Mango Zero

ขยายเวลา ‘นิทรรศการพระเมรุมาศ’ เปิดให้เข้าชมถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2560

พระเมรุมาศคือการออกแบบสถาปัตยกรรมไทยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคสมัยของพวกเรา ซึ่งผ่านกระบวนการสร้างที่พิถีพิถันโดยเหล่าช่างศิลป์จากทั่วประเทศที่มาร่วมแรงร่วมใจกัน และหลังจากพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช แล้วพระเมรุมาศยังจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าชมกันถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2560

รายละเอียดการเข้าชมพระเมรุมาศหลังเสร็จพระราชพิธี

กองอำนวยการร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร (กอร.พระราชพิธีฯ) ได้แจ้งกำหนดการ รวมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการเข้าชมนิทรรศการพระเมรุมาศ โดยผู้ที่สนใจจะเข้าชมพระเมรุมาศ รวมไปถึงนิทรรศการพระราชประวัติ และพระราชกรณียกิจของในหลวงรัชกาลที่ 9 มีรายละเอียดต่างๆ ที่ต้องรู้ก่อนเพื่อความสะดวก และความเป็นระเบียบในการเข้าชมดังนี้

อ้างอิงข้อมูลจาก
prachachat.net, posttoday.com
http://kingrama9.net/Crematory, http://kingrama9.net/Crematory/Detail/1

พระเมรุมาศ คือ?

เมรุ ตามความหมายในพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง “ภูเขากลางจักรวาล มียอดเป็นที่ตั้งแห่งเมืองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งเป็นที่ประทับของพระอินทร์” ซึ่งมีอีกความหมายคือ “เป็นที่เผาศพมีหลังคาเป็นยอด มีรั้วล้อมรอบ สำหรับพระมหากษัตริย์ เรียกว่า พระเมรุมาศ สำหรับพระบรมวงศานุวงศ์เรียกว่า พระเมรุ และสำหรับสามัญชนเรียกว่า เมรุ”

ในความเชื่อแบบพราหมณ์พระมหากษัตริย์ทรงเป็นสมมติเทพ ซึ่งสถิตบนเขาพระสุเมรุ อันล้อมรอบด้วยเขาสัตบริภัณฑ์ และเมื่อจุติลงมายังมนุษยโลกเป็นสมมติเทพ เมื่อสวรรคตจึงตั้งพระบรมศพบนพระเมรุมาศ หรือพระเมรุ เพื่อเป็นการส่งพระศพ พระวิญญาณกลับสู่เขาสุเมรุดังเดิม

(จากหนังสือ “พระเมรุมาศ พระเมรุ และเมรุสมัยรัตนโกสินทร์” ของ ศ.น.อ.สมภพ ภิรมย์)

คติจักรวาลวิทยาในพระเมรุมาศ

คติความเชื่อเรื่องโลกและจักรวาลในหนังสือไตรภูมิพระร่วงเป็นที่มาของการสร้างพระเมรุมาศ ซึ่งพระเมรุมาศเป็นการจำลองโลกและจักรวาล โดยเปรียบองค์พระเมรุมาศเสมือนเขาพระสุเมรุอันเป็นศูนย์กลางของจักรวาล

คติความเชื่อเรื่องโลกและจักรวาลนี้เป็นที่มาของการสร้างพระเมรุมาศในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เช่นเดียวกับพระมหากษัตริย์ไทยองค์ก่อนๆ โดยพระเมรุมาศเปรียบเสมือนเขาพระสุเมรุอันเป็นศูนย์กลางของจักรวาลและมีอาคารรายล้อมเสมือนสิ่งต่างๆ ที่รายล้อมจักรวาล

อย่างไรก็ตาม เป็นการยากที่จะระบุความหมายอย่างแน่ชัดในแบบแผนของพระเมรุมาศทั้งหมด เนื่องจากสิ่งก่อสร้างบางอย่างก็สร้างขึ้นตามประโยชน์ใช้สอย อาทิ พระที่นั่งทรงธรรม ใช้เป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ เมื่อเสด็จไปงานถวายพระเพลิง

การสร้างพระเมรุมาศในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพคือการแสดงความเคารพอย่างสูงสุดที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ใหม่ทรงถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ  ซึ่งเป็นโบราณราชประเพณีที่ทำสืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยอยุธยา

เรียบเรียงโดย : คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ข้อมูล :หนังสือธรรมเนียมปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดงานพระบรมศพกรมศิลปากร

องค์ประกอบของพระเมรุมาศ

พระเมรุมาศพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ประกอบด้วยอาคารทรงบุษบก จำนวน 9 องค์ ตั้งอยู่บนฐานชาลารูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส 3 ชั้น มีบันไดทางขึ้น ทั้ง 4 ทิศ ทิศตะวันตกหันหน้าเข้าพระที่นั่งทรงธรรม ทิศตะวันออกติดตั้งลิฟต์ และทิศเหนือติดตั้งสะพานเกรินสำหรับเชิญพระบรมโกศจากราชรถปืนใหญ่ขึ้นบนพระเมรุมาศ โดยโครงสร้างพระเมรุมาศ ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้

ชมกราฟิกจำลองพระเมรุมาศ สุดยอดแห่งสถาปัตยกรรมไทย (1)

 

ชมกราฟิกจำลองพระเมรุมาศ สุดยอดแห่งสถาปัตยกรรมไทย (2)

 

พระเมรุมาศของในหลวงรัชกาลที่ 9 นั้นทางกรมศิลปากรได้ออกแบบมาถึง 8 แบบ โดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นองค์ที่ปรึกษาการจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ได้มีพระกระแสรับสั่งให้การออกแบบพระเมรุมาศในครั้งนี้ว่า “ไม่ให้เหมือนที่เคยมีมา” และทรงมีพระราชวินิจฉัยเลือกพระเมรุมาศทรงบุษบก 9 ยอด 7 ชั้นเชิงกลอน

ผู้ออกแบบพระเมรุมาศ ที่ถูกเลือกคือ ‘นายก่อเกียรติ ทองผุด’ นายช่างศิลปกรรมชำนาญงาน สำนักงานสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร ผู้ออกแบบได้ศึกษาแบบของพระเมรุมาศทรงบุษบกที่ใช้ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ซึ่งออกแบบตามหลักโบราณราชประเพณีการสร้างพระเมรุมาศ ของพระมหากษัตริย์ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์

แต่พระเมรุมาศทรงบุษบกของในหลวงรัชกาลที่ 9 จะมีลักษณะพิเศษในหลายๆ ด้านไม่เหมือนที่เคยมีมเป็นการสืบสาน และเกิดการพัฒนาศิลปกรรมงานช่างในหลายแขนง นอกจากนี้การก่อสร้างพระเมรุมาศยังใช้วัสดุบางอย่างทั้งในการก่อสร้าง และการประดับตกแต่งที่เปลี่ยนตามยุคสมัยเช่นการใช้ ไฟเบอร์กลาส มาแทนงานซ้อมไม้ซึ่งเป็นการสร้างชิ้นงานแทนลายแกะสลัก

โดยปัจจุบันทำเพียงต้นแบบชิ้นเดียวแล้วนำไปหล่อไฟเบอร์กลาส นอกจากจะช่วยย่นระยะเวลาแล้ว ก็ยังรักษารูปแบบของสิลปะการออกแบบดั้งเดิมไว้ได้เพียงแค่ปรับวัสดุตามยุคสมัย โครงสร้างส่วนใหญ่เป็นเหล็กรูปพรรณนำมาประกอบและยึดกันด้วยน็อต มีตำนวนมากกว่า 40,000 ชิ้น น้ำหนักรวม 800 ตัน ไม่มีการตอกเสาเข็มเป็นรากฐาน อีกทั้งทรงของพระเมรุมาศมีความใหญ่มาก

(ข้อมูลจาก : กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ กรมศิลปากร, หนังสือสู่ฟ้าเสวยสวรรค์)