คุยกับ “ยอด ชินสุภัคกุล” ทำไม Wongnai ถึงซื้อ Blognone? และต่อยอดไปไกลกว่าแค่รีวิวร้านอาหาร เมื่อรู้สึกหิว…และต้องการหาร้านอาหารที่ถูกปาก ถ้าในโลกออฟไลน์ อาจจะสะกิดถามเพื่อนช่วยแนะนำ แต่ถ้าในโลกออนไลน์ เชื่อว่าจะนึกถึง “Wongnai” เป็นอันดับต้นๆ ในการค้นร้านอาหารและดูรีวิวคะแนนร้านก่อนตัดสินใจเข้าไปกิน แต่วันนี้ Wongnai ที่หลายคนนึกว่ากลับไม่ได้เป็นแค่บริการรีวิวร้านอาหารเพียงอย่างเดียวแล้วนะสิ เพราะเขาค่อยๆ แตกไลน์บริการไปสู่ Wongnai Beauty , Wongnai Cooking ,มีบริการเดลิเวอร์รี่ร่วมกับไลน์แมน และ Wongnai Travel พร้อมเตรียมนำบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ความเติบโตที่เกิดขึ้น กลายเป็นความน่าสนใจที่ทีมงาน Mango Zero อยากชวนคุยถึงที่มา ว่าอะไร Wongnai ถึงไปไกลกว่าแค่รีวิวร้านอาหาร ภาพในหัวของวันที่เริ่มต้น Wongnai คืออะไร พี่ยอด : ตอนนั้นก็คิดนะว่าจะมาถึงจุดนี้ แต่ก็ไม่เหมือนปัจจุบันซะทีเดียว พูดง่ายๆ คือไอเดียแรกของเราเหมือน Yelp เว็บรีวิวอาหารและบริการทุกอย่าง ที่มีตั้งแต่ร้านอาหาร ร้านทำผม ซุปเปอร์มาร์เก็ต สารพัดสถานที่ แต่พอเรามาดูเมืองไทยบางอย่างก็ไม่เมคเซ็นส์สำหรับเมืองไทย อย่าง Wongnai Cooking ที่เป็นสูตรอาหาร มันเป็นดีมานด์ของคนไทยนะ เพราะมันไม่ใช่รีมายด์ของเราตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เพราะเราคือรีวิวสถานที่ แต่ในเมื่อมันคือความต้องการของคนไทย เป็นไลฟ์สไตล์ ก็เลยคิดว่าทำไมเราถึงจะไม่ทำ ตรงนี้ก็เลยเป็นเรื่องที่แตกต่างจากที่คิดไว้ตอนแรก สิ่งเหล่านี้เลยทำให้ Wongnai เป็นมากกว่ารีวิวร้านอาหาร? พี่ยอด : : Wongnai เติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ ในช่วง 2 ปีที่ผ่าน เราเริ่มทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่ด้านอาหารบ้าง เป้าหมายคือเป็นมาตรฐานในการค้นหาร้านอาหารอันดับ 1 หรืออาจใกล้เคียงอยู่ ตอนนี้เราก็เลยมาดูว่าวิชั่นปัจจุบันของเราคืออะไร และจริงๆ ที่ตั้งชื่อ Wongnai (วงใน) ก็ไม่ได้อยากให้ติดที่เรื่องร้านอาหารอย่างเดียวด้วย เราดูตัวอย่างบริการที่ประสบความสำเร็จในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น Yelp, Tripadvisor และหลายๆ เว็บในต่างประเทศ เขาก็จะรีวิวหลายๆ อย่าง หน้าที่ของ Wongnai จริงๆ แล้วคือการให้ข้อมูล เชื่อมต่อสิ่งดีๆ เลยคิดว่าไม่จำเป็นต้องรีวิวร้านอาหารอย่างเดียวรึเปล่า ก็เลยทำวงใน Wongnai Beauty ขึ้นมา ก็มีคลีนิก สปา ชาลอน ต่างๆ จากนั้นก็เริ่มทำ Wongnai Cooking มีเดลิเวอร์รี่กับไลน์แมน ที่จะส่งอาหารไปตามบ้าน ที่นี่ก็เริ่มกว้างขึ้น เข้าสู่ไลฟ์สไตล์ของคนมากขึ้น และเรามั่นใจว่าคนไม่ได้ต้องการแค่ค้นหาร้านอาหาร เขาต้องการค้นหาอีกหลายอย่างที่ทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้น แบบนี้จะเห็นบริการอะไรเพิ่มจาก Wongnai อีกไหม? พี่ยอด : ในปีหน้าจะเป็นเรื่องท่องเที่ยวเข้ามาประมาณเดือนเมษายน ก็เป็นไลฟ์สไตล์คนกิน เที่ยว ไปสปาถือเป็นไลฟ์สไตล์สำคัญของคนรุ่นใหม่หาโรงแรมหาที่พักดูรีวิวโรงแรมที่พักแล้วก็ไปหาร้านอาหารต่อแน่นอนว่าจะทำให้ครบจบในแอปหรือเว็บเดียวเลยถ้าไปดูเมืองจีน Alipay ก็ทำได้ทุกอย่างเลย Wechat ทำได้ทุกอย่างเลย แนวโน้มมันเป็นการรวมหลายๆ อย่างในแอปเดียวมากกว่าเป็นแอปแยก และอาจจะตั้งชื่อว่า Wongnai Travel อะไรทำนองนี้มั้งนะครับ ทำไมถึงมาจับสายท่องเที่ยว? พี่ยอด : เรามองว่าโซเชียลเน็ตเวิร์คเหมือนเป็นอินสไปเรชัน สมมติว่าผมจะไปอียิปต์ เขาไปทริปกันสามวันสองคืนเขาไปทำอะไรกันบ้าง หรือบางทีผมเห็นในฟีดเขาไปไอซ์แลนด์ไปล่าแสงเหนือกัน มันเป็นยังไงบ้าง ผมก็จะเห็นประมาณนี้ ตามโซเชียลอยู่บ่อยๆ แต่พอเราจะวางแผนไปจริงๆ เราก็ต้องใช้อีกเว็บหนึ่งเพื่อวางแผนตรงนี้ ส่วนใหญ่ก็กูเกิล ไม่ก็ Tripadvisor เราก็รู้สึกว่าเราน่าจะมีพื้นที่ตรงนี้สำหรับคนไทยโดยเฉพาะ ว่าคนไทยเขาไปที่ไหนบ้าง ไปที่นี่ต้องซื้ออะไรกลับมาฝาก เราก็จะลงลึกในเรื่องการให้ข้อมูล การวางแผนเที่ยว ดูที่พักว่าได้กี่ดาว ไม่ใช่แค่สร้างอินสไปเรชันอย่างเดียว แล้วดีลซื้อสื่อออนไลน์เกิดขึ้นได้อย่างไร? พี่ยอด : ผมรู้จักกับมาร์คผู้ก่อตั้ง Blognone และ Brand Inside มานาน แล้ววิสัยทัศน์เราคิดคล้ายๆ กัน อย่างที่บอกเราเห็นภาพแอปที่ต้องรวมกันแล้ว บริษัทหรือสตาร์ทหรือสื่อ ก็มองว่าควรจะเป็นแบบนั้นมากกว่ามาแบ่งย่อย เพราะสุดท้ายมันก็ต้องไปอยู่ในเฟซบุ๊ก กูเกิล หรือไลน์ในเรื่องของเม็ดเงินโฆษณา ถ้าเราเป็นเว็บเล็กเว็บน้อยเบี้ยหอยลายทางเนี้ย เราก็ไม่มีทางสู้กับทางนั้นได้ เลยคิดว่าเราน่าจะรวมกันได้ ในเมื่อมาอยู่ในเครือเดียวกัน บริษัทเดียวกันก็เพื่อสร้างประโยชน์กับยูสเซอร์ได้มากขึ้น และก็เพื่อสร้างประโยชน์กับแบรนด์ได้มากขึ้นด้วย เราจะได้มีความมั่นคงมากขึ้นและมีชื่อเสียงอยู่ในวงการต่อไปครับ และในกรณีของ Blognone จะเน้นส่งเสริมกันมากกว่า ต่างคนต่างทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด แต่วิธีการทำงานอาจปรับให้คล้ายกันมากขึ้นเช่น Blognone อยากจัดอีเว้นท์ แต่มีทีมงานอยู่ 8 คน ก็เอาคนของ Wongnai ไปช่วยก็เป็นได้ อะไรประมาณนี้ครับ จากการขยายตัวนำไปสู่การเข้าตลาดหลักทรัพย์? พี่ยอด :วางแผนจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2019 เราก็กำลังพยายามอยู่ เรามองว่าไม่ได้แค่ช่วยบริษัทอย่างเดียว ยังถือว่าได้ช่วยประเทศไทยด้วย ยกตัวอย่างผมอยู่ในวงการสตาร์ทอัพมานาน เราเป็นรุ่นพี่ในวงการ แต่แทบไม่มีใครเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้เลย เราเลยคิดว่าควรทำให้เป็นตัวอย่าง แทนที่จะไปส่งเสริมเขามาทำสตาร์ทอัพกันเถอะ เราสร้างตัวอย่างให้เห็นดีกว่า นั่นเป็นการส่งเสริมที่ดีที่สุด ว่า Wongnai สามารถทำได้จริงๆ และอีกเหตุผลหนึ่งคือ การที่มารวมตัวกันกับ Blognone ในต่างประเทศก็มีแบบนี้เหมือนกันในไทยเราก็จะได้ไปสู้กับเฟซบุ๊ก กูเกิล อาลีบาบา เพราะพวกนี้ก็มองไทยว่าเป็นตลาดเหมือนกัน การมาของมิชลินสตาร์ มีผลกับ Wongnai ไหม? พี่ยอด : มองว่ามิชลินสตาร์มันค่อนข้างเฉพาะกลุ่มนะ อารมณ์เหมือน Wongnai คืองาน Rotten Tomatoes ที่รีวิวหนังทุกเรื่องใครมารีวิวก็ได้ ถ้ามิชลินสตาร์ก็เปรียบเหมือนออสการ์ที่ต้องมีผู้เข้าชิง ก็ถือว่าเป็นสีสันที่เข้ามามากกว่าครับ ภาพต่อไปของ Wongnai จะเป็นอย่างไรต่อ? พี่ยอด : ตอนนี้มีไลฟ์อีเว้นท์ที่น่าสนใจ อย่างแต่งงาน ซื้อบ้าน ซื้อรถ มันก็มีความต้องการของผู้ใช้ค้นหาข้อมูลอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไปจัดการข้อมูลตรงนั้นได้ ทำค้นหาข้อมูลที่ดีกว่ากูเกิล ถ้าเราทำได้ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเห็นออพชั่นอะไรใหม่ๆ เราก็อาจจะทำ ก็จะไม่ใช่ไลฟ์สไตล์อย่างเดียวที่คนค้นหาข้อมูล และจะไม่มีการขยายไปยังตลาดต่างประเทศ เพราะเราต้องการทำเพื่อคนไทยและพัฒนาสิ่งต่างๆ ให้ตอบโจทย์คนไทยมากที่สุด จากสตาร์ทอัพไทยกลุ่มเล็กๆ ที่มีวิชั่นในเรื่องรีวิวร้านอาหารที่ตอบโจทย์จริตคนไทย จนตอนนี้กำลังจะก้าวสู่ไลฟ์สไตล์แพลตฟอร์ม ที่เรียกว่าจะรีวิวแทบทุกอย่างแบบครบวงจร เพื่อขยายการเติบโตแบบ “วงกว้าง” ในแบบฉบับของ “Wongnai”
