หลังจาก Fantastic Beasts เข้าฉาย บนโลกออนไลน์เราได้เห็นมุมมองความคิดเห็นของคนดูต่อหนังเรื่องนี้ที่หลากหลาย แต่ในอีกมุมนึงเราก็อยากจะรู้ว่าคนที่เป็นติ่งพ่อมดน้อยในระดับแฟนพันธ์ุแท้ดูหนังเรื่องนี้จบแล้วคิดเห็นอย่างไรบ้าง เราเลยนัดพูดคุยกับคนที่เรียกได้ว่าเป็นสารานุกรมเคลื่อนที่ของ ‘แฮร์รี่ พอตเตอร์’ ในเมืองไทย ‘อี่ – ศิวพร อโนทัยสินทวี’ สุดยอดแฟนพันธ์ุแท้วรรณกรรมเยาวชน ปี 2006 และ สุดยอดแฟนพันธุ์แท้แฮร์รี่ พอตเตอร์ ปี 2007 ว่าในสายตาของแฟนพันธุ์แท้เธอรู้สึกกับหนังเรื่องนี้ในระดับไหน Fastastic Beasts ครั้งตอนแรกที่ออกสู่สายตาคนอ่านเริ่มต้นตั้งแต่ตอนไหน ศิวพร : Fastastic Beasts ตีพิมพ์เป็นหนังสือครั้งแรกเมื่อ ปี 2001 อย่างที่คนส่วนใหญ่รู้อยู่แล้วว่ามันเป็นแบบเรียนที่เด็กปีหนึ่งในฮอกวอตส์ ต้องเรียน แต่ เจ. เค โรว์ลิ่ง เขียนหนังสือเล่มนี้ออกมาเป็น Side Story ก็เพราะต้องการระดมทุนเข้าองค์กรการกุศลชื่อ Comic Relief ในเรื่องความนิยมสู้หนังสือเล่มหลักอย่างแฮร์รี่ ไม่ได้อยู่แล้ว แต่ก็มีคนจำนวนมากรับรู้ว่ามีหนังสือเล่มนี้อยู่ เนื้อหาในเล่มเหมือนหนังสือสารานุกรมที่บอกว่าในโลกพ่อมดมีสัตว์วิเศษอะไรบ้างเรียงตามตัวอักษร ในเล่มที่ตีพิมพ์จะมีลูกเล่นคือมีลายมือของรอน และแฮร์รี่ ที่เขียนเล่นๆ อยู่ด้วย ตอนนั้นก็มีหนังสือแนว Side Story ออกมาอีกสองเล่มคือ ‘ควิชดิชในยุคต่างๆ’ และ ‘นิทานของบีเดิล ยอดกวี’ หนังสือที่เป็นวรรณกรรม แบบแฮร์รี่ เลยมีไหม ศิวพร : หนังสือที่จะออกจริงๆ จะเป็นสกรีนเพลย์ ไม่ใช่เป็นวรรณกรรม ซึ่งต่างประเทศสกรีนเพลย์ ของสัตว์มหัศจรรย์ฯ ภาคแรก น่าจะออกช่วงเดือนพฤศจิกายนนี่แหละ ส่วนของเมืองไทยจะแปลโดยนานมีบุ๊คส์ แล้วออกช่วงต้นปีหน้า ตามกำหนดคือมีห้าภาคซึ่งสกรีนเพลย์ก็น่าจะมีห้าภาคเช่นเท่ากัน พอรู้ไหมว่าทำไมเขาถึงตัดสินใจขยายเรื่อง ‘สัตว์มหัศจรรย์ฯ’ เป็นหนังใหญ่เพิ่มเติมแทนที่จะเป็นเรื่องอื่น ศิวพร : เจ.เค เคยลั่นวาจาไว้แล้วว่าแฮร์รี่ จะจบแค่เจ็ดเล่ม หลังจากนั้นต่อไปนี้จะไม่เขียนหนังสือที่เกี่ยวกับแฮร์รี่ อีกแล้ว แต่ทางวอร์เนอร์ ที่เป็นตัวแทนลิขสิทธิ์ของเจ. เค รู้สึกว่าเรื่องราวของแฮร์รี่ ยังสามารถต่อยอดไปทำอะไรได้ต่ออีกในเรื่องราวภาคใหม่ของนิยายน่ะไม่มีทางแน่ๆ เขาก็ไปมองเรื่อง Side Story ทั้งสามเล่มว่าสามารถนำไปต่อยอดอะไรได้ ตัวผู้บริหารวอร์เนอร์ เกิดความสนใจว่าอยากจะจับเอาสัตว์มหัศจรรย์ฯ ทำเป็นเรื่องราว เลยไปคุยกับเจ.เค ว่าจะทำหนังประมาณนี้นะ เลยมอบหมายให้เจ.เค เขียนสรุปคราวๆ เรื่องราวของนิวท์ว่าจะมีคาแรคเตอร์เป็นอย่างไร ออกไปในแนวทางไหน พอหลังจากนั้น เจ.เค. ก็เขียนมาส่งให้ทางวอร์เนอร์ดู แต่ไปๆ มาๆ ความที่เธอเข้าใจในตัวละครมากกว่าใคร เธอเลยขอเขียนบทเองเลย ซึ่งเป็นการการลงมือเขียนบทภาพยนตร์เรื่องแรกของตัวเองด้วย ฟีดแบ็คของคนที่ชอบแฮร์รี่ เขาคิดอย่างไรกับหนังเรื่องนี้ ศิวพร : ในกลุ่มที่เป็นติ่งแฮร์รี่ เรารู้สึกว่ามีคนที่ตื่นเต้นรอมากๆ หลังรู้ข่าว บางคนแบบหายใจเข้าออกเป็น ‘สัตว์มหัศจรรย์ฯ’ ต้องไปหาบทความมาอ่านแล้วเอามาคุยกัน ซึ่งเราไม่กล้าเข้าไปดูนะกลัวโดนสปอยด์ ยิ่งก่อนหนังฉายหนึ่งเดือนเราไม่ขอรับรู้อะไรเลย เพราะก่อนหนังฉายบทความจากเมืองนอก และบทสัมภาษณ์มันเยอะมากๆ คนที่เป็นแฟนคนอื่นๆ เขาอ่านแล้วก็ไปคุยกันเราไม่อ่าน ไม่รับรู้ อยากเข้าไปดูหนังในแบบใสมากๆ (หัวเราะ) ประเด็นที่เรื่องชื่อของ ‘นิวท์ สคาแมนเดอร์’ ปรากฎในแผนที่ตัวกวนในแฮร์รี่ฯ ภาคสาม คิดว่าเขาตั้งใจไหม ศิวพร : เรื่องนี้พูดจริงๆ ว่าไม่สามารถรู้ใจ เจ.เค และทีมสร้างได้เลย เราคิดว่า ณ ปีที่สร้างแฮร์รี่ฯ ภาคสามคงไม่น่าจะมีแผนการในหัวที่จะผลิตหนัง ‘สัตว์มหัศจรรย์ฯ’ ออกมาแน่นอน แต่ในหนัง แฮร์รี่ฯ หรือ สัตว์มหัศจรรย์ฯ เองมันมีอีสเตอร์เอ๊กเต็มไปหมด แต่บางครั้งมันก็เป็นไข่ไว้เฉยๆ ไม่ได้ฟักออกมาเป็นตัวอะไร เราไม่มีวันรู้เลยด้วยซ้ำแม้จะอ่านหนังสือมาเยอะแยะจนกระทั่งเป็นหนังหรือออกมาเป็นโปรเจคใหม่อะไรสักอย่างนั่นแหละเราถึงได้เห็นไข่ที่ฟักออกมา ตอนที่คุณเห็นอีสเตอร์เอ๊กใน ‘สัตว์มหัศจรรย์’ ตื่นเต้นหรือเปล่า ศิวพร : ตอนที่เราดูแฮร์รี่ ภาคสาม เราก็แค่ประหลาดใจกับฉากแผนที่ตัวกวนเฉยๆ ว่าทำไมคนเขียนหนังสือถึงมาที่โรงเรียนเราไม่ได้คิดอะไรมากเพราะในขณะนั้นหนังมันชวนเราไปโฟกัสกับเรื่องอื่นมากกว่าจุดที่นิวท์โผล่มาแว้บๆ จริงๆ เขาอาจจะแค่มาเยี่ยมเหลนที่ชื่อ ‘รอล์ฟ สคาแมนเดอร์’ ก็ได้ มาเยี่ยมหลานตอนกลางคืนเนี้ยนะ ศิวพร : นั้นน่ะสิ (หัวเราะ) เอาจริงๆ นิวท์ ตอนที่เรียกฮอกวอตส์ ก็ไม่ใช่นักเรียนที่ดี ทำตัวอยู่ในกฎเกณฑ์ เขาเป็นเด็กที่แสบทำตัวมีปัญหาถึงขั้นมีเรื่องในฮอกวอตส์ จนถูกไล่ออก แต่เขาได้รับความเมตตาจากดัมเบิ้ลดอร์มาช่วยปกป้อง จากข้อมูลที่เผยแพร่ไม่มีใครรู้ว่าเขาได้กลับมาเรียนที่ฮอกวอตส์ อีกหรือเปล่า แต่เราคิดว่าเขาคงได้อนุญาตให้กลับมาเรียนใหม่ ดัมเบิ้ลดอร์ ใจดีมากคาแรคเตอร์ของดัมเบิ้ลดอร์ คือจะชอบเด็กที่คิดต่าง เป็นแนวเด็กอัลเตอร์เนทีฟ (หัวเราะ) แบบนิวท์นั่นก็เข้าข่าย แต่อีกทฤษฏีนึงที่เป็นไปได้คือในภาคแฮร์รี่ พ็อตเตอร์ ภาคสาม มีเรื่องเกี่ยวกับสัตว์วิเศษเยอะมาก และถ้าจำกันได้สัตว์วิเศษที่ชื่อ ‘ฮิปโปกริฟ’ ที่แฮกริด นำมาสอนไปทำร้ายเดรโก มัลฟอย เพราะโดนมัลฟอย แกล้ง ฮิปโปกริฟฟ์ เลยจะต้องถูกฆ่า แฮกริดจึงอาจจะขอคำปรึกษานิวท์ เขาเลยโผล่มาในภาคสามแบบแว้บๆ ทำไมนิวท์ ถึงเป็นคนที่เชี่ยวชาญเรื่องสัตว์วิเศษ ศิวพร : ในหนังสือไม่ได้บอกไว้แต่จากที่สังเกตบุคลิคที่นิวท์ แสดงออกมาในหนัง เรารู้สึกว่าเขาขี้อาย และเป็นคนที่พูดไม่ค่อยเก่ง ท่าทางจะเข้าสังคมไม่เก่งด้วย เขาก็เลยเลือกที่จะเปิดเผยความลับ ความรู้สึกกับสิ่งมีชีวิต อื่นมากกว่าที่จะเป็นคน มีเกร็ดอะไรในหนังบ้างที่น่าสนใจ ศิวพร : อย่างที่เขาโปรโมทกันคือคำเรียนของมักเกิลหรือผู้ที่ไม่มีพลังวิเศษในเรื่องนี้ จะเปลี่ยนเป็นโน-เเมจ ซึ่งเป็นคำเรียกของอเมริกันซึ่งก็เหมือนกับคุกกี้ หรือบิสกิต นั่นแหละเรียกต่างกันแต่ความหมายแต่เหมือนกันในความเข้าใจ แล้วก็วัฒนธรรมต่างๆในโลกพ่อมดแม่มดที่อังกฤษกับอเมริกันก็ต่างกัน ในหนังผู้วิเศษของอังกฤษจะเปิดเผยตัวตนมากกว่า ถ้าดูจากการแต่งตัว หรือหลายอย่างรอบตัวเราจะรู้เลยว่าพวกเขาจากจากมนุษย์ปกติ แต่ถ้าใน ‘สัตว์มหัศจรรย์ฯ’ พ่อมดแม่มดจะค่อนข้างกลมกลืน เพราะเรื่องความขัดแย้งของสังคมอเมริกาที่มีต่อผู้ใช้เวทมนต์สูง คนอเมริกันไม่ยอมรับผู้มีเวทมนต์ ซึ่ง เจ.เค ก็แทรกเรื่องนี้ว่าก่อนหน้านั้นก็มีกลุ่ม ‘ซาเล็ม’ ซึ่งเป็นกลุ่มต่อต้านพ่อมดแม่มดเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งคนกลุ่มนี้คือคนที่ไบ่ล่าพ่อมดแม่มด ดังนั้นพ่อมดแม่มดในอเมริกันจึงต้องปกป้องตัวเองแสดงออกมากไม่ได้ จะแต่งตัวหรือทำอะไรทุกอย่างต้องกลมกลืนมาก มุมมองของแฟนพันธุ์แท้คุณให้หนังเรื่องนี้กี่คะแนน ศิวพร : เราให้ 7 คะแนนเต็ม 10 เพราะรำคาญนางเอก (หัวเราะ) ดูมีความงี่เง่าอ่ะ แล้วก็เรื่องบทของหนัง การดำเนินเรื่องยังไม่ละมุนเท่ากับแฮร์รี่ ยังมีความอ่อนของบท อาจจะเป็นเพราะเจ.เค ยังใหม่ด้วยในการเขียนบท เราเดาว่าก็มีคนมาช่วยเธอในการเขียนบทแหละ แต่พอไปดูอีกรอบขอให้ 8.5 รำคาญนางเอกน้อยลง รำคาญที่พระเอกเอียงหัวไปทางขวาน้อยลง ที่หัวเอียงไม่แน่ใจว่าติดมาจาก theory of everything หรือเปล่า (หัวเราะ) คนที่รู้เรื่องแฮร์รี่มากๆ จะสนุกไหม ศิวพร : ก็น่าจะสามารถคาดเดาหลายเรื่องที่จะเกิดขึ้นในหนังได้ แต่การรู้เรื่องมาเยอะก็ไม่ได้ทำให้ความสนุกลดลงเลย ความสนุกยังมีอยู่ เพียงแต่อาจจะไม่เซอร์ไพร้ส์แล้ว แต่ที่แย่ที่สุดคือบอกว่า จอห์นี่ เดปป์ เล่นเป็นใคร มันไม่ตื่นเต้นเลย ถ้าไปรู้ในโรงหนังน่าจะกรี๊ดกว่านี้ (หัวเราะ) การเป็นแฟนพันธุ์แท้ทำให้เวลาดูหนังต้องเก็บรายละเอียดแค่ไหน ศิวพร : เราเก็บทุกรายละเอียด ทุกบทสนทนา บางทีพี่ก็อยากมีความทรงจำดุจภาพถ่ายเหมือน Dr. Strange จะได้ไม่ต้องเปลืองเงินไปดูหลายๆ รอบ (หัวเราะ) ไปดูหลายรอบก็ไม่ใช่แค่สนใจเนื้อเรื่องในหนังเท่านั้น แต่สนใจถึงขั้นว่าระบบฉายต่างๆ มันต่างกันยังไง ซึ่งพี่ว่าสุดท้ายแล้ว Imax 3D คือนิพพาน สำหรับเรา 4DX มันเยอะไป ถามว่าดูแบบจับรายละเอียดทุกเม็ดมันสนุกไหม มันก็สนุกนะ มันจะได้อะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่เราพลาดไป สมมติว่าถ้าสัตว์มหัศจรรย์ หลุดออกมาที่เมืองไทย คิดว่าสัตว์เหล่านั้นน่าจะเจออะไรบ้าง ศิวพร : มันจะต้องโดนจับมาใส่ตู้กระจกแล้วแปะทอง ปะแป้ง จุดธูปขอหวย คงไม่มีใครเอาสัตว์มหัศจรรย์ไปวิจัยในทางวิชาการแน่นอน ต้องเป็นแนวงมงายมากกว่า ไม่งั้นก็เอาไปกิน นิวท์มาเห็นคงต้องร้องแน่ๆ (หัวเราะ) ถ้านิวท์มาเมืองไทย คิดว่าเขาจะศึกษาสัตว์มหัศจรรย์ตัวไหนของบ้านเรา ศิวพร : ม้านิลมังกร เราว่ามันเป็นสัตว์มหัศจรรย์อย่างแรกที่นึกถึงถ้าพูดถึงสัตว์มหัศจรรย์ที่เมืองไทย ถ้าเป็น มักกะนารีผล เนี่ยนาธาน เขาไปจับเรียบร้อย (หัวเราะ) ม้านิลมังกรเป็นสัตว์ที่โคตรเท่ ซึ่งความเท่ของม้านิลมังกรนี่สูสีกับธันเดอร์เบิร์ดเลยนะ ถ้าโรงเรียนพ่อมดแม่มดมีในเมืองไทย คิดว่าจะอยู่ที่ไหน ศิวพร : เราคิดว่ามันน่าจะอยู่ทางเหนือ อาจจะอยู่เชียงรายแถวชายแดนในจุดที่เข้าถึงยากแถวๆ สามเหลี่ยมทองคำ วิธีไปคือขึ้นรถไฟไปลงสถานีเชียงใหม่แล้วก็อาจจะมีสถานีรถไฟที่ซ่อนอยู่ซึ่งจะพานักเรียนไปยังโรงเรียนเวทมนต์ ‘สัตว์มหัศจรรย์ฯ’ จะทำให้กระแสแฮร์รี่ กลับมาฮิตได้ไหม ศิวพร : เราคิดว่ากระแสของแฮร์รี่ พอตเตอร์ โด่งดังมากอยู่แล้ว แม้จะผ่านมาหลายปีแต่ก็จุดติดได้ง่าย เพราะมีฐานแฟนที่สร้างมาเป็นสิบปี มันง่ายที่จะปลุกกระแสขึ้นมานอกจากคนที่ชอบแฮร์รี่แล้ว คนที่ไม่เคยดู หรือคนที่ไม่ชอบแฮร์รี่ก็มีโอกาสที่จะชอบโทนของหนังก็ไม่ได้ใกล้เคียงกันมาก