Sweat16!
ความฝัน หยาดเหงื่อ ความสุข ลองคุยกับพวกเธอในวันที่ไอดอลไทยเริ่มชัดเจน
ไอดอลกรุ๊ปก่อนยุคทองไอดอล โดยบริษัทโยชิโมโต้ ผู้สร้าง NMB48 ภายใต้โครงการ MCIP ที่ต้องการเผยแพร่วัฒนธรรมไอดอลญี่ปุ่นออกไปนอกประเทศ ผ่านโปรเจค Asia Star Audition ต่อประเทศอินโดนีเซีย (มีชื่อว่า Shojo Complex) และประเทศที่สองคือไทยโดยโยชิโมโต้ประเทศไทย เดบิวต์ตอนตุลาคมปี 2017 ในชื่อ Sweat16! พวกเธอมีจุดเด่นในเรื่องการแสดงที่ค่อนข้างแข็งแรงกว่าสแตนดาร์ดไอดอลทั่วไป มีการฝึกซ้อมจากครูญี่ปุ่น เพลงสนุกสนานอยากเชียร์ตาม ในคำจำกัดความตัวเองว่า เกิร์ลไอดอลกรุ๊ป ไอดอลแห่งการออกกำลังกายที่ตอนนี้เปลี่ยนไปขายของกินแทน (แต่มิ้นยังบอกว่า “เพลงก็ยังเป็นเพลงเร็วที่สามารถเบิร์นแคลอรี่ได้อยู่เหมือนเดิมจ้า”)
ความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาที่ผ่านมาที่เมมเบอร์เห็นชัดที่สุด คงเป็นครอบครัวที่โตขึ้น ความโปรเฟสชันนอลของวง พื้นที่การแสดงจากบนพื้นถนนสู่โอกาสที่จะได้ไปเล่นตามสเตจใหญ่ๆ มากขึ้น พัฒนาการส่วนตัวของแต่ละคน ทั้งทักษะ รูปลักษณ์หน้าตา บุคลิกภาพ จากประสบการณ์ที่ได้ปรับใช้ตลอดที่ผ่านมา การได้รับโอกาสทั้งการแสดงพิธีกรนางแบบต่างๆ ที่มากขึ้น จนตอนนี้ ผ่านมาแล้วทั้งหมด 5 ซิงเกิลเพลงหลัก และ 3 เพลงรอง ตั้งแต่ซิงเกิ้ลแรกวิ่ง – เพลงออกกำลังกาย ในชุดเท่ๆ ลุคสปอร์ตเกิร์ล เพลงที่ 2 มุ้งมิ้ง – ที่เพิ่มความน่ารักสดใส สมวัยป๊อปปี้เลิฟ มาในยูนิฟอร์มชุดเมดคาเฟ่ ซิงเกิลที่ 3 TKO – ลุควงดูโตขึ้นและมีการเพิ่มเรื่องราวการต่อสู้ กิมมิคความรักที่น็อคเอาท์หัวใจ รวมถึงการนำเอาศิลปะวัฒนธรรมไทยอย่างมวยไทยเข้ามาใช้ในท่าเต้นและเนื้อเพลง ซิงเกิลที่ 4 ปิ้งย่าง – เข้าสู่ช่วงกินวิบาก เนื่องจากช่วงนั้นอาหารชนิดนี้กำลังได้รับความนิยมและทุกคนก็ชอบกิน ทางวงเอามาใช้ในเพลง แถมยังมีการเอาส่วนประกอบของการกินปิ้งย่างมาอยู่บนชุดเช่น หมูและตะแกรงปิ้ง ต่อยอดไปยังซิงเกิลที่ 5 ชาไข่มุก – ที่เป็นสิ่งที่พวกเธอชอบกินอีกเหมือนกัน ยูนิฟอร์มที่ดูฟรุ้งฟริ้งกลับมาในแนวหวานๆ ตามรสชาติชนิดเครื่องดิ่ม และล่าสุดครึ่งนึงจากทั้งหมดยังมีแคมเปญพิเศษเกี่ยวกับของกินเมนูใหม่ของแบรนด์ๆ นึง ออกมาเป็นยูนิตพิเศษ เพลงพิเศษ ท่าเต้น ยูนิฟอร์ม รวมถึงโฟโต้เซ็ทชุดพิเศษ ต่อยอดขึ้นไปให้วงการไอดอลมีสีสันอีกระดับ (เราว่าเราคงจะอยู่ในวงการของกินไปอีกนาน – แอ๊นท์)
งานกิจกรรมของ Sweat16! มีรูปแบบค่อนข้างชัดเจนคือ กิจกรรมเชกิโพลาลอยด์ กับกิจกรรมไฮ-ไฟในแต่ละซิงเกิล ซึ่งตอนนี้วงมีกิจกรรมโอชิเมม ในการโหวตเมมเบอร์ที่ชื่นชอบผ่านแอพพลิเคชั่น โดยใครได้ที่ 1 จะได้ออกซิงเกิลเดี่ยวด้วย หรือ Party Birthday กิจกรรมวันเกิดของเมมเบอร์ในแต่ละเดือนที่ให้แฟนคลับได้มาร่วมอวยพร และความภาคภูมิใจล่าสุดของวงที่ได้เป็นวงแรกของไทยที่ได้ไปร่วมงาน @Jam Expo 2019 ที่ประเทศญี่ปุ่น งานไอดอลมหึมาของที่นั่น ที่มีความยากตั้งแต่กระบวนการที่แต่ละวงจะได้เล่นต้องส่งพอร์ตไปคัดเลือก
เราลองให้พวกเธอคิดทบทวนดูว่า Sweat16! ตอนนี้อยู่กันจุดไหน ทุกคนบอกว่าคงเป็นบันไดขั้นที่ 3 และอธิบายเพิ่มว่าชั้น 1 คือการฝึกซ้อม ขั้นที่ 2 คือมีเพลงและมีแฟนคลับ ขั้นที่ 3 คือขั้นที่ทางวงได้รับโอกาสมากขึ้นในการทำงานแต่ละด้าน และตอนนี้ถึงแม้จะเลยจุดที่เคยคิดไว้ แต่ก็อยากตั้งเป้าหมายใหม่ให้ไกลๆ แล้วเดินไปให้ใกล้ที่สุดเท่าที่จะทำได้ รวมถึงระหว่างทางที่มีมิตรภาพ ประสบการณ์ที่ไม่ได้จากที่ไหน และแฟนคลับ พวกเธออยากจะเป็นที่รู้จักนอกเหนือจากประเทศไทยทั่วแถบเอเชีย มีคอนเสิร์ตใหญ่เป็นของตัวเอง ได้ทัวร์ต่างประเทศ และเปิดรับความฝันใหม่ๆ ที่พบระหว่างทางเสมอ ภาพที่ง่ายที่สุดก็คือพูดชื่อวงที่ไหนคนก็รู้จัก เพราะตอนนี้คนยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับวงตั้งแต่ชื่อวง เพี้ยนไปตั้งแต่ Sweet สเหวท ซี๊ด เซเว่นซิกทีน พวกเธอไม่ได้โกรธและเข้าใจว่าชื่อเรียกยาก
แต่ในแต่ละคนก็จะพยายามอยากให้คนจำคล้ายและต่างกันออกไป แอ๊นท์ – อยากให้วงว่าเป็นกลุ่มเด็กสาวที่ไม่เคยทิ้งความพยายาม เพราะความพยายามสามารถสร้างโอกาส สร้างความฝัน สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นแล้วก็ตัวของเราเองได้ เฟม – อยากให้คนจำวงว่าเป็นครอบครัวที่มีแต่ความสุขมีแต่รอยยิ้ม เป็นสิ่งที่สนุกสนานตลอดเวลา เป็นเด็กสาวที่น่ารักครื้นเครงแฮปปี้ เอ๋ – อยากให้คนจำว่าเป็นบ้านที่ทุกคนกลับมาได้เสมอ เพราะว่าคนชอบหนีไปวงอื่น
ขอขอบคุณร้าน OPPA BINGSU สาขา RCA ที่เอื้อเฟื้อสถานที่ในการสัมภาษณ์และถ่ายภาพ
Facebook : OPPA BINGSU
ทำอะไรกันมาบ้างก่อนจะเข้าวง
พาด้า: กำลังจะขึ้นมหาวิทยาลัยพอดี ก่อนหน้านั้นก็ประกวดร้องเพลงตั้งแต่เด็กตั้งแต่ 8 ขวบ ร้องเต้นมาตลอด ก็มีช่วงท้อเหมือนกัน แต่เราก็อยากลองอีกสักครั้ง เลยลองสมัครอันนี้แล้วก็ดันติดเข้ามา ก็ดีใจรู้สึกว่าเราทำได้แล้วสักที
มิ้น: ตอนนั้นเรียนใกล้จบแล้ว ก็ทำงานพิเศษอยู่ที่ร้านเมดคาเฟ่ แต่เราก็มีความฝันที่อยากจะเป็นไอดอลเพราะเราชอบวัฒนธรรมญี่ปุ่น คิดว่าถ้าสักครั้งหนึ่งถ้าเราได้มีโอกาสยืนอยู่บนเวทีเหมือนกับคนที่เราชอบ มันคงจะมีความสุขมากๆ เลยเราก็เลยรู้สึกว่ามันน่าจะเป็นโค้งสุดท้ายแล้ว อายุอานามเราก็ไม่ใช่วัย 15-16 แล้ว ถ้าเราไม่เล่นตรงนี้เราก็พลาดตลอดชีวิตเลยนะ ไม่รู้สึกเสียดายเลยที่ยอมทิ้งอีกทางนึงมาเพื่อที่จะมาอยู่ตรงนี้
นิ้ง: เป็นนักเรียนปกติที่ชอบร้องเพลง มันเป็นความชอบทางด้านดนตรีลึกๆ เลยลองทำช่อง YouTube ดู ก็มีคนชอบเพลงของเรา ก็เลยอยากทำอะไรสักอย่างที่มันเป็นแรงบันดาลใจให้ใครสักคน พอมาเจอออดิชั่นโครงการนี้เลยอยากจะออกจากเซฟโซนตัวเองดู
คาดหวังอะไรจากการมาเป็นไอดอล
พาด้า: มันก็เป็นก้าวแรกที่ทำให้เราปรับตัวหรือพัฒนาตัวเองในหลายๆ ด้าน ไปสู่สิ่งที่เราอยากจะเป็นสำหรับเรา เราอยากมีคอนเสิร์ตของตัวเอง พอมาอยู่กับวงมันก็เหมือนว่าเราก็อยากมีคอนเสิร์ตกับเพื่อนๆ ด้วย มันก็ทำให้เราอยู่ตรงนี้แล้วแฮปปี้ สนุกกับการอยู่ตรงนี้ด้วย เหมือนเป็นครอบครัว
มิ้น: ทุกคนก็เหมือนเราในการมาตามความฝันในการเป็นไอดอล ก็ต้องพัฒนาตัวเองยิ่งขึ้นๆๆ เราแค่คาดหวังว่าตัวเองจะพัฒนาแล้วทำให้คนได้รู้จักเรามากขึ้น ให้คนรู้จักวงเรามากขึ้น แค่นี้ก็ดีใจแล้ว
นิ้ง: อยากให้คนเข้าใจวัยรุ่นสมัยใหม่ว่า วัยรุ่นสมัยใหม่สามารถทำอะไร 2 อย่างพร้อมกันได้ เช่นการเรียนกับการทำงาน หลายคนอาจจะคิดว่ามันไม่มีทางทำได้ เราว่าถ้าคนเราตั้งใจแล้วมีสมาธิโฟกัสกับสิ่งที่เราตั้งเป้าไว้มันสามารถทำได้ แล้วพอเราเป็นแบบนี้ เราก็อยากเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่มีความฝันเหมือนเรา พ่อแม่เขากลัวว่าถ้าพาลูกมาทางนี้น่าจะเรียนตก อยากให้เขาคิดว่าเขาสามารถทำได้ ให้เขาเชื่อในตัวเองแล้วรักในสองสิ่งนั้นมากพอ
มีคิดถึงชีวิตปกติบ้างไหม
พาด้า: ก็คิดบ้าง แต่เราเลือกแล้วที่จะมาอยู่ตรงนี้ มันก็เป็นสิ่งที่หลายคนอยากจะทำแต่ไม่ได้ทำ มันก็ทำให้เรารู้จักชีวิตมากขึ้นด้วย หนูว่าเราจะทำอะไรต่อไปจะทำอะไรสักอย่าง มันช่วยให้เราพัฒนาความฝันของเราไปมากขึ้น
มิ้น: ไม่เลยค่ะ ด้วยความที่เรารู้อยู่แล้วว่าเราเข้ามาจะต้องเจออะไรบ้าง ต้องเปลี่ยนชีวิตเรายังไง อาจจะมีเพื่อนที่งอนบ้าง เพื่อนในวัยเดียวกันก็ทำงานหมดแล้ว จันทร์ถึงศุกร์หยุดเสาร์อาทิตย์ แต่ของเราคือไม่ได้หยุดตรงกับเพื่อน เสาร์อาทิตย์บางทีเรามีซ้อม ก็จะโดนเพื่อนบ่นแต่เพื่อนก็จะเข้าใจ เพื่อนไม่เข้าใจเราก็คงสงสัยเหมือนกันว่าเรามาอยู่ตรงนี้มันไม่ดีหรอ ก็เป็นโชคดีของเราด้วยที่มีเพื่อนเข้าใจ ยังไม่ทิ้งมิ้นไม่เทมิ้น
นิ้ง: ไม่เสียดาย เพราะเรารู้ความฝันของตัวเอง ว่าเราอยากเป็นอะไร เราชอบอะไร แต่มันก็มีจุดหนึ่งที่หนักเหมือนกันเพราะว่า มันต้องลาเรียนบ่อยและสอบบ่อยมาก เราก็ต้องมานั่งแก้ปัญหาว่ามันจะทำยังไงให้ไปด้วยกันได้ เราก็เลยสอบเทียบ ทำไมเราจะต้องลาออกแล้วทำงานอย่างเดียว มันก็ไม่ใช่ เรียนมหาวิทยาลัยควบคู่ไปด้วย คือมันไม่ได้สบายเลย มันหนักกว่าเดิมด้วยซ้ำ แต่เราทำเพื่ออนาคต เรารู้ว่าถ้าเราทำเต็มที่วันนี้มันจะมีสิ่งดีๆ รออยู่
คิดว่าตัวเองในอีก 10 ปีจะทำอะไรอยู่
พาด้า: ไม่เป็นนักแสดงก็อาจจะเป็นดีเจ เพราะว่าเราก็เรียนดีเจอยู่
มิ้น: หลังจบจากไอดอล จริงๆ มองไว้หลายทางมาก ทางแรกที่คิดไว้คือสักครั้งในชีวิตเราอยากเดินแบบ เราคอมพลีทในการทำความฝันด้านเป็นไอดอลแล้ว แต่ถ้าเราสามารถขยับขึ้นไปได้อีกเสตปนึง มันคงจะเป็นสิ่งที่ไม่คาดฝันกับเราจริงๆ อย่างที่สอง อยากไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น เพราะเราเรียนเอกญี่ปุ่นอยู่แล้ว ก็อยากจะใช้ภาษาให้เกิดประโยชน์มากที่สุด อีกทางนึงด้วยความที่เราเป็นคนที่ชอบเล่นเกม เราก็มองภาพวาดฝันว่าเราอยากเป็นนักกีฬาหญิงอีสปอร์ต ไม่ก็แคสเกม จริงจังมาก และสุดท้ายของสุดท้ายจริงๆ แล้ว ก็คือมีครอบครัว (ทำหน้าเขิน)
นิ้ง: ของเราก็ยังอยากทำในงานวงการ ทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง ถ้ามีโอกาสก็อยากเป็นนักแสดงละครซีรีย์ เบื้องหลังก็อยากตัดต่อ อยากลองเป็นโปรดิวเซอร์ด้วย เราชอบตัดต่อวิดีโอ ถ่าย vlog รู้สึกว่าสนุก และอีกอย่างหนึ่งก็คือการเป็นติวเตอร์ คิดว่าภาษาอังกฤษเป็นวิชาสากล มันสามารถคุยกับทั่วโลก ความรู้มันจะอยู่กับเราไปตลอดอยากให้ทุกคนไม่ทิ้งกันเรียน
คิดว่าวงการไอดอลตอนนี้เป็นยังไง แล้วอีก 10 ปีจะเป็นยังไง
มิ้น: เราเชื่อว่ามีวัยรุ่นก็มีความฝันที่สักครั้งนึงที่อยากจะโชว์ความเป็นตัวเอง อยากได้น้องๆ ทุกคนได้เปิดโลกตัวเอง พูดแล้วแก่จัง การที่ตัวเองสามารถก้าวข้ามผ่านจุดที่ ไม่สามารถเข้าได้มันเป็นอะไรที่สุดยอดมาก ดีซะอีกทำให้คนได้รู้จักวงการไอดอลมากขึ้น น้องๆ ไม่ได้เป็นเน็ตไอดอล ไม่ได้แค่สวยแค่หน้าตา พวกเขามีความสามารถ ความพยายามที่ไม่แพ้ใคร อีก 10 ปีวงการไอดอลไม่หายไปแน่นอน เด็กในอีก 10 ปีข้างหน้าจะทำให้วงการบูมไปไกลมาก ฟันธงจากมิ้น Sweat16! ค่ะ
นิ้ง: คิดว่ากระแสมันมาแรงมาก เราก็ติดตามทุกวง มันเหมือนเราได้เห็นตัวเองเมื่อก่อนที่กำลังเริ่ม เวลามีงานที่รวมไอดอล มันเหมือนเป็นครอบครัวใหญ่มากขึ้น อยากให้มันอยู่ไปนานๆ อยากให้คนรู้ว่าเด็กไทยก็ไม่แพ้ชาติไหน ก็ดีใจที่วงเราเป็นตัวเล็กๆ ที่ทำให้วงการนี้กลับมาบูมขึ้นอีกครั้ง แล้วก็ไม่มีอะไรสายไปสำหรับความฝัน เสียใจดีกว่าเสียดายที่เราไม่ได้ทำ
เริ่มเส้นทางในวงการไอดอลกันยังไงบ้าง
เฟม: ก่อนหน้านี้อยู่วงโคฟเวอร์ที่เป็นสไตล์ญี่ปุ่น แล้วเพื่อนในวงก็ชวนกันไปออดิชั่น หนูก็เป็นคนเดียวที่ผ่านเข้ามาในนี้ หนูอยากเป็นไอดอลอยู่แล้วอยากร้องอยากเต้นอยากเอนเตอร์เทน อยากจะเป็นอยากจะทำตรงนี้
เอ๋: เราชอบไอดอลญี่ปุ่นอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็น 46 หรือ 48 ติดแบบติดสุดๆ เลย และเราก็รู้สึกว่าอยากจะใกล้ชิดกับไอดอล ตอนนั้นก็คิดนะว่าโยชิโมโต้เป็นต้นสังกัดของ NMB 48 ถ้าเราติดเข้าไปเราอาจจะได้เจอเขา เราอยากจะเป็นวงใน ถึงเราไม่ติดเราก็ส่องๆ ไว้บ้าง เผื่อจะได้โอชิ ได้แต่เราก็ดันติดเข้ามา ก็ต้องทำให้เต็มที่เพราะเราก็เอาโอกาสของใครคนนึงเข้ามา ไม่ว่าจะเข้ามาด้วยเหตุผลอะไรเราก็ต้องทำให้มันเต็มที่
แอ๊นท์: ก่อนหน้านี้เราเคยเป็นเกิร์ลกรุ๊ปมาแล้ว หลังจากแยกย้ายกันไปก็มีพี่โทรให้มาลองออดิชั่น ก็อยากลองทำดูอีกสักครั้ง เพราะครั้งก่อนที่เราเป็นเรายังเด็ก ยังรู้สึกว่าเราทำอะไรไม่ได้เต็มที่ เข้ามาก็ต้องเรียนรู้ความหมายของไอดอลจริงๆ เราจะต้องทำยังไงที่เป็นเราด้วยแล้วก็เป็นไอดอลด้วย กรุ๊ปที่เราเคยอยู่ก็เป็นสายเซ็กซี่ ไม่ใช่ไอดอลญี่ปุ่นที่น่ารัก ก็ต้องมาปรับตอนเรียนเต้น ครูก็จะบอกตลอดว่าให้ยิ้มๆๆ เราก็มองดูตัวเองในกระจกตลอดแต่เราก็รู้สึกว่ามันยังไม่มีอะไรออกมา พอมันผ่านเวลาเราได้เรียนรู้มากขึ้น เราก็เริ่มเข้าใจมันมากขึ้น
ไอดอลในความหมายแต่ละคนคืออะไร
เอ๋: ไอดอลคือคนที่ทำให้คนอื่นมีความสุขได้ บางคนก็ไม่ได้นิยมในความดีเลิศในด้านใดด้านหนึ่ง เขาขอแค่คนที่อยู่ข้างๆ คนที่เราแสดงความรักได้ คนที่เขาจะมอบรอยยิ้มให้กับเราในวันที่เรารู้สึกว่าเราไม่มีใครแต่เขายังอยู่ตรงนี้
แอ๊นท์: ไม่ใช่แค่เรื่องความสุขแต่เป็นเรื่องความทุกข์ที่เขาแลกเปลี่ยนกันได้ เราสร้างแรงบันดาลใจให้เขาได้ มูฟออนในชีวิตเขาต่อไปได้
คิดยังไงกับไอดอลใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมา
เฟม : รู้สึกว่ามันท้าทายพวกเรามากๆ เหมือนมันมีปาร์ตี้ มีน้องจากวงนึงเดินมาพูดกับปรึกษาเรา เป็นประสบการณ์อีกอย่างนึงที่เขามองเราไว้เป็นตัวอย่าง เรารู้สึกว่ามันก็มีคนที่เข้าใจในสถานะเดียวกับเราจริงๆ เหมือนเป็นแรงใจสนับสนุนให้กันทั้งสองฝ่าย
เอ๋ : หลายๆ คนจะบอกว่าพวกเรามาก่อน แต่จริงๆ แล้ว ก่อนที่จะมีวงเรามันก็มีกลุ่มเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาตามความฝันมานานมากๆ แล้ว แค่ตอนนั้นไอดอลมันยังไม่ได้บูมในประเทศไทย เรานับถือคนพวกนั้นมากๆ ที่เขาใช้ความรัก ใช้ความอยากจะทำ พยายามจะทำให้วงการมันเกิดขึ้น
อีก 10 ปีเราจะทำอะไรกันอยู่
เฟม: หนูว่าหนูอยากช่วยเหลือผู้คนมากกว่านี้ ก็ตั้งใจกำลังจะสอบแพทย์ อยากจะเป็นจิตแพทย์ เพราะพอเรามานั่งคิดว่าเราจบจากตรงนี้แล้ว หนูก็ย้อนกลับไปหาความฝันที่หนูอยากเป็นจริง ๆ ตั้งแต่แรกเริ่ม คิดว่าจะทำให้ได้เลย
แอ๊นท์: ถ้าตอนนั้นยังเป็นไอดอลได้ก็อยากจะเป็นต่อนะ คิดไว้ว่าอยากจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง เพราะว่าเรียนการตลาดมา ก็อยากลองใช้ทักษะที่เราเรียนด้วย อยากต่อยอดไปในด้านอื่นอยากมีอะไรที่มันมั่นคงกับชีวิต เพราะว่าที่บ้านก็เด็กเยอะ (หลาน) ก็อยากจะช่วยทางนั้นด้วย ทุกวันนี้ก็ช่วยอยู่นะ
เอ๋: ก็คงใช้ชีวิตเป็นมนุษย์เงินเดือนค่ะ เพราะชอบความเรียบง่าย อะไรที่มันเป็นรูทีน เข้าเช้าเย็นกลับนอนเป็นเวลา ไม่ก็อาจจะไปอยู่ในป่าก็ได้ อยากใช้ชีวิตแบบชาวไร่ชาวดอย ชีวิตที่สงบสุข ชีวิตพอเพียง 30-30-30-10 เพราะเราอยู่ในที่ที่มันครื้นเครงมาก สังคมใหญ่มาก เราเลยอยากหาอะไรที่มันสงบ
คิดว่าต่อจากนี้ วงการไอดอลจะเป็นยังไง
เฟม: ก็คิดว่าถ้าผู้ใหญ่ในวงการให้โอกาส มันก็ต้องเติบโตไวมากๆ แค่ช่วงนี้ยังมีวงไอดอลมากมายที่พร้อมจะทำตามความฝันของตัวเอง มีอะไรที่ท้าทายมากขึ้น เผลอๆ ใกล้ๆ นี้หนูอยากให้มีรายการเพลงมากๆเลย
เอ๋: วงการไอดอลจะเปลี่ยนไป รูปแบบมันจะไม่เหมือนตอนนี้ มันจะกลายเป็นธุรกิจมากขึ้น ด้วยความที่มันมีจำนวนเยอะขึ้น การแข่งขันจะต้องเยอะขึ้น แต่ละวงจะต้องหาจุดเด่นของตัวเอง ก็เกิดความหลากหลายเพิ่มมากขึ้น อะไรบางอย่างที่มันดั้งเดิมก็จะเปลี่ยนไป เราก็เชื่อว่ามันจะทำให้เด็กผู้หญิงกล้าแสดงออกแล้วก็มีความฝันเพิ่มมากขึ้น ตอบดีมากชมตัวเอง
แอ๊น: เอาจริงๆ ใจอยากจะให้มีวงเราอยู่ เป็นชื่อในตำนานก็ได้ หรือว่ามีเป็นรุ่นใหม่ๆ ต่อไปยาวนาน เป็นไปได้ก็อยากให้ทุกคนสนับสนุนวงการไอดอลต่อไป
ถ้ามองย้อนกลับมา จะคิดถึงช่วงเวลานี้ในแบบไหน
เฟม: เป็นช่วงเวลาทองของชีวิต เด็กๆ หนูอยู่ในสังคมที่พ่อแม่แยกทาง มันค่อนข้างดาร์ก ตรงนี้มันเป็นสังคมใหม่ของหนูมากๆ การที่หนูได้เจอคนที่พร้อมจะดีกับหนู ใส่ใจในทุกๆ เรื่อง แฟนคลับที่มอบความสุขให้หนูทุกอย่าง ท้อแค่ไหนเขาก็พร้อมที่จะเป็นกำลังใจให้ หนูได้มาอยู่ในสังคมใหม่ที่มันมีแต่สิ่งดีๆ รอบตัว หนูได้มีสังคมจริงๆ ที่หนูอยากจะมี เหมือนหนูได้เกิดมาอีกครั้งนึงเลย ปกติหนูอยู่แต่กับแมวคุยแต่กับแมว ตอนนี้ก็คือเพื่อนทักหาตลอดว่าหายไปไหนเผือน ก็อยากให้ทุกคนลองออกไปค้นหาตัวเองจริงๆ อาจจะเจอสังคมที่ตัวเองอยากอยู่จริงๆ เหมือนเรา
แอ๊นท์: เหมือนอีกก้าวหนึ่งที่มีค่าในชีวิต อนาคตตอนนั้นคงเป็นกำไรในชีวิตแล้ว เพราะเรามีความเชื่อตลอดว่าถ้าเราอยากได้สังคมแบบไหนเราต้องเอาตัวเองไปอยู่ตรงนั้น ถ้าเราอยากได้คนรอบข้างที่ดีกับเรา เราก็ต้องเอาตัวเองไปอยู่ตรงนั้น เพราะฉะนั้นในอนาคตต่อจากนี้ เราก็คงมีสังคมที่ดีขึ้นไปอีก
เอ๋: ถ้ามองย้อนกลับมาก็คงจะเป็นช่วงเวลาที่ รู้สึกว่าได้รับความรักมากที่สุดค่ะ