SY51 ซากุระเมืองเหนือที่ผลิบานอย่างสดใสด้วยใจที่มุ่งมั่น “สวัสดีเจ้า” เด็กสาวชาวเหนือผู้มีฝันและรักในการร้องเต้นสิบกว่าชีวิตทักทายเราด้วยความสดใส แล้วแนะนำตัวว่าพวกเธอคือ SY51 วงไอดอลจากเชียงใหม่ ก่อตั้งจากโปรเจกต์ของกลุ่ม CNX GT (CNX Girls Teenage) เพื่อพัฒนาศักยภาพเยาวชนเชียงใหม่ ก่อนกลายมาเป็น Local Idol กรุ๊ปแรกของไทย SY ย่อมาจาก Somei Yoshino ชื่อพันธุ์ของดอกซากุระที่สวยที่สุด และมีลักษณะคล้ายกับดอกพญาเสือโคร่งของจังหวัดในภาคเหนือของไทย ส่วน 51 เกิดจากในตอนแรก โปรเจคต์ถูกวางแผนไว้ว่าจะทำแค่ 51 สัปดาห์ แต่เพราะความฝันของพวกเธอไม่ได้มีอายุสั้นแค่ไม่ถึงปี โปรเจคต์จึงไม่สิ้นสุดเพียง 51สัปดาห์ (แต่เลข 51 ก็ยังอยู่ในชื่อวง เพราะเชื่อว่าเป็นเลขมงคล) จากการคัดเลือกเด็กสาวชาวเหนือผู้มีฝันและรักในการร้องเต้นหลายร้อยคน ปัจจุบันวงมีเมมเบอร์รุ่นแรก 22 คน และเทรนนี 9 คน โดยในเกณฑ์รับสมัคร ไม่จำเป็นต้องเป็นคนเชียงใหม่โดยกำเนิด แต่ต้องอาศัยอยู่ในภาคเหนือ เพื่อจะได้ไม่ลำบากเกินไปในการเดินทางมาซ้อมที่เชียงใหม่ “หนูอยู่ลำพูนค่ะ ซึ่งก็ไม่ไกลเชียงใหม่ พอต้องมาซ้อมหลังเลิกเรียน คุณแม่ก็จะขับรถมาส่ง ใช้เวลาเดินทางไปกลับ 2 ชั่วโมงค่ะ” ปาล์มมี่ หนึ่งในเมมเบอร์ยกเคสตัวเองขึ้นมาเล่า พวกเธอต้องซ้อมกันทุกวันหลังเลิกเรียน และวันเสาร์อาทิตย์ เพื่อปรับพื้นฐานให้ทุกคนสามารถร้องและเต้นได้อย่างพร้อมเพรียง สามารถขึ้นเวทีแสดงในฐานะวงไอดอลได้ จนสมควรแก่เวลา วงก็จัดกิจกรรม SY51The Debut เพื่อแนะนำตัวอย่างเป็นทางการต่อสาธารณชน งานจัดขึ้น 2 ครั้ง คือวันที่ 30 มีนาคม 2562 ณ ห้างสรรพสินค้าพรอมเมนาดา เชียงใหม่ และ 7 เมษายน 2562 ณ เอ็มบีเคเซ็นเตอร์ กรุงเทพมหานคร เพราะพวกเธอเชื่อว่า SY51 ไม่ใช่สถานที่แต่เป็นผู้คน งานของพวกเธอจึงไม่จำกัดแค่ในเชียงใหม่ เมื่อมีแฟนคลับมากมายในจังหวัดอื่นที่อยากพบพวกเธอเพื่อรับและให้กำลังใจ ขณะเดียวกัน วงก็มีเป้าหมายเพื่อแผยแพร่ เอกลักษณ์ของภาคเหนือ และเพื่อสร้างชื่อเสียงให้เชียงใหม่เป็นที่รู้จักในทางไอดอล “พวกเราเป็นวงจากภาคเหนือ และมีคอนเซปต์ว่าเป็นน้องสาวชาวเหนือ หนูก็อยากให้คนที่ไม่ใช่ภาคเหนือ คนทุกจังหวัด ให้รู้จักภาคเหนือและพวกเรามากขึ้น” อาย เมมเบอร์พี่โตสุดในวงอธิบาย SY51 มีเพลงแล้ว 4 เพลง – เพราะเอกลักษณ์ของภาคเหนือไม่ใช่แค่ความอ่อนช้อยแช่มช้าอย่างที่มักถูกจดจำ แต่ยังเป็นความสดใส จริงใจ และหลากหลาย ทั้งสี่เพลงเลยมีจังหวะสนุกสนาน และหลากหลายในแนวดนตรี ทั้งป็อปร็อค ซินธ์ป็อป สอดคล้องกับยูนิฟอร์มที่จะต่างไปในแต่ละเพลง –สะพานสายรุ้ง “เพลงนี้อธิบายตั้งแต่จุดแรกของพวกเราว่า ผ่านอะไรมาบ้าง ถ้าไม่มีฝนก็คงไม่มีรุ้งงาม ต้องเจออุปสรรค ปัญหา กว่าจะประสบความสำเร็จ แต่ทุกวันนี้ก็ยังต้องพัฒนาต่อไป ต้องเดินไปเจออุปสรรคที่หนักกว่าตอนแรก” ชุดของเพลงนี้จะคล้ายๆ ยูนิฟอร์มโรงเรียน “เป็นเสื้อแขนยาว มีเสื้อกั๊กทับ มีโบว์ผูกไว้ กระโปรงประมาณเหนือเข่า สมวัยกับพวกเรา SY51 ที่เป็นนักเรียนที่เพิ่งก้าวเข้าสู่วงการนี้” –แสงแห่งความหวัง เล่าเรื่องต่อจากสะพานสายรุ้ง เป็นแสงแห่งความหวังที่สว่างขึ้นมาในวันที่เริ่มหมดแรงต่อสู้กับอุปสรรค “ชุดมันจะมีความเป็นภาคเหนือ พื้นเป็นสีกรมท่า มีลายแถบเหมือนช้าง บนหัวก็มีเครื่องประดับเป็นเครื่องเงินของภาคเหนือ ชุดจะมีสองแบบ แบบแรกเป็นนินจาที่เป็นคุณหนูในวัง คอบัว อีกแบบจะเป็นนินจาเท่ๆ คอเต่า” –ดีกว่านี้ “เป็นเพลงที่ทำกับ ป.ป.ช. (คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) เพื่อรณรงค์ต่อต้านทุจริต แต่ก็สื่อออกมาเป็นเพลงรัก พูดเรื่องการอยากปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นเพื่อให้คนที่เรารักและรักเราภูมิใจ นึกถึงหนังเรื่อง ‘สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก’เลยค่ะ เราไปดูหนังเรื่องนั้นกันก่อนร้องเพลง” ส่วนยูนิฟอร์ม จะย้อนกลับไปคล้ายชุดนักเรียนเหมือนเพลงแรก “มันเป็นเสื้อขาวแขนยาว กระโปรงเทา โบว์สีดำ ชุดจะเรียบง่าย สบายตา ไม่รกเกินไป ก็จะเป็นนักเรียนเหมือนกัน แต่โตขึ้นมาอีกหน่อย น่ารักมากเลยนะ” -และ ความคิดถึงของฤดูฝน ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อ 25 สิงหาคมที่เอ็มบีเคเซ็นเตอร์ กรุงเทพมหานคร ก็เป็นเพลงมีจังหวะที่บอกว่า ฝนไม่จำเป็นต้องตกมาพร้อมความเหงาเสมอไป นอกจากกิจกรรมโชว์ตามอีเวนต์ต่างๆ ยังมีกิจกรรมของวงที่ให้แฟนคลับใกล้ชิดกับเมมเบอร์ และชมโชว์สดๆ ของพวกเธอ “อย่างในงานเดบิวต์ เรามีแสดงโชว์ แล้วก็มี 2 shot เซ็นการ์ดใส ทั้งที่เชียงใหม่และกรุงเทพ” รวมถึงมีการผลิตคอนเทนต์ต่างๆ ในชาแนล SY51 เพื่อให้แฟนคลับรู้จักน้องๆ แต่ละคนมากขึ้น ผ่านมาหนึ่งปีเต็มนับจากประตูแห่งโอกาสเปิดรับเด็กสาวชาวเหนือผู้มีความฝันกลุ่มนี้เข้าสู่วงการไอดอล อย่างที่บอกไปตอนต้น เพราะความฝันของพวกเธอไม่ได้มีอายุสั้นแค่ไม่ถึงปีตามแผนแรกของโปรเจกต์ เมมเบอร์ทุกคนจึงต้องพัฒนาตัวเองต่อไป บ้างก็พัฒนาที่เชียงใหม่ บ้างก็เดินทางไปพัฒนาสั่งสมวิชาความรู้ที่เกาหลีใต้ (เกียลี่ พลอย แชมมี่ ต้าร์ น้ำ) เพื่อเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เป็นซากุระเมืองเหนือที่ผลิบานอย่างสวยงามในวันที่โตเต็มวัย ทำไมถึงมาออดิชั่น SY51 อาย: หนูเห็นจากในเพจว่า รับสมัครคนที่มีความฝันในการเป็นไอดอล ในภาคเหนือ แล้วหนูเป็นคนชอบร้องเพลง สนุกและมีความสุขเวลาทำ เลยมาออดิชั่นเพราะอยากร้องเพลงให้ทุกคนฟัง ซึ่งตอนแรกก็ชอบแค่ร้องเพลง แต่พอเป็นไอดอลแล้วมันก็ต้องเต้นด้วย ร้องไปด้วย ตอนนี้ก็เริ่มชอบการเต้นแล้วค่ะ เวลาออนสเตจแล้วได้ยินเสียงเชียร์จากทุกคน ก็รู้สึกสนุกดีค่ะ พลอยพิม: เป็นคนที่บุคลิกไม่ค่อยดี ไม่กล้าแสดงออก แต่หนูชอบเต้น และอยากทำให้ทุกคนเห็นว่า หนูชอบการเต้นจริงๆ นะ เลยมาออดิชั่นค่ะ จนผ่านเข้ามา ซึ่งหนูก็มีแรงบันดาลใจเป็นคุณพ่อ คือคุณพ่อไม่ใช่นักเต้นนะคะ (หัวเราะ) แต่เป็นคนที่ชอบทำอะไรหลายๆ อย่าง กีตาร์: หนูผิดหวังจากอีกวงมา แล้วเข้าเปิดรับสมัครสมาชิกวงนี้ หนูก็อยากให้โอกาสตัวเองอีกครั้ง อยากร้องเพลง อยากเป็นไอดอลจริงๆ เลยมาลองใหม่ หญิง: หญิงชอบในเส้นทางบันเทิงอยู่แล้ว ตอนไปสมัครอีกวง ก็คิดว่ามันเป็นอะไรที่ท้าทาย จนพบว่ามันเป็นสิ่งที่เราชอบ ตอนไม่ติดก็เสียใจมากๆๆ พอมี SY51 ขึ้นมา ก็เหมือนจุดไฟในตัวเอง ให้เราอยากสู้เพื่อความฝันของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง พรีเซนต์คาแรกเตอร์ตัวเองหน่อย หญิง: เป็นคนที่ค่อนข้างเรียบร้อยบางช่วง ตลกบางช่วง คนจะเรียกว่าองค์หญิง น่าจะเพราะบุคลิกที่ดูนิ่งๆ พลอยพิม: เป็นคนเด๋อๆ ด๋าๆ ค่ะ (หัวเราะ) กีตาร์: เป็นคนเสียงใหญ่ แล้วก็นิสัย…ยังไงดี (หันไปถามเพื่อน) อาย: เป็นคนมีน้ำใจค่ะ เวลาขอให้น้องช่วยทำอะไร น้องก็จะ…ได้พี่ๆ (กีตาร์หันมาไหว้) หญิง: กีตาร์ชอบเล่นมุกค่ะ แต่แป้กทุกครั้งเลยนะ อาย: หนูเป็นพี่โตสุดในวง น้องๆ ก็เหมือนจะเคารพ นิดนึง (หัวเราะ) เวลาเล่นมุกก็จะได้ยินเสียงดังออกมา…เสียงแอร์อะค่ะ ฟู่… พอเข้ามาเป็น SY51 ชีวิตเปลี่ยนไปแค่ไหน หญิง: เวลานอน เวลาพักผ่อน แต่ก่อนสองทุ่มก็นอนแล้ว แต่ตอนนี้ สามทุ่มคือเพิ่งกลับจากห้องซ้อม พลอยพิม: เวลากับครอบครัวจะน้อยลง จากเมื่อก่อน เสาร์อาทิตย์ช่วยพ่อแม่ขายของ เจอญาติ ก็ไม่ค่อยได้เจอ เพราะต้องเรียนเพิ่ม ซ้อมเพิ่ม ก็มีคิดถึงหน่อยๆ ต้องโทรหา หรือวิดีโอคอลไปหาว่า ทำอันนี้อยู่นะ คิดถึงนะ เดี๋ยวเสร็จแล้วจะไปหา กีตาร์: ทุกๆ ปีหนูจะได้ไปเที่ยวกับครอบครัว เช่นไปทะเล แต่พอเข้า SY51 เรามีงานที่ต้องทำ ต้องรับผิดชอบ วันที่ครอบครัวไปเที่ยวกันหนูก็ไม่ได้ไป หนูอยากพัฒนาตัวเอง ก็เลยไม่ได้ลาซ้อม อาย: เรื่องดูแลตัวเองค่ะ เพราะว่าเมื่อก่อน เวลาจะไปเรียน ครีมอะไรก็ไม่ทา บางทีก็หน้าสดเลย แต่เดี๋ยวนี้เวลาจะไปไหนก็ทาครีม เพราะเราต้องดูแลรักษาผิว หรือเวลานอน ก็พยายามนอนไวขึ้น ไม่งั้นขอบตาจะดำ ตอนซ้อมก็อาจจะหน้ามืดได้ รวมๆ ก็คือดูแลตัวเองมากขึ้น คิดว่า ชีวิตวัยรุ่นของตัวเองหายไปไหม กีตาร์: มันเป็นเส้นทางชีวิตที่แตกต่าง คนอื่นอาจจะเดินไปอีกเส้น แต่หนูเดินเส้นนี้ มันก็แค่ความแตกต่าง พลอยพิม: หนูไม่เสียดายค่ะ อาจจะมีงานที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น แต่ก็ยังใช้ชีวิตตามปกติได้ หญิง: ไม่เสียดายเหมือนกันค่ะ มันเป็นความท้าทายที่เพิ่มขึ้นในชีวิตวัยรุ่น อาย: ก็เสียดายค่ะ เกิดมาเราก็มีชีวิตวัยรุ่นครั้งเดียว แต่การทำตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่หนูรักและมีความสุข เกิดมาครั้งหนึ่งก็อยากทำในสิ่งที่รัก และลองทำสิ่งที่ไม่เคยทำเหมือนกัน นิยามคำว่า ไอดอล ของแต่ละคน หญิง: เป็นแบบอย่างที่ดี ทำอะไรในสิ่งที่ดี เช่นในด้านการเรียน ช่วยเหลือสังคม เก็บขยะก็เป็นไอดอลได้ พลอยพิม: เป็นการมอบความสุข เคยไปดูศิลปินหลายๆ คนที่มอบความสุขให้เราได้ พอเราเป็นเอง ก็อยากมอบความสุขให้คนอื่นบ้าง อยากเป็นแรงบันดาลใจกับพลังบวกให้คนดู กีตาร์: หนูอยากเป็นไอดอล เพราะอยากให้คนอื่นมีความสุข แล้วพอเขามีความสุข เราก็มีความสุข หนูเคยเห็นข่าวที่ญี่ปุ่น มีคนที่เขาเครียดจากการทำงาน จากการเรียน เขาก็มีไอดอลเป็นที่พักพิงจิตใจ มีชีวิตที่ดีขึ้นได้ อาย: เป็นแรงบันดาลใจเหมือนกันค่ะ หนูอยากให้ทุกคนมีความสุขจากสิ่งที่หนูทำ ที่หนูมอบให้ด้วยความจริงใจ อยากเป็นกำลังใจให้คนที่ท้อ เสียใจ หาทางออกไม่ได้ หรือคนที่มีความฝันเหมือนพวกเรา อีก 10 ปี คิดว่าตัวเองจะเป็นยังไง ทำอะไรอยู่ พลอยพิม: น่าจะแก่ขึ้นค่ะ (หัวเราะ) อาจจะช่วยพ่อกับแม่ทำขนม สืบทอดกิจการจากรุ่นสู่รุ่น แต่ฝันส่วนตัวก็อยากทำงานในวงการบันเทิงอยู่ เบื้องหลังหรือเบื้องหน้าก็ได้ กีตาร์: ก่อนหน้านี้หนูเป็นนักแสดง แล้วได้มาลองเป็นไอดอล อีกสิบปีหนูอาจจะโตเกินกว่าจะเป็นไอดอล ก็อาจจะเป็นนักแสดง หรืออีกความฝันหนึ่ง คืออยากเป็นแอร์โฮสเตส หญิง: อีกสิบปี ถ้าหนูไม่ได้เป็นไอดอลแล้ว ก็อยากเป็นนักแสดง ไม่ก็นางแบบ หรือทำงานเบื้องหลังค่ะ อาย: ตอนนั้นอายก็น่าจะโตในระดับหนึ่ง แต่ก็คงจะอยู่กับไอ้เด็กพวกนี้แหละค่ะ (หัวเราะ) ไม่ก็อยู่บ้าน เปิดร้านขนมเล็กๆ ของตัวเอง ทำกาแฟ เพราะหนูชอบกินขนมกับกาแฟ ถ้าน้องๆ มากินที่ร้านก็อาจจะให้กินฟรี (ทุกคนปรบมือ) คิดว่าเสน่ห์ของตัวเองคืออะไร บอกความเป็นตัวของตัวเองหน่อย อาญ่าโกะ: น่าจะเป็นรอยยิ้ม การส่งความสุขให้ทุกคน หนูจะชอบสร้างเสียงหัวเราะ อยู่ในวงหนูก็จะเป็นตัวชง (หัวเราะ) ปลายฟ้า: มองเผินๆ หนูจะเหมือนคนไม่ค่อยพูด ไม่กล้าพูด แต่จริงๆ เป็นคนพูดมาก เสน่ห์ของหนูคือการพูดมาก ถ้ารู้จักหรือสนิทกัน จะพูดจนเขารำคาญเลย อาญ่าโกะ: ใช่ค่ะ (หัวเราะ) ปาล์มมี่: หนูเป็นคนไม่ค่อยกล้า เลยน่าจะเป็นรอยยิ้ม คือหนูชอบฟัง แล้วก็เก็บมาคิด ที่หนูยิ้มให้พี่ๆ แฟนคลับ ก็มาจากใจจริงค่ะ แนล: จริงๆ หนูก็เป็นปกติอย่างนี้ ไม่ได้ตลกตลอดเวลา ไม่ได้สนุกสนานตลอด แต่พอมาอยู่จุดนี้ ก็อยากทำให้คนที่อยู่กับรู้สึกปลอดภัย มีความสุข อยากแสดงในด้านบวกให้ทุกคนเห็น ปลายฟ้า: พี่แนลเป็นคนโก๊ะๆ ค่ะ มีรีแอ็คชั่นแปลกๆ นิยามคำว่าไอดอลของแต่ละคน อาญ่าโกะ: ตอนแรกหนูคิดว่า ไอดอลคือการใส่ชุดน่ารัก เต้นบนเวที แต่พอมาเป็นจริงๆ ก็รู้ว่ามันมีมากกว่านั้น มันเหนื่อย ต้องดูแลตัวเอง ความรับผิดชอบ ความเป็นทีม ความเป็นหนึ่งเดียวกัน ปลายฟ้า: สำหรับหนู คือคนที่ส่งมอบความสุขให้แฟนๆ เวลาเราอยู่บนสเตจ ปาล์มมี่: ตอนแรกก็คิดว่า เขาร้องได้เต้นได้ แค่นั้น แต่พอมาเป็นจริงๆ เราเลยรู้ว่าเราต้องพัฒนาตัวเองในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะในเรื่องความคิด แนล: มันคืออาชีพๆ หนึ่งที่เป็นแรงผลักดัน แรงบันดาลใจให้คนที่มืดมน ที่หนูเข้าใจก็เพราะหนูก็เคยได้รับสิ่งนั้นจากไอดอลมาเหมือนกัน เคยมีแฟนคลับมาเล่าให้ฟังไหมว่า ได้รับพลังอะไรบางอย่างจากเรา แนล: เคยมีคนบอกว่า ชีวิตกำลังดาวน์มากๆ ตอนนั้นพวกเรามีงานที่ Idol Expo พี่เขามาดูพอดี เขาก็รู้สึกมีแรงจะใช้ชีวิตต่อ แล้วก็มีคนมาเขียนความในใจที่บูธ ก็ทำให้พวกเราดีใจ และมีกำลังจะทำงานต่อ ปาล์มมี่: ก็มีคนเดินทางจากหลายๆ ที่ ทั้งกรุงเทพ ต่างจังหวัด มาดูพวกเราเพื่อให้กำลังใจ และรับกำลังใจจากเรา ก็รู้สึกดีใจที่พี่ๆ เขาเดินทางไกลมาหาเรา ปลายฟ้า: ถ้าเป็นเมื่อก่อน เราท้อหรือเหนื่อยก็จะไม่มีใครมาให้กำลังใจมากมายขนาดนี้ แต่พอมีแฟนคลับ เวลาเราท้อหรือเหนื่อย มองกลับไปที่แฟนคลับ ก็รู้สึกว่าห้ามท้อห้ามเหนื่อยนะ เพราะมีเขารอพวกเขารอ ในเมื่อพวกเขาเป็นกำลังใจให้พวกเรา เราก็จะเป็นกำลังใจให้เขาเหมือนกัน อาญ่าโกะ: อย่างเช่นหนูโพสต์แคปชั่นเป็นภาษาญี่ปุ่น แล้วแฟนคลับอยากรู้ว่าหนูโพสต์อะไร เลยไปเรียน แล้วตอนนี้เขาก็เข้าใจภาษาญี่ปุ่นในระดับที่ดีเลย ก็สามารถไปทำงานในด้านภาษาได้ เป็นไอดอลมาสักพักแล้ว การเป็นไอดอล สอนอะไรเราบ้าง ปาล์มมี่: สอนหลากหลายเลยค่ะ แต่หลักๆ ก็จะเป็นเรื่องเต้น เรื่องร้อง การตรงต่อเวลา การใช้ชีวิตประจำวัน อาญ่าโกะ: เราควรดูแลตัวเองให้เยอะขึ้น ยิ่งเราทำงานหนัก ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย เราก็ต้องหาของมาบำรุงร่างกาย พวกครีม วิตามิน เพื่อทำให้ดูไม่โทรม ดูแลหน้าตัวเอง ทั้งร่างกายเลยค่ะ ปลายฟ้า: ถ้าพูดรวมๆ ก็คือความรับผิดชอบค่ะ อย่างที่เพื่อนๆ พูด เราต้องแบ่งเวลาให้เป็น รู้จักหน้าที่ตัวเอง ทำสิ่งที่ได้รับมอบหมายให้เต็มที่ แนล:การใช้ชีวิตค่ะ เพราะปกติ ตอนหนูอยู่บ้าน ทางครอบครัวจะทำงานหนัก เลยต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง แต่พอมาอยู่ที่นี่ ก็เหมือนเจออีกครอบครัวหนึ่ง เขาก็สอนหลายๆ อย่าง เช่น การวางตัว การทำในสิ่งที่หนูยังไม่รู้ หรือรู้มาแบบไม่ถูกต้อง อีก 10 ปี คิดว่าตัวเองจะทำอะไรอยู่ ยังเป็นไอดอลอยู่หรือเปล่า แนล: หนูคงเรียนจบแล้ว สาธุขอให้ติดมหาลัย (หัวเราะ) จริงๆ อยากทำไอดอลต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะทำไม่ไหว ถ้าโตก็ไปต้องทำอาชีพที่มั่นคง ดูแลครอบครัวได้ หนูคงต้องเป็นเสาหลักของที่บ้าน ปาล์มมี่: หนูอยากโฟกัสแค่ตรงนี้ก่อน อยากทำตรงนี้ให้ดีที่สุด อนาคตเราอาจนำความรู้และประสบการณ์นี้ไปใช้ประโยชน์ในทางอื่นได้ อาญ่าโกะ: อนาคตหนูอาจเรียนอยู่ แต่หลังจากนั้นก็อยากทำอาชีพที่มอบความสุขให้ทุกคนเหมือนเดิม ปลายฟ้า: หนูยังอยากให้ SY51อยู่ไปอย่างนี้ แต่สักวันหนึ่ง ถ้าพวกเราไม่ได้ทำด้วยกันแล้ว หนูคงคิดถึงวันที่พวกเราอยู่ด้วยกัน แนล: จะอยู่ไปเป็นร้อยปีเลยค่ะ! ทำไมถึงมาออดิชั่น SY51 แชมมี่: เพราะหนูอยากเป็นศิลปิน ตอนแรกหนูเป็นนักแสดง แต่หนูรู้สึกว่า ทางการแสดงอาจจะไม่เหมาะกับหนู แล้วหนูชอบเต้นมาตั้งแต่เด็ก ชอบมโนว่าตัวเองเต้นเก่ง เลยมาออดิชั่น เพราะว่าหนูอยากเต้นให้ทุกคนเห็น มีความสุขไปกับการเต้นของเรา เฟิสท์: หนูจะเหมือนแชมมี่ คือเคยเรียนแอ็คติ้งมาก่อน เรียนมาเรื่อยๆ แต่พอวันนึง ไปดูคอนเสิร์ตของศิลปิน ก็รู้สึก ว้าว เวลาเขาอยู่บนเวที มันมีออร่ามากเลย ถึงหนูอยู่บนสุด หนูก็ยังได้รับพลังที่เขาส่งมาไกลมาก พอมีออดิชั่น ก็ลองเปิดใจกับตัวเอง แล้วมาออดิชั่นดู หนูมีเป้าหมายว่าอยากทำให้ได้เหมือนเขา ทำยังไงให้มันมีพลังส่งให้ไกล ถึงเขาจะอยู่บัตรหลังสุด ก็ยังได้รับพลังจากเราได้ ต้าร์: ตอนเด็กๆ หนูชอบเต้น ชอบศิลปินต่างประเทศด้วย เลยอยากทำในจุดๆ นั้นเหมือนเขาบ้าง หนูก็เคยไปดูคอนเสิร์ตเหมือนกัน ก็มีความสุขดี และคิดว่าศิลปินที่แสดงก็คงมีความสุขเหมือนกัน เลยมาออดิชั่น เพราะใฝ่ฝันอยากเป็นศิลปิน น้ำ: เริ่มจากอยากเป็นนักร้อง และก็อยากเป็นพนักงานเซเว่น (หัวเราะ) เคยเรียนร้องเพลง มันก็ร้องพอได้ แต่ยังไม่สุด แล้วตอนนั้นหนูเรียนเพื่อเป็นนักร้อง ไม่ได้ต้องเอนเตอร์เทนคนดู ทีนี้ครูที่สถาบันก็บอกว่า ลองไปเรียนการแสดงดูไหม หนูเลยไปเรียน ก็หยุดร้องเพลงไปเลย โฟกัสแค่เรื่องการแสดง แต่ทำไปก็รู้สึกว่ายังไม่ตรงกับความชอบตัวเองที่สุด สุดท้ายก็เลยกลับมาร้องเพลง และมาออดิชั่นที่นี่ ตัวเองเปลี่ยนไปยังไงบ้าง หลังจากเข้ามาเป็น SY51 น้ำ: น่าจะเรื่องการดูแลตัวเอง เพราะปกติหนูจะมอมแมมมาก เป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่ง นั่งเล่นดินเล่นทราย นี่ก็ต้องทาครีมกันแดด ทาครีมบำรุงตัวเอง เหมือนเป็นผู้หญิงมากขึ้น ต้าร์: ปกติหลังเลิกเรียน หนูก็จะไปวิ่งเล่นกับเพื่อน หรือสอบเสร็จปุ๊บก็จะไปกินหมูกระทะกัน แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว ต้องดูแลตัวเอง กินเยอะก็จะน้ำหนักขึ้น ทุกวันนี้แม่ก็ซื้อครีมมาบำรุงให้เยอะเลยด้วย (หัวเราะ) เฟิสท์: คิดแบบผู้ใหญ่มากขึ้น หนูอายุ 16 แต่พอมาทำงานตรงนี้ เราจะมีความคิดแบบก๊องๆ แก๊งๆ ไม่ได้แล้ว ต้องมีการวางแผนชีวิต ไปเรียนเสร็จแล้วต้องมาซ้อมตอนนี้ๆ เพราะไม่งั้น เวลาเราจะไม่ลงตัว แชมมี่: หนูได้เรื่องสติ สมาธิ จากคนที่ไม่ค่อยมีสติ ลืมของไว้บ้านก็วนกลับไปเอา แต่ตอนนี้ลืมไม่ได้แล้ว ถ้าเป็นของที่สำคัญมาก ถ้าลืมวันนั้นก็อาจจะพังไปเลยก็ได้ เสียดายชีวิตวัยรุ่นไหม ต้าร์: ตอนแรกๆ ก็เสียดายค่ะ ทำไมไม่ได้เล่นกับเพื่อน ไม่ได้ทำอะไรแบบคนอื่น ต้องมาซ้อม แต่ตอนนี้ มันได้อะไรกับตัวเรามากกว่า ทำให้รู้ว่าชีวิตไม่ใช่การเล่นขายของ เหมือนได้ประกอบอาชีพก่อน ทำให้รู้ว่าถนัดด้านไหนก่อนคนอื่น เฟิสท์: เราเลือกแล้วว่าจะทำทางนี้ ก็รู้อยู่แล้วว่าต้องแลกกับชีวิตวัยรุ่น หนูว่าหนูเลือกถูกแล้ว การที่เราอายุแค่นี้แล้วทำงานไปด้วย มันได้ประสบการณ์ ทุกอย่างที่เจอคือการฝึกฝน น้ำ: จริงๆ ก็ไม่เสียดาย เพราะหนูรู้ว่ามันต้องแลก และมันต้องเหนื่อยอยู่แล้ว พอมาเป็นเข้าจริงๆ ก็แอบรู้สึกนะว่าถ้าเราไม่ได้ทำ ก็อาจจะเป็นเด็กธรรมดาที่ไม่ต้องรับผิดชอบขนาดนี้ แต่เริ่มมาขนาดนี้ จะทิ้งก็ไม่ได้ แล้วมันเป็นสิ่งที่หนูรัก ก็ไม่เสียดายค่ะ แชมมี่: ก็มีเสียดายค่ะ แทนที่จะได้เล่นกับเพื่อนตอนเลิกเรียนก็ต้องมาซ้อม แต่พอมาถึงจุดนี้ก็คิดว่า ทำไมต้องเสียดายด้วย มันเป็นสิ่งที่เราชอบ ที่เราอยากเป็น ก็ไม่เสียดาย และมันก็เป็นชีวิตวัยรุ่นอีกแบบหนึ่งด้วย วาดภาพตัวเองในอนาคตไว้ยังไงบ้าง แชมมี่: หนูวาดภาพว่าตัวเองเดบิวต์ที่เกาหลี แล้วมีเพื่อนๆ SY51มานั่งดู มาแตะมือกัน น้ำ: หนูวาดไว้ว่าเป็นศิลปินเกาหลีเหมือนกัน จะเป็นให้ได้ค่ะ อยากทำงานในวงการบันเทิงให้มากขึ้น ทั้งในไทยและต่างประเทศ วางแผนครอบครัวด้วย อยากให้ครอบครัวสบายค่ะ เฟิสท์: หนูยืนร้องเต้นอยู่บนเวที มีแสงไฟส่อง แสดงในฮอลล์ใหญ่ๆ แล้วหนูส่งพลังให้เขา คนดูก็ส่งพลังกลับมา ต้าร์: หนูก็เหมือนทุกคนค่ะ ยืนอยู่บนเวที มีแสงสาดเข้ามา มีแฟนคลับเยอะๆ แล้วเพื่อนทุกคนก็ทำงานในวงการหมดเลย รู้จักกัน คุยกันว่าเออเหนื่อยไหม เป็นยังไงบ้าง อนาคตของ SY51 ล่ะ แชมมี่: ถึงแม้พวกหนูอยากเป็นศิลปินเกาหลี ก็อยากให้ SY51ดังในเกาหลีเหมือนกัน เฟิสท์: เป้าหมายของหนูตั้งแต่แรกเลยคืออยากให้ SY51 ไปแสดงที่ต่างประเทศ ถ้าทุกคนไปขึ้นเวทีที่ต่างประเทศด้วยกัน ในระดับนานาชาติ ก็น่าจะมีความสุข ต้าร์: อยากให้คนรู้จักเรามากขี้น รู้จักมากๆ พูดถึงเชียงใหม่ก็ต้องนึกถึง SY51 น้ำ: ถ้าพวกหนูสักคนที่ไปเกาหลี แล้วมีชื่อเสียง เขาก็จะรู้ว่าเรามาจาก SY51 รู้จักวงนี้ รู้จักเชียงใหม่ คนเกาหลีก็จะรู้จักเชียงใหม่ หรือดังไปถึงระดับโลกเลย ก็อาจเป็นไปได้