เช็กลิสต์ก่อนซื้อแอร์ตัวใหม่ ให้เย็นจัดหนัก คุ้มจุใจ ต้องดูอะไรบ้าง?
ขึ้นชื่อว่าประเทศไทยจะขาดแอร์ไปได้ยังไง ‘แอร์’ นับเป็นอีกสิ่งสำคัญที่แทบจะต้องมีทุกบ้าน สาเหตุหลัก ๆ ก็เพื่อทำความเย็นให้บ้านเรานั่นเอง
แต่ในปัจจุบัน การซื้อแอร์เพื่อให้ความเย็นอย่างเดียวคงไม่พอ เพราะแอร์ที่ดีควรให้อะไรที่มากกว่า อย่างอากาศที่บริสุทธิ์ ช่วยกำจัดกลิ่น และที่สำคัญต้องช่วยประหยัดไฟ เพราะฉะนั้นการหาซื้อแอร์แต่ละครั้งหลายคนเลยคิดหนักไม่น้อยย
วันนี้ Mango Zero เลยรวมเช็กลิสต์มาให้ทุกคน ไว้ใช้พิจารณาก่อนเลือกซื้อแอร์เครื่องใหม่มาฝากกัน จะได้คุ้มค่าเหมือนได้แอร์ที่มากกว่าแอร์กัน!
1. เลือก BTU ให้เหมาะกับห้อง
อันดับแรกก่อนการเลือกซื้อแอร์ ควรดู BTU แอร์ให้เหมาะสมกับขนาดของห้องที่จะติดตั้ง เพราะหากเลือก BTU ไม่เหมาะสม อาจทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานหนักเกินไป ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง แถมยังเป็นการสิ้นเปลืองทั้งพลังงาน และค่าใช้จ่ายอีกด้วย
โดย BTU แอร์ที่สูงเกินไป จะทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานหนักเกิน จนเกิดอาการแอร์ตัดอย่างที่หลายคนคงเคยเจอกันบ่อย ๆ ซึ่งผลที่ตามมาก็คือ ความชื้นภายในห้องจะสูงขึ้น ทำให้รู้สึกไม่สบายตัว
ส่วน BTU ที่ต่ำไปจะทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานตลอดเวลา เนื่องจากความเย็นห้องไม่ได้เป็นไปตามอุณหภูมิที่ตั้งไว้ นอกจากสิ้นเปลืองพลังงานแล้วก็ทำให้แอร์เสื่อมประสิทธิภาพได้เร็วกว่าเดิมอีกด้วย
ดังนั้นทุกครั้งก่อนซื้อแอร์ ควรคำนวณค่า BTU ก่อนเสมอ โดยวิธีการก็ไม่ยาก แค่คำนวณตามสูตรนี้
- BTU = ความกว้าง (m) x ความยาว (m) x ค่าตัวแปร
ซึ่งค่าตัวแปรคือค่าการโดนแดดโดยประมาณ ที่มีค่ากำหนดไว้คร่าว ๆ ดังนี้
- 750 สำหรับห้องนอนที่ไม่โดนแดด
- 800 สำหรับห้องนอนที่โดนแดด
- 850 สำหรับห้องทำงานไม่โดนแดด
- 900 สำหรับห้องทำงานโดนแดด
- 950-1,100 สำหรับร้านอาหาร หรือสำนักงานไม่โดนแดด
- 1,100-1,200 ร้านอาหาร หรือสำนักงานโดนแดด
และเมื่อคำนวณค่า BTU ออกมาได้ ก็นำไปเปรียบเทียบกับขนาดห้อง ดังนี้
- 9,000 BTU – 9-12 ตร.ม.
- 12,000 BTU – 12-16 ตร.ม.
- 15,000 BTU – 15 – 20 ตร.ม.
- 18,000 BTU – 16 – 24 ตร.ม.
- 24,000 BTU – 24 – 32 ตร.ม.
- 30,000 BTU – 26 – 36 ตร.ม.
- 36,000 BTU – 32 – 43 ตร.ม.
- 42,000 BTU – 42 – 56 ตร.ม.
- 48,000 BTU – 48 – 64 ตร.ม.
นอกจากนี้ ยังควรคำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น จำนวนผู้อาศัยในห้อง ขนาดของห้อง รวมถึงปริมาณแสงแดดที่ส่องถึงห้องด้วยเช่นกัน
2. ฟังก์ชันประหยัดไฟ รู้ใจเหมือนเพื่อน
สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ เรื่องความประหยัด แอร์ที่ดีควรมีโหมดประหยัดพลังงาน (Energy Saving) อย่างแอร์บางรุ่นก็จะมีระบบ Motion Sensor คอยตรวจจับความเคลื่อนไหวภายในห้อง หากไม่มีการเคลื่อนไหวภายในเวลาที่กำหนด เครื่องก็จะปรับเข้าสู่โหมด Stand by เพื่อประหยัดพลังงาน หรือสามารถตั้งให้เครื่องหยุดทำงานตามระยะเวลาที่กำหนดเลยก็ได้
นอกจากนี้ ยังมีแอร์บางรุ่นที่สามารถปรับโหมดการทำงาน อุณหภูมิ หรือแม้แต่ระดับพัดลมอัตโนมัติได้อีกด้วย ซึ่งก็เป็นอีกฟังก์ชันที่รู้ดีเหมือนมีเพื่อนซี้คู่ประหยัดเลยทีเดียว
3. เย็นเร็ว เย็นไกล เย็นทั่วถึง
การซื้อแอร์ที่มีฟังก์ชันเรื่องความเย็นโดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเย็นเร็ว ลมแรง หรือลมไกล ก็เป็นตัวเลือกที่ดี เพราะนอกจากลมแรงจะช่วยในเรื่องของความเย็นสบายแล้ว ยังช่วยช่วยกระจายลมเย็นให้อุณหภูมิเย็นเท่ากันทั่วห้อง
โดยเฉพาะแอร์รุ่นที่มีฟังก์ชันช่วยกระจายอากาศให้เย็นเร็ว และส่งลมได้ไกลถึงจะยิ่งช่วยลดปัญหาหมดกังวลเรื่องแอร์เย็นไม่ทั่วห้องได้อีกด้วย
4. ฟอกอากาศ กำจัดกลิ่นอับ และยับยั้งแบคทีเรีย
อย่างที่บอกว่าแอร์ที่ดีต้องไม่ให้แค่ความเย็น แต่ควรมีคุณสมบัติในการฟอกอากาศ ดักจับ และทำลายมลพิษได้ด้วย ยิ่งปัจจุบัน มีทั้งฝุ่น PM2.5 และมลภาวะต่าง ๆ มากมาย หากมีตัวช่วยดี ๆ อยู่ที่บ้าน อย่างแอร์ที่มาพร้อมกับตัวช่วยฟอกอากาศ พร้อมส่งอากาศบริสุทธิ์ถึงทุกคนในบ้านานก็คงจะดีกว่า
นอกจากนี้ เรื่องกลิ่นก็คงกวนใจหลายคนไม่น้อย จะดีกว่าไหมถ้ามีแอร์ที่สามารถกำจัดกลิ่นอับ และยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรีย ทำให้ทุกคนในบ้านปลอดภัยท่ามกลางอากาศบริสุทธ์ เหมือนได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติตลอดเวลา
5. Mitsubishi Heavy Duty แอร์ฟังก์ชันครบจบในเครื่องเดียว
ถ้าจะหาแอร์เครื่องใหม่ให้ตอบโจทย์ทั้งเรื่องการใช้งาน และความคุ้มค่าแล้วล่ะก็ Mitsubishi Heavy Duty เขามีแอร์ออกมาหลายซีรีส์ให้เลือกซื้อได้ตามการใช้งาน เพราะเป็นแอร์ที่ทำงานด้วยเทคโนโลยี Inverter แท้ทั้งระบบที่ทำให้ประหยัดไฟมากขึ้น เทคโนโลย์ Inverter ดังกล่าวประกอบด้วย 4 ชิ้นส่วน ได้แก่
- แผนวงจรอัจฉริยะ PAM ช่วยควบคุมคอมเพรสเซอร์และมอเตอร์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดของการใช้พลังงาน
- คอมเพรสเซอร์กระแสตรง DC ช่วยปรับเปลี่ยนความเร็วรอบในการทำงานให้สัมพันธ์กับอุณหภูมิ ทำให้ประหยัดพลังงานมากขึ้น
- วาล์วอิเล็กทรอนิกส์ EEV ช่วยในเรื่องของการควบคุมสารทำความเย็นให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะสม ทำให้รักษาระดับอุณหภูมิได้นิ่งกว่า
- มอเตอร์กระแสตรง ช่วยควบคุมความเร็วรอบและเปลี่ยนแปลงรอบการทำงานของมอเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำ
โดยเฉพาะรุ่นแนะนำอย่าง Kaze Series และรุ่นอื่น ๆ ทั้ง Hoshi Series, Aki Series และ Fuyu Series
Kaze Series
รุ่นเดียวที่เป็น Non Inverter ซึ่งภายในซีรีส์ก็มีมีทั้งรุ่น SRK10CXV-W1, SRK13CXV-W1, SRK15CXV-W1, SRK18CXV-W1 และ SRK24CXV-W1 ที่มาพร้อมฟังก์ชันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการกระจายความเย็นที่มี Jet Flow ที่ช่วยกระจายอากาศให้เย็นเร็ว
และระบบการทำงานแบบ Hi Power ที่ช่วยให้แอร์สามารถทำงานอย่างต่อเนื่องด้วยโหมดพลังงานสูงเป็นเวลา 15 นาที และช่วยปรับระดับอุณหภูมิตามต้องการได้อย่างรวดเร็ว
หรือด้านการฟอกอากาศ และยับยั้งกลิ่นก็มี Solar Filter ที่ช่วยกำจัดกลิ่นอับ หรือกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ Nano Air Filter ช่วยฟอกอากาศด้วยแผ่นฟอกอากาศ Nano Air Filter ที่สามารถกรองฝุ่น PM2.5 พร้อมฟอกอากาศบริสุทธิ์
นอกจากนี้ ยังรวมถึง Self Clean Operation ฟังก์ชันที่ทำให้คอยล์เย็นแห้ง โดยมีพัดลมเป่าไล่ความชื้นออกจากตัวคอยล์เย็น เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา และ 24 Hour ION หรือการสร้างประจุลบตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้อากาศคงความสดชื่นอยู่ตลอดเวลา
Hoshi Series
รุ่นใหม่แกะกล่อง YY ที่เป็น New Arrival Y2022 ที่มาพร้อมฟังก์ชันที่คล้ายกับรุ่น Kaze Series เช่นกัน ทั้ง Jetflow, Hi Power, Self Clean Operation และ Nano Air Filter
ที่พิเศษขึ้นมามีฟังก์ชัน Anti Allergy & Activated Caron Filter แผ่นฟอกอากาศที่มีคุณสมบัติช่วยต่อต้านสารก่อภูมิแพ้นั่นเอง
Aki Series
รุ่น YXS/YVS รุ่นรองท็อปที่ใช้เทคโนโลยี Inverter แท้ทั้งระบบ และมีฟังก์ชันคล้ายกับรุ่นอื่น ๆ ทั้ง Jetflow, Hi Power, 3D Auto ช่วยในเรื่องของการกระจายลมเย็นทั่วห้อง ให้เย็นเร็ว เย็นแรงภายใน 15 นาที
แผ่นฟอกอากาศที่แถมมากับตัวเครื่องมีคุณสมบัติครบครันตอบโจทย์ยุคสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นกรองฝุ่น PM2.5 หรือต่อต้านสารก่อภูมิแพ้ และยังมีฟังก์ชั่น 24 Hour ION ที่ช่วยสร้างอากาศบริสุทธิ์ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมกับ Self Clean Operation ที่ช่วยไล่ความชื้นในคอยล์เย็นหลังกดปิดเครื่อง เพื่อป้องกันกลิ่นอับและการเติบโตของเชื้อราอีกด้วย
Fuyu Series
อีกรุ่นที่ใช้เทคโนโลยี Inverter แท้ทั้งระบบ มาพร้อมกับระบบประหยัดไฟเบอร์ 5 สูงสุด 3 ดาว ส่วนฟังก์ชันต่าง ๆ ก็คล้ายกับรุ่น Aki Series และมาพร้อมกับ Allergy Filter แผ่นฟอกอากาศที่ช่วยดักจับ และทำลายสารก่อภูมิแพ้
ที่พิเศษยิ่งกว่าคือ Fuyu Series มีระบบ Motion Sensor ที่คอยตรวจจับความเคลื่อนไหว และปรับระดับอุณหภูมิหรือโหมดการทำงานโดยอัตโนมัติให้เหมาะสมกับจำนวนผู้ใช้งาน และสภาพแวดล้อมภายในห้อง
พร้อมทั้งมีระบบ Stand by หยุดการทำงานเมื่อไม่มีคนอยู่ หรือระบบปิดอัตโนมัติ (Auto Off) เมื่อไม่มีผู้ใช้งานอยู่ในห้องเป็นระยะเวลานาน ๆ เรียกได้ว่าช่วยในเรื่องของความประหยัดไฟได้ดีกว่าทุกรุ่น โดยสำหรับรุ่นเริ่มต้นอย่าง 9,000 และ 12,000 Btu/h นั้น การันตีด้วยฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ถึง 3 ดาวเลยทีเดียว
นอกจากจะมีฟังก์ชันครบจบในแอร์เครื่องเดียวแล้ว Mitsubishi Heavy Duty ยังมาพร้อมกับบริการหลังการขายที่รวดเร็ว ฉับไว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบริการ ติดตั้ง ล้าง ซ่อม รับรองว่าสะอาด ปลอดภัยตามมาตรฐานแน่นอน แถมแอร์ทุกรุ่นยังรับประกันนานถึง 5 ปีทุกชิ้นส่วน และขยายเวลารับประกันเพิ่มอีก 6 เดือนเมื่อลงทะเบียนออนไลน์
ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพียงบางรุ่นที่เรายกมาแนะนำเท่านั้น Mitsubishi Heavy Duty เขายังมีแอร์อีกหลายรุ่นในทั้งหมด 4 ซีรีส์นี้ ซึ่งจัดจำหน่ายโดย บริษัท มหาจักรดีเวลอปเมนท์ จํากัด หากใครสนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติม ก็สามารถเข้าไปได้ที่ https://www.mahajak.com/mitsuheavythai