อไหร่ก็ตามที่เริ่มเครียดกับงาน พอเราออกมานั่งข้างนอกตรงโซนต้นไม้ มันเหมือนเราได้ใกล้ธรรมชาติขึ้นอีกนิดและปล่อยวางอะไรลงไปได้นิดหน่อย DAY 02 – DAY 500 : ชีวิตของเราหมุนไวมาก (ไวกว่าหนังเรื่อง 500 Days of Summer แน่นอน) ตั้งแต่วันแรกๆ จนวันนี้ เราพบว่าสิ่งที่พี่เล็กและคนในออฟฟิศให้ความสำคัญที่สุดคือกิจกรรม (เรื่องงานก็ด้วย แต่คำนวณมาแล้วว่ากิจกรรมสำคัญกว่า) ตั้งแต่อยู่ที่นี่มาเรามีทั้งเวทีประกวดเดอะโว้ย(ลอกมาจากเดอะวอยซ์) งานกีฬาสีที่จริงจังยิ่งกว่าเด็กโรงเรียนประเสริฐธรรม งานเปิดท้ายขายของ(ที่ตลาดตั้งอยู่ในออฟฟิศ) งานคาราโอเกะ งานกินฟรี และงานอีกมากมายที่ขึ้นชื่อว่า ‘งาน’ แต่จริงๆ มันคือกิจกรรม! ซึ่งทุกงานมันจะเกิดไม่ได้เลยถ้าไม่มีออฟฟิศที่เป็นลานโล่งๆ แบบนี้ อย่างที่บอกว่าครึ่งหนึ่งของพื้นที่ที่นี่คือกิจกรรม เราเลยมีทั้งโต๊ะปิงปอง โต๊ะพูล ห้องนอน โซฟาอะไรก็มีหมด แล้วพอได้คุยกับพี่เล็กจริงๆ ก็พบว่ากิจกรรมพวกนี้พี่เล็กก็ไม่ได้คิดมาตั้งแต่แรกเหมือนกันแต่เป็นเพราะสถานที่มันเอื้อให้เกิดไอเดียทำหลายๆ สิ่ง “อย่างการที่ทำตลาดนัดขายของเนี่ยก็เป็นสิ่งที่ไม่ได้เป็นไอเดีย แต่ต้นคิดก็คือ ‘เฮ้ยอันนี้น่าจัดว่ะ’ ที่จะบอกก็คือ Space ไม่ได้ทำแค่ให้คนดีขึ้นหรือ Culture ดีขึ้น แต่ Space เป็น Facilities พื้นฐานที่ทำให้คนอยากทำอะไรก็ทำได้” ถึงสถานที่ออฟฟิศของเราจะน่าอยู่แค่ไหน แต่แน่นอนว่าในความสวยงามก็ต้องมีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ตามมาให้แก้ไข “พี่ว่าการย้ายมาออฟฟิศแบบนี้มันจะมีคนชอบ ที่คิดว่าออฟฟิศดี เออเพดานสูงดีนะ แต่บางคนก็จะแบบว่า ‘เฮ้ยมีปัญหานู่นปัญหานี่’ ก็มีเหมือนกัน อย่างที่นั่งบางที่เมื่อก่อนมันไม่มีกันแดดข้างบนนะ แต่คนนั่งแล้วร้อนไง มันก็จะมีปัญหาบางอย่างที่เราไม่รู้เหมือนกัน” – พี่เล็ก และถึงสิ่งที่เราเล่ามาจะดูสวยหรู หลายคนอ่านแล้วอาจอิจฉาและคิดว่านี่แหละที่ๆ เหมาะกับชั้น แต่เมื่อถามถึงคัลเจอร์หรือคนที่เหมาะจะทำงานที่นี่ พี่เล็กกลับบอกเราว่า “อาจเห็นออฟฟิศเราสวย ดูน่าสนุกก็จริง แต่ว่าเราก็ทำงานหนักนะก็มีเรื่องเครียด คือออฟฟิศมันสนุกแต่การทำงานของเราก็คือการทำงาน พี่บอกกับพนักงานทุกคนเสมอว่า Rabbit Digital Group คือรถโฟร์วีลไม่ใช่รถสปอร์ตที่ขับบนถนนเรียบๆ แต่เราเป็นรถที่แล่นอยู่บนทางขรุขระ ถ้าเกิดวันไหนฝนตกรถตกหล่มขึ้นมา เราก็ต้องลงไปช่วยกันเข็น และเราก็บอกไม่ได้ว่าทางข้างหน้าจะเรียบเสมอไป” “นึกไม่ออกแล้วว่าจะถามอะไรพี่เล็ก ยังมีเรื่องไหนที่พี่เล็กไม่เคยเล่าออกสื่อบ้างไหมคะ?” “พี่ว่าไม่มีละนะ” – พี่เล็กตอบพร้อมรอยยิ้มอปป้า (จริงๆ ไม่อปป้าแต่เขียนเผื่อพี่เล็กมาเห็น)