“ฮาลาบาลา ป่าจิตหลุด” เล่าเรื่องราวของ “สารวัตรแดน” (รับบทโดย เต๋อ ฉันทวิชช์) ตำรวจที่มักจะวิสามัญผู้ร้ายอย่างโหดเหี้ยมกระทั่งได้ฉายาว่า “แดนร้อยศพ” เขาต้องสร้างผลงานเพื่อที่จะพาตัวเองและ “วิ” (รับบทโดย ณิชา ณัฏฐณิชา) ภรรยาท้องแก่กลับไปอยู่ที่กรุงเทพฯ ให้ได้ ซึ่งภารกิจในครั้งนี้คือการตามล่าฆาตกรแหกคุกจิตวิปริตอย่าง “ตั๊บตาไฟ” (รับบทโดย ปู แบล็กเฮด) ที่หนีเข้าไปในป่าอาถรรพ์ “ฮาลาบาลา” โดยที่แดนไม่รู้เลยว่าป่าแห่งนี้มีบางสิ่งบางอย่างกำลังเฝ้ามองและจ้องจะกลืนกินเขาอยู่! เสน่ห์อย่างแรกของหนังเรื่องนี้คือการหยิบป่า “ฮาลาบาลา” ที่มีอยู่จริงในภาคใต้ของไทย พร้อมด้วยตำนาน “บาเตาะ” เผ่ากินคนในยุคโบราณมาใช้เป็นสารตั้งต้นของเรื่องราวทั้งหมด ยิ่งเมื่อตำนานเหล่านั้นถูกยกมาเล่าในช่วงเปิดเรื่อง ก็ยิ่งกระตุ้นความสนใจให้ติดตามต่อ และเสริมความหลอนให้กับหนังได้เป็นอย่างดี อีกหนึ่งมุมที่จะไม่พูดถึงคงไม่ได้ คือองค์ประกอบต่างๆ ในหนังที่ค่อยๆ “กลืนกิน” และพาทุกๆ คนดำดิ่งสู่ความ “จิตหลุด” ไปทีละน้อย เริ่มตั้งแต่มุมกล้องแปลกใหม่ และเสียงประกอบ ที่ชวนให้รู้สึกกดดัน การตัดต่อที่สลับไปมา เดี๋ยวจริงเดี๋ยวหลอก ชวนให้ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกเหมือนถูกปั่นประสาทตามไปด้วย ประกอบกับฝีมือของนักแสดงแต่ละคนที่โดดเด่นแบบไม่มีใครยอมใคร ยิ่งตัวละครในเรื่องถูกความหลอนของป่ากลืนกินไปมากเท่าไร ผู้ชมอย่างเราก็คล้ายจะจิตหลุดตามไปอย่างไรอย่างนั้น อย่างไรก็ตาม “ฮาลาบาลา ป่าจิตหลุด” ยังคงมีจุดน่าเสียดายเล็กๆ เมื่อหนังไม่ได้เล่นกับความน่าสนใจของป่า “ฮาลาบาลา” และตำนานเผ่ากินคน “บาเตาะ” มากนัก เพราะหนังต้องการที่จะชูประเด็น “ปีศาจในใจ” เป็นสำคัญ แต่แล้วประเด็นที่ว่านั้นก็ไม่ได้ถ่ายทอดออกมาอย่างลึกซึ้งเท่าที่ควร จนทำให้รู้สึกเหมือนรสชาติบางอย่างยังขาดหายไปอย่างห้ามไม่ได้ แม้จะมีส่วนที่ควรเติมเต็มอยู่อีก แต่โดยรวมแล้ว “ฮาลาบาลา ป่าจิตหลุด” ก็ยังเป็นประสบการณ์ความหลอนแบบใหม่ๆ ที่ไม่ได้พบเจอในหนังไทยบ่อยนัก และไม่ควรพลาดโอกาสที่จะลองพิสูจน์ด้วยตัวเอง ยิ่งถ้าใครเป็นคนชอบเนื้อหาแนวปีศาจ บวกกับความเป็นจิตวิทยา วิเคราะห์จิตใจผู้คน บอกเลยว่าหนังเรื่องนี้มีหลายแง่มุมที่รอให้คุณได้มาร่วมค้นหาอย่างแน่นอน จากสถานที่ที่มีจริงและตำนานกล่าวขาน สู่เรื่องราวสุดระทึกบนจอภาพยนตร์ ร่วมพิสูจน์ความหลอนของป่าอาถรรพ์ไปกับ “ฮาลาบาลา ป่าจิตหลุด” ได้แล้ววันนี้ ในโรงภาพยนตร์