สัมภาษณ์พิเศษ : 'เต๋อ - นวพล' เล่าเรื่องที่ไม่เคยรู้เกี่ยวกับ BNK48 : Girls Don't Cry (สปอยด์)

Writer : Sam Ponsan

: 21 สิงหาคม 2561

คิดว่าหลายคนน่าจะได้ไปดู BNK48 : Girls Don’t Cry มาแล้วและน่าจะเกิดคำถามขึ้นในใจเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ ทั้งที่เกี่ยวข้องกับหนังโดยตรง และไม่ค่อยเกี่ยวกับวหนังเท่าไหร่แต่ก็อยากจะรู้ แต่ยังไม่ได้คำตอบที่ออกมาจากผู้ให้กำเนิดหนังโดยตรงซึ่งก็คือ ‘เต๋อ – นวพล ธำรงค์รัตนฤทธิ์’ ผู้กำกับ 

เพื่อไขข้อข้องใจของ Mango Zero เอง และผู้ชมหลายคน เราเลยหาโอกาสที่จะมาพูดคุยกับนวพล เพื่อจะได้ตอบคำถามที่เราอยากรู้มานานหลังจากดู BNK48 : Girls Don’t Cry จบแล้วยังคงเก็บไปคิดแบบไม่หลับไม่นอน แต่วันนี้หลายคนน่าจะนอนหลับเพราะผู้กำกับได้แอบตอบข้อสงสัยบางอย่างมาแล้ว

อาจจะมีสปอยด์บ้างเบาๆ สำหรับคนที่ยังไม่ได้ดู BNK48 : Girls Don’t Cry แต่ไม่ว่าคุณจะไปดูหนังมาแล้ว หรือยังไม่ได้ดูเลย แนะนำว่าควรจะฟังสิ่งที่นวพล เล่าเกี่ยวกับหนัง เพื่อที่เราจะได้เข้าใจเบื้องหลังน้ำตาของสาวๆ มากขึ้น และเข้าใจในตัวผู้กำกับมากขึ้นกว่าเดิม

หรือถ้าไม่มีเวลาดู เรามีให้อ่านด้วยนะ

ตอนสัมภาษณ์ทำยังไงให้น้องๆ เปิดใจ 

ก่อนที่จะสัมภาษณ์ไม่รู้เลยว่าต้องทำยังไง ไม่รู้จริงๆ และก็คิดว่าไม่มีวิธี เพราะเราคิดว่ายิ่งใช้วิธียิ่งไม่ได้ ก็ตามบุญตามกรรมที่สร้างกันมา (หัวเราะ) แล้วแต่ความเชื่อของน้องเขา ว่าเชื่อเรามากแค่ไหน หมายถึงการที่คุณจะเป็นเพื่อนใครสักคน ก็คือคุณไปเป็นเพื่อนเขา มันไม่มีวิธีการเป็นเพื่อน มันก็คือแค่เป็นเพื่อนกัน

แต่ว่ามันไม่ใช่เราทำเพื่อจะได้ฟุตเทจ ต้องการฟุตเทจ เรารู้สึกว่าเป็นเพื่อนไปแล้วกัน แล้วก็ทำอะไรไม่ได้ ก็ลุ้นเอาว่าวันที่สัมภาษณ์เขาจะคุยหรือไม่คุย ทำได้แค่นั้นเลย แต่พอถึงวันที่คุย น้องก็พูดอย่างที่อยากพูดทั้งหมด

สัมภาษณ์ใครคนแรก

ตามลำดับจะเป็นมิโอริ มันเป็นตามคิวที่เขาว่าง (หัวเราะ)

แล้วคนสุดท้ายล่ะ 

เนยเป็นคนสุดท้าย  เพราะคิวไม่มีอะไรเลย ส่งใครมาก็ได้ครับ ส่งมาให้ครบแหละครับ (หัวเราะ)

เบื้องหลังของสารคดีนี้คุณทำน้องๆ ร้องไห้ไปกี่คน

ประมาณ 2 ส่วน 3 เกินครึ่งนิดหน่อย เอาจริงๆ เราไม่ได้ถามบิวท์อะไรขนาดนั้นนะ แล้วการที่เด็กร้องไห้ก็เหมือนเขาเล่าถึงจุดหนึ่งแล้วเขารู้สึกเอง เราไม่ได้ไปนั่งบี้ ขยี้อะไรขนาดนั้น เพราะเราไม่ได้อยากให้สารคดีนี้เป็นแบบเรามาขยี้ดราม่ากันเถอะครับ เราไม่รู้จะทำไปทำไม น้องเขาอยู่ในบริบทอะไรแบบนั้นเยอะพอแล้ว

เราก็ยังบอกทุกคนว่าพูดเท่าที่พูดนะ อะไรไม่อยากพูด ไม่ต้องพูด  อย่าพูดแล้วกลับไปแล้วนอนไม่หลับ นี่คือชิ้นงานที่เขาควรจะสบายใจกับมันมากที่สุด เพราะสุดท้ายแล้วหนังเรื่องนี้ครึ่งหนึ่งหรืออาจจะมากกว่าครึ่งนึงมันเป็นงานของน้องๆ ไม่ใช่เรา

คุณคิดวิธีการเล่าเรื่องของ BNK48 : Girls Don’t Cry อย่างไร

เรามีฟุตเทจ  60 ชั่วโมงเป็นการสัมภาษณ์ล้วนๆ นั่นคือข้อมูลที่มี คิดซะว่าเรากำลังทำหนังสือท่องเที่ยวประเทศหนึ่ง สมมติให้ 5 คนทำ เนื้อหามันก็ต่างกัน เราก็เป็นเล่มนึงในนั้นเหมือนกัน วิธีการของเราคือฟังใหม่ทั้งหมด แล้วหาหัวข้อที่เราสนใจ แล้วค่อยๆ เอาฟุตเทจจากแต่ละคนเข้ามาประกอบกัน นี่คือกระบวนการในการสร้างหนังเรื่องขึ้นมา

มีคนสงสัยว่าทำไมฟุตเทจน้อยจัง และหลายฟุตเทจก็เห็นกันมาแล้ว

จะบอกว่าผมไม่สามารถย้อนเวลาไปถ่ายได้ครับ (หัวเราะ) ช่วงพาร์ทต้นๆ ของน้องเราก็ต้องใช้ฟุตเทจที่เขามีอยู่แล้ว ซึ่งเขาก็มีอยู่ประมาณนั้นจริงๆ นี่คือพยายามเลือกที่ดีที่สุดเพื่อพยายามเอามาเล่า แต่สักพักจะสังเกตเห็นได้ว่าฟุตเทจช่วงหลังๆ จะมีฟุตเทจที่คนไม่เคยเห็นมากขึ้น เพราะว่าเราอยู่ช่วงนั้น ถามว่าผมอยากได้ฟุตเทจที่ไม่เคยใช้ไหม กูอยากได้อยู่แล้ว (หัวเราะ)

มีหลายคนดูจบแล้วคอมเมนต์ว่า อยากดูฉบับ Director’s cut

ก็ไอ้ร่างนี้ กูก็คัตเองนี่แหละ  (หัวเราะ) มันก็คือไดเรคเตอร์เว้ย มันไม่มีไดเรคเตอร์คัตอีกแล้ว นี่ก็คือสิ่งที่ผมอยากจะสื่อสารแล้ว

แล้วฉบับ Uncut ล่ะ จะมีโอกาสได้ชมไหม

ถามว่าฉายฉบับ Uncut ไหมก็คงไม่มีแล้วครับ ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องให้คนอื่นทำไปเลย ต้องเปลี่ยนผู้กำกับไปเลย ให้เขาไปดูฟุตแล้วตัดขึ้นมาใหม่

มีฉากไหนที่ทำให้คุณร้องไห้บ้างไหม

มีอยู่ฉากหนึ่งเราดูกี่ครั้งก็น้ำตาซึม กระทั่งวันรอบสื่อฯ เราก็ยังรู้สึกเหมือนเดิม นั่นคือฉากเจน เรารู้สึกว่าแม่งมหัศจรรย์มาก ตั้งแต่ทำหนังมาไม่เคยรู้สึกแบบนี้  นี่มันเป็นสิ่งที่เรามอง จ้องมองแล้วเรารู้สึกเยอะมาก แล้วฉากนั้นมันใกล้มาก เราเห็นมวลความรู้สึกที่เคลื่อนไป พูดแล้วนามธรรมมากนะฮะ  แต่ว่าถ้าไปดูจะรู้สึกอย่างนั้น

มันไม่ได้ปรากฎเป็นรูปของอะไร แต่ว่า ตา ดวงตา เสียง ของเจน รวมๆ แล้วแม่งโคตรทรงพลังเลยว่ะ แล้วเรื่องที่เขาพูดด้วย เลยรู้สึกว่าดูฉากนั้นกี่ทีก็ โอ้ยย ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้วจริงๆ  (หัวเราะ) ตลกมาก วันที่ดูรอบสื่อมวลชน มันคือรอบที่ 500  แล้วแต่ยังรู้สึกเท่าเดิมอยู่เลย

กังวลเรื่องแอร์ไทม์ของแต่ละคนมากแค่ไหน

ไม่ได้คิดถึงแอร์ไทม์เลยครับ เป็นสิ่งที่ต้องลืมไปเป็นอันที่หนึ่งเลย ถ้าเรามัวแต่คิดถึงเรื่องแอร์ไทม์มันจะเล่าไม่ได้ ที่ถูกต้องคือเอาสิ่งที่ควรจะเป็นหนังมารวมกัน แล้วค่อยดูว่าใครเล่าตรงไหนได้ดี แต่ละคนจะเล่าแต่ล่ะพาร์ทได้ดีไม่เท่ากัน จะเล่าช่วงคนไม่ติดเซมบัตสึ จะไปถามคนติดเซมบัตสึเขาก็ไม่รู้สึกอะไรไง (หัวเราะ) มันก็ต้องเอาคนที่ไม่ติดมาเล่า คราวนี้ก็ต้องมาดูว่าใครเล่าได้ดี

มันยากเหมือนกันนะครับ คำว่าสารคดีสำหรับเรามันไม่ใช่เอาข้อมูลมากองกันน่ะ เรามีข้อมูลเยอะ เชื่อเราเถอะว่าถ้าเอาข้อมูลนั้นใส่อัดกันลงไปในหนังมันดูแล้วก็หลับ เราดูยังแบบเราไม่ไหวเลย (หัวเราะ) แม้ว่าจะเป็นข้อมูลสำคัญ แต่ถ้าใส่ไปหมดหนังไม่สนุกก็โดนด่าอยู่ดี ต้องบาลานซ์ให้ได้ทั้งความเป็นหนัง และจำนวนสมาชิกทั้งหมด แอร์ไทม์แต่ละคนมากน้อยไม่เป็นไร เอาแค่ว่าเขาอยู่ในจุดที่ถูกต้องก็พอ

พาร์ทไหนตัดยากที่สุด

พาร์ทจิ๊บกับเฌอปราง อันนี้คือดุเดือด อาจจะยากที่สุด แต่ไม่ได้กังวลสุด ตอนตัดเราคิดว่าจะทำยังไงให้ตัดออกมาแล้วคนดูรู้สึกคล้ายๆ กับเราเหมือนกันแม่งยาก ถ้าตัดผิดจะดูเป็นการชกต่อยกันเลยนะ แต่ถ้าตัดถูกจะรู้สึกเป็นการดีเบทกัน

ทำไมถึงไม่มีเรื่องการจบการศึกษา หรือดราม่าเรื่องอื่นๆ 

เรื่องนี้มันแล้วแต่ความสนิทของแต่ละคน ซึ่งทุกคนก็ไม่ได้สนิทกันทั้หมด เราอาจเข้าใจว่าคนนี้น่าจะสนิทกับคนนี้ คนนี้น่าจะรู้สึกอย่างนั้น แต่บางทีน้องมันไม่ได้รู้สึกแบบนั้นก็จบ สิ่งที่คนอื่นคิดบางทีมันก็ไม่มีจริงๆ มันไม่ใช่ว่าเราไม่ได้เอาออกมา แต่ไม่มี

คำว่าใต้ยอดภูเขาน้ำแข็ง ที่เจนนิษฐ์พูด มันใหญ่แค่ไหน ที่เห็นในหนังมันเยอะหรือยัง

เจนนิษฐ์มันก็เวอร์ (หัวเราะ) ก็ใช้คำว่ายอด tip of the iceberg ไม่หรอกๆ มันอยู่ที่ว่าคุณคิดว่าใต้ภูเขาน้ำแข็งมันคืออะไร สำหรับเราแค่นี้ก็เยอะมากๆ แล้วนะ  แต่จะได้รับอะไรกลับไปมากแค่ไหน ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของแต่ละคนว่าเขาหวังจะเห็นอะไร

หลังจากไปรู้จักน้องๆ แล้วมีอะไรบ้างที่เปลี่ยนไป และอะไรที่เหมือนเดิม

เหมือนเดิมคือไม่ได้โอชิใคร (หัวเราะ) แต่ที่เปลี่ยนไปคือจากที่เราเคยเป็นคนนอก กลับออกมารู้สึกว่าเป็นพี่

จะมี Girls Don’t Cry ภาค 2 ไหม

เขาบอกว่าอาจจะมีนะฮะ  แต่ว่าเราคิดว่าเราอาจจะไม่ได้ทำแล้วมั้ง เพราะเรารู้สึกว่าปลี่ยนมือก็ดีไปอีกทางหนึ่ง แต่ถ้าอีก 5 ปีมาทำใหม่เราอยากทำนะ อีก 5 ปีทุกคนเป็นไงบ้าง ถ้าเราไม่ลืมซะก่อนเราอยากทำนะจริงๆ กูจองนะเว้ย ห้ามคนอื่นขโมย (หัวเราะ)

 

Writer Profile : Sam Ponsan
นักเขียนหนุ่มสุดเท่ที่ชื่นชอบการขี่มอเตอร์ไซค์เป็นชีวิตจิตใจ ขนาดฝนตกยังยอมขี่รถตากฝนเลยเพราะคิดว่าทำแล้วเท่ งานอดิเรกของเขาคือการไปออกกำลังกายเพราะเชื่อว่าทำแล้วเท่ ปัจจุบันก็ยังชอบทำ Content อะไรเท่ๆ ลงเว็บ Mango Zero ด้วย แหม่...เท่จริงๆ
Blog : Social Media : Facebook, Twitter
View all post

[6/10] รีวิว One Take : ภาพยนตร์ของ BNK48 ที่เรารู้ตอนจบ แต่...ไม่รู้ว่าระหว่างทางมีอะไร


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save