พาล่องเรือผ่าน 10 จุดแม่น้ำเจ้าพระยา นั่งเรือโฉมใหม่ สไตล์รักษ์โลกด้วย “เรือไฟฟ้า MINE Smart Ferry”
การวางแผนเที่ยวในกรุงเทพ เป็นเหมือนการได้ผจญภัยกับสิ่งใหม่ ๆ ที่เรายังไม่เคยเห็น แน่นอนว่าส่วนใหญ่นิยมเลือกการเดินทางบนบก แต่ครั้งนี้! เราอยากเปิดโลกให้ทุกคนได้ลองสัมผัสบรรยากาศแปลกใหม่ ที่หลายคนอาจไม่เคยพบเจอมาก่อน นั่นก็คือ “การขึ้นเรือไฟฟ้า”
การเดินทางด้วยเรือนับเป็นอีกหนึ่งบริการสาธารณะที่คนกทม.เลือกใช้เป็นจำนวนมาก เนื่องจากแม่น้ำสายใหญ่ที่เป็นเหมือนหัวใจหลักอย่าง “เจ้าพระยา” ไหลผ่านยาวหลายเขต ซึ่งตอนนี้เจ้าพระยาก็มีลูกเล่นใหม่เข้ามาให้พวกเราได้ลองกัน! เชิญพบกับ… “เรือไฟฟ้า MINE Smart Ferry” เรือไฟฟ้าบริการรับส่งฝีมือคนไทย โดยเป็นเรือลำแรกของไทยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ไม่รอช้าวันนี้ Mango Zero จะพาทุกคนไปเที่ยวแบบชาวรักษ์โลก ด้วยการนั่งเรือไฟฟ้า MINE Smart Ferry กัน! ถ้าพร้อมแล้วตามไปล่องเรือด้วยกันเล้ยยยย ⛴🌊
มารู้จักเรือ MINE Smart Ferry กัน!
เรือไฟฟ้า MINE Smart Ferry เกิดจากความร่วมมือระหว่างบริษัท E Smart Transport และกรมเจ้าท่า เป็นบริการโดยสารทางน้ำรูปแบบใหม่แกะกล่อง ถือเป็นเรือโดยสารไฟฟ้าลำแรกของประเทศไทยที่ได้จดทะเบียนให้บริการในแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างเป็นทางการ
จุดเด่นที่ไม่ควรพลาด
โดยจุดเด่นของเรือไฟฟ้า MINE Smart Ferry ที่เราไม่ควรพลาดนั่นก็คือ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม , ไร้มลพิษทางอากาศ PM 2.5 , ไม่มีเสียงดังรบกวน และช่วยประหยัดการใช้น้ำมัน
มาพร้อมกับการดีไซน์ที่ล้ำสมัย อีกทั้งเรือมีการติดระบบปรับอากาศ และระบบฆ่าเชื้อ และยังสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 250 คน รวมถึงประตูอัตโนมัติไฟฟ้าที่จะเปิด-ปิดเฉพาะเวลาเรือจอดเทียบท่าเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งการเดินทางที่เราอยากจะแนะนำให้ทุกคนลองไป เพื่อเป็นการอนุรักษ์โลกด้วยการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
วิธีการเดินทางมาท่าเรือสาทร
สำหรับใครที่เป็นมือใหม่หัดนั่งเหมือนพวกเรา อาจจะงงว่าแรก ๆ จะต้องไปยังไง ขึ้นที่ท่าไหนจะไปถูกสายหรือเปล่า ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปเมื่อคุณเดินตามขั้นตอนเหล่านี้ โดยท่าเรือที่เราเลือกขึ้นคือ ท่าสาทรที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรือไฟฟ้าทุกสาย
เริ่มเลอออ~ ใครที่นั่ง BTS หรือนำรถส่วนตัวมาให้ลงสถานีสะพานตากสิน ทางออก 2
และเมื่อเดินตรงมาคุณจะเจอทางลาดสีเหลืองที่เลี้ยวไปทางซ้ายให้เดินตามทางมา
และจะเจอ 3 ป้ายนี้ให้เดินตรงไปโล้ดดดดดด
จุดสังเกตง่าย ๆ ว่าท่าเรือไฟฟ้า MINE Smart Ferry อยู่ที่ไหน เมื่อคุณเจอพนักงานใส่ยูนิฟอร์มเสื้อโปโลสีเขียวน้ำทะเล นั่นหมายความว่าคุณมาถูกทางแล้ว ซึ่งพี่ ๆ พนักงานจะคอยต้อนรับ และดูแลเราอย่างดีมาก พร้อมให้บริการคำแนะนำที่น่าประทับใจ ต้องขอมอบให้ 10/10 ไปเล้ยยยยย! เพราะซื้อใจเรามาก ๆ
สำหรับผู้พิการทางการได้ยินก็มีตู้คอยบริการช่วยเหลือเช่นกัน
3 เส้นทางกับจุดเริ่มต้นที่เดียวกัน
เรือไฟฟ้า MINE Smart Ferry มีทั้งหมด 3 เส้นทางด้วยกัน คือ Urban Line (สายสีม่วง), Metro Line (สายสีน้ำเงิน) และ City Line (สายสีเขียว) โดยทั้ง 3 เส้นทางจะมีจุดเริ่มต้นที่เดียวกันคือ ท่าเรือสาทร และปลายทางจอดที่ท่าเรือแตกต่างกันตามสีต่าง ๆ ดังนี้
- 💜 Urban Line จะให้บริการรับส่งระหวางท่าเรือสาทร – ท่าเรือพระนั่งเกล้า
- 💙 Metro Line ท่าเรือสาทร – ท่าเรือพระราม 7
- 💚 City Line ท่าเรือสาทร – ท่าเรือพระปิ่นเกล้า
ซึ่งปัจจุบันมีท่าเรือ 4 จุด ที่สามารถเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าได้ 🚝 ได้แก่
- 💜 Urban Line เชื่อมที่ท่าเรือสาทร และพระนั่งเกล้า > BTS สะพานตากสิน , MRT สะพานพระนั่งเกล้า
- 💙 Metro Line เชื่อมกับท่าเรือสาทร และบางโพ > BTS สะพานตากสิน , MRT บางโพ
- 💚 City Line เชื่อมที่ท่าเรือสาทร > BTS สะพานตากสิน
ส่วนรายละเอียดเวลาการเดินเรือก็แตกต่างกันอีก ซึ่งใครจะไปสายไหนสามารถเช็คได้ที่เพจ MINE Smart Ferry อย่าลืมเช็คเวลากันให้ดี ๆ เดี๋ยวตกรอบไม่รู้ด้วยเด้อ
ราคาที่เอื้อมถึงพร้อมบริการที่สะดวกสบาย
สำหรับเรือไฟฟ้า MINE Smart Ferry จะรับชำระแบบไร้เงินสดเท่านั้น! ซึ่งมีให้เลือก 3 วิธีด้วยกัน
- การชำระโดยเปิดแอปฯ ธนาคาร และสแกน Qr Code โอนเงินตามปกติ
- ชำระโดยบัตรเดบิตหรือบัตรเครดิต สัญลักษณ์ Contactless
- การใช้บัตร HOP ซึ่งเป็นบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์แบบเติมเงิน ไว้ใช้สำหรับชำระค่าเรือโดยสารไฟฟ้า MINE Smart Ferry เท่านั้น สามารถหาซื้อได้ที่พนักงานบริการบนเรือ และท่าเรือได้ทุกท่า ราคา 20 บาท (ใช้เงินสดซื้อได้) โดยหลังจากได้บัตรมาทำการเติมเงินเข้าบัตรเพื่อแตะชำระค่าโดยสาร
โดยปัจจุบันค่าโดยสารเป็นราคาโปรโมชั่น 20 บาท ตลอดสายทุกเส้นทาง ซึ่งยังไม่มีกำหนดวันสุดท้ายของโปรโมชั่น ใครจะไปก็ต้องรีบหน่อยเน้อ ราคาดี ๆ แบบนี้ พร้อมบริการที่สะดวกสบายไม่ได้มีบ่อย ๆ น้า
ได้เวลาไปล่องเรือแล้วววว
เมื่อเดินเข้าไปในเรือแล้ว…เราจะเห็นบรรยากาศที่รู้สึกคุ้นเคย เอ๊ะเหมือนเคยนั่งที่ไหนเลยนะ ? ถูกต้องแล้วล่ะเพราะบรรยากาศภายในเรือไฟฟ้า MINE Smart Ferry ให้อารมณ์เหมือนเรานั่งรถไฟฟ้า BTS
รวมถึงมีหน้าจอแสดงเส้นทางตลอดทั้งสายว่าต่อไปจะเป็นท่าเรืออะไร และมีเสียงประกาศท่าเรือต่อไปเหมือนนั่ง BTS เลย
ภายในเรือจะมีติดประกาศข้อปฏิบัติขณะโดยสารเรือ เพื่อความปลอดภัยและสะดวกสบายแก่ผู้โดยสารทุกท่าน
ชวนสำรวจ 10 แลนด์มาร์คตลอดเส้นทาง
หลังจากที่เราได้เดินดูบรรยากาศภายในเรือเรียบร้อยแล้ว ได้เวลานั่งชมวิวกันยาว ๆ พร้อมสำรวจแลนด์มาร์คสำคัญตลอดเส้นทาง Urban Line หรือสายสีม่วง เริ่มเลอออออ~
แลนด์มาร์คจุดที่ 1 : เมื่อเราได้เริ่มนั่งไป ไม่ทันไรก็ได้เจอกับแลนด์มาร์คแรก! ด้วยรูปลักษณ์ดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ เชิญพับกบ แฮ่! พบกับแฮ่! ถูกแล้วว “ไอคอนสยาม ICONSIAM” อภิมหาโครงการเมืองสัญลักษณ์แห่งความรุ่งโรจน์ของไทยริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
แลนด์มาร์คจุดที่ 2 คือ ศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้ หรือ “RIVER CITY BANGKOK” เป็นศูนย์การค้าแห่งแรกบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นอาคารที่ได้รับรางวัลสถานปัตยกรรมดีเด่นด้านการออกแบบ ปัจจุบันนิยมเป็นสถานที่ในการจัดงานนิทรรศการศิลปะ
แลนด์มาร์คจุดที่ 3 คือ “สะพานพระพุทธยอดฟ้า” หรือที่คนมักเรียกสั้นๆว่า “สะพานพุทธ” เป็นอีกหนึ่งจุดยอดนิยมที่ใครหลายคนต้องขึ้นมากินลมชมวิว เมื่อได้มาเที่ยวที่ย่านแห่งนี้ เพราะทัศนียภาพด้านบนนั้นนับว่าสวยงามเเละยังมองเห็นได้อย่างกว้างไกล
แลนด์มาร์คจุดที่ 4 คือ “ย่างเนยสะพานพุทธ” ที่สุดของบรรยากาศในการกินปิ้งย่าง ด้วยวิวแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งราคาเท่ากับร้านย่างเนยทั่วไปที่เราเคยกินกัน แต่สิ่งที่เราได้พิเศษมานั่นก็คือ วิวที่เหนือระดับ โดยร้านตั้งอยู่ในโครการยอดพิมาน ริเวอร์วอล์ค บอกเลยว่านั่งทานปิ้งย่างไปดูพระอาทิตย์ตกไปฟินมากกกก
แลนด์มาร์คจุดที่ 5 คือ “ป้อมวิไชยประสิทธิ์” ป้อมสำคัญสมัยอยุธยาที่คอนสแตนติน ฟอลคอน เป็นผู้ทูลแก่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชให้สร้าง และยังเป็นผู้ออกแบบป้อมแห่งนี้ จนกลายเป็นชนวนเหตุสำคัญทำให้การเมืองในยุคนั้นตึงเครียดอย่างที่สุด
แลนด์มาร์คจุดที่ 6 คือ “วัดอรุณราชวราราม” หรือที่นิยมเรียกกันในภาษาพูดว่า “วัดแจ้ง” หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า “วัดอรุณ” นั่นเอง เป็นวัดโบราณที่มีความสำคัญ สร้างขึ้นในสมัยอยุธยา มีพระปรางค์ใหญ่โดดเด่นเป็นสง่า ตกแต่งประดับประดาด้วยกระเบื้องเคลือบสีต่าง ๆ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
แลนด์มาร์คจุดที่ 7 คือ “ท่าวังหลัง” โครงการริมแม่น้ำเจ้าพระยา แหล่งรวมสถานที่ช้อปปิ้งและอาหาร ยอดฮิตในย่านฝั่งธน อยู่ติดกับโรงพยาบาลศิริราช โดดเด่นด้วยร้านเสื้อผ้าวัยรุ่นที่มีทั้งมือ 1 และเสื้อผ้ามือ 2 ราคาไม่แพง ทำให้นักเรียนนักศึกษามักจะมาเดินช้อปปิ้งกัน เรียกได้ว่าเป็น “ตลาดเด็กแนว” เลยก็ว่าได้
แลนด์มาร์คจุดที่ 8 คือ “สะพานพระราม 8″ เป็นสะพานขึงแบบอสมมาตรเสาเดี่ยว 3 ระนาบที่ยาวที่สุดในโลก โดยมีแนวสายทางเชื่อมต่อกับทางคู่ขนานลอยฟ้าบรมราชชนนีข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ใต้สะพานมีจัดกิจกรรมแอโรบิคทุกเย็น และมีสวนสุขภาพสำหรับออกกำลังกาย วัยรุ่นส่วนใหญ่ชอบมาถ่ายรูปเล่น เดินชิว ๆ ในช่วงเวลากลางคืน
แลนด์มาร์คจุดที่ 9 คือ “สัปปายะสภาสถาน” รัฐสภาแห่งใหม่ โครงการเมกะโปรเจกต์ระดับชาติ ทุ่มงบประมาณกว่า 10,000 ล้านบาท เพื่อเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และแวดล้อมด้วยสาธารณูปโภคครบครัน ที่แม้ว่าปัจจุบันยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ แต่เชื่อว่าหากเปิดใช้จะทำให้พื้นที่ละแวกเกียกกาย-บางโพ คึกคักและมีชีวิตชีวามากขึ้น ที่สำคัญกำลังจะกลายเป็นทำเลทองที่เนื้อหอมมากที่สุดแห่งหนึ่ง
แลนด์มาร์คจุดที่ 10 คือ “ท่าน้ำนนท์” หรือท่าพิบูลสงคราม 3 อยู่หน้าศาลากลางหลังเก่าของจังหวัดนนทบุรี มีผู้คนสัญจรผ่านไปมาจำนวนมากในแต่ละวัน เพราะเป็นจุดต้นสายของเรือโดยสาร และรถประจำทางหลายเส้นทาง เรียกว่าเป็นชุมทางการสัญจรเลยทีเดียว เมื่อมีคนผ่านไปมามากก็ย่อมมีการค้าขาย จนเกิดเป็นตลาดท่าน้ำนนท์
ในที่สุดเราก็ถึงท่าเรือพระนั่งเกล้าแล้ววววว! ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที หลังจากเราได้สำรวจ 10 แลนด์มาร์คสำคัญตลอดเส้นทาง จากท่าเรือสาทรจนถึงท่าเรือพระนั่งเกล้า ซึ่งสามารถเชื่อมไป MRT ได้อีกเหมือนกัน
หลังจากขึ้นเรือจากท่าพระนั่งเกล้าแล้วสำหรับใครที่อยากไปเที่ยวต่อ ให้เดินตรงมาเรื่อย ๆ จะเจอทางลาดยาว และห้องน้ำที่เปิดให้บริการ สามารถแวะเข้ากันก่อนได้
จากนั้นเดินตรงมาอีกนิดดด เราก็จะเจอกับสถานี MRT สะพานพระนั่งเกล้า สามารถเดินทางไปเที่ยวต่อแถบนนทบุรีได้เลยยย
สำหรับการเดินทางด้วยเรือไฟฟ้า “MINE Smart Ferry” นับว่าเป็นการเดินทางที่ค่อนข้างสะดวก ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการท่องเที่ยวแบบสบาย ๆ เพื่อเสพบรรยากาศ วิวแม่น้ำเจ้าพระยา และสถานที่สวย ๆ ได้ตลอดเส้นทางอีกด้วย
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.facebook.com/MINESmartFerry