Siam☆Dream
การเดินทางบนถนนแห่งความฝันที่ทอดไกลจากไทยจรดญี่ปุ่น และเรื่องนอกเหนือเนื้อหนังมังสา
ไม่ใช่แค่ปีสองปีนี้ แต่วัฒนธรรมไอดอลญี่ปุ่นเข้ามาในไทยนานแล้ว และกลุ่มคนไทยที่ติดตามไอดอลญี่ปุ่นอย่างจริงจังก็มีไม่น้อยมานานแล้วเช่นกัน พิสูจน์จากกระแสของงานไอดอลที่จัดโดยออแกไนเซอร์ชื่อ Siamdol ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมาตลอด
เมื่อเห็นถึงโอกาสที่วงการไอดอลในไทยจะโตขึ้นเรื่อยๆ และเชื่อว่าเสียงเพลงจะเป็นสะพานสานสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่นได้ ดลลี่ – ธราดล สุคนธากรณ์ หัวเรี่ยวหัวแรงของ Siamdol จึงตั้งวงไอดอลชื่อ Siam☆Dream ประกอบจากคำและสัญลักษณ์สามความหมาย – Siam คือตัวแทนประเทศไทย, ☆ คือประกายแสงความเป็นไอดอล และ Dream คือความฝันที่เกิดขึ้นและเป็นจริงที่ไทย
โดยมีเมมเบอร์รุ่นแรกเป็นคนไทยกับญี่ปุ่นอย่างละสองคน คือ แมรี่ (สีชมพู) กับ ฮิคาริน (สีเหลือง) และ ฮารุปี้ (สีฟ้า) กับ นิโกะ (สีม่วง) เปิดตัวในเดือนพฤษภาคม 2561 ผ่านการเดบิวต์ที่งาน Asia Comic Con ในเดือนมิถุนายน ก่อนจะมีเมมเบอร์คนไทยเข้ามาเป็นรุ่นสองอีกสามคน คือ เฟิร์น (สีส้ม), ไอซ์ (สีแดง) และ มาทิลด้า (สีขาว) ในปลายปีเดียวกัน
นอกจากจะมีเมมเบอร์เป็นคนญี่ปุ่นแล้ว วงยังพยายามเข้าใกล้ความเป็นวงไอดอลญี่ปุ่นจ๋าๆ ด้วยการทำเพลงในแบบที่แฟนคลับไอดอลญี่ปุ่นคุ้นเคย “เพลงเราจะทำมาเพื่อการยิงมิกซ์ เพื่อการเชียร์ เป็นเพลงสนุกๆ ที่ให้แฟนคลับมีส่วนร่วม” ไอซ์ เมมเบอร์สีแดงผู้มากเอเนอร์จี้กล่าว
นับถึงวันนี้ Siam☆Dream มีเพลงของตัวเองแล้ว 5 เพลง ได้แก่ Hi-touch, Espresso, SIAM☆DREAM, Clover ni naritai! และ Honey “ด้วยความที่ตอนแรก วงยังเป็นลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น มีคนไทยแค่สองคน เลยเลือกทำเพลงเป็นภาษาญี่ปุ่นเพียวๆ จนมีเมมเบอร์คนไทยเข้ามาสามคน เลยเอาสองเพลงเก่ามาแปลเป็นภาษาไทย เพื่อให้คนไทยฟังง่ายขึ้น จริงๆ แฟนๆ คนไทยก็บอกเราตลอดว่าอยากฟังภาษาไทยจังเลย” ฮิคาริน ช่วยเล่าให้เราเข้าใจ
ซึ่งสองเพลงที่ถูกเลือกมาแปลเป็นภาษาไทยก็คือ Hi-touch กับ Espresso – เราขอให้เมมเบอร์คนไทยเล่าต่อว่า ทั้งสองเพลงมีความหมายเป็นภาษาบ้านเราว่ายังไง “เพลง Hi-touch พูดถึงความฝันของพวกเราที่อาจจะเจอเรื่องเหนื่อย เรื่องท้อบ้าง แต่เราก็ยังพยายามทำความฝันให้เป็นจริง และก็จะแปะมือให้กำลังใจกันเวลาท้อ” ฮิคาริน เล่า “การไฮทัชกับแฟนคลับก็เป็นกิจกรรมของเราอยู่แล้วด้วย” มาทิลด้า เสริม “ส่วน Espresso เป็นเพลงน่ารักๆ เหมือนเราแอบรักผู้ชายคนหนึ่ง เลยยอมไปกินกาแฟขมๆ ที่ไม่ชอบเพื่อจะได้ใกล้ชิดเขา” เฟิร์น พูดด้วยท่าทางเขินๆ ตามความหมายเพลง
แต่ที่ใกล้ชิดแน่ๆ โดยไม่ต้องทนกินกาแฟขมๆ คือกับแฟนคลับ ไอซ์ ช่วยอธิบายว่า เพราะวงมีกิจกรรมที่มากมายและหลากหลาย ทำให้พวกเธอกับแฟนคลับสนิทสนมกันเหมือนเพื่อน “เรียกว่าทำมาแทบทุกอย่างแล้ว (หัวเราะ) นอกจากแสดงคอนเสิร์ตก็เช่น ไปขายข้าวปั้น นั่งกินข้าวร่วมกับแฟนคลับ หรือถ่ายรูป 2 shot เชกิด้วยกล้องโพลารอยด์หลังลงจากเวที พร้อมพูดคุยกับแฟนคลับได้ 1 นาที คือเรากับแฟนคลับจะค่อนข้างสนิทกัน พูดคุยกันบ่อย”
ไม่ใช่แค่กับแฟนคลับที่ไทย (ทั้งกรุงเทพและต่างจังหวัด) แฟนคลับที่ญี่ปุ่นก็ด้วย “เพราะเราเป็นวงไอดอลที่มีความฝันว่าอยากสานสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่นด้วยเสียงเพลง เลยมีกิจกรรมทั้งที่ไทยและญี่ปุ่น เพื่อแชร์วัฒนธรรมกัน และไปพบแฟนคลับที่โน่น”
ซึ่งงานที่พวกเธอไปเยือนก็ไม่ใช่งานเล็กจ้อย แต่เป็นงานใหญ่ที่หลายวงใฝ่ฝันอย่าง Tokyo Idol Festival “เป็นงานที่รวมไอดอลไว้มากที่สุดจัดที่โอไดบะ ครบรอบสิบปีด้วย ขลังมากๆ เราก็เป็นไอดอลไทยวงที่ 2 ที่ได้รับเกียรติให้ไปแสดงที่นั่น” “พวกเราก็ซ้อมกันดึกเลย เก็บดีเทลท่าให้เนี้ยบ ด้วยความที่วงญี่ปุ่นจะเยอะมาก แล้วเราเป็นวงไทยตัวกะป๊อย (หัวเราะ) เลยต้องซ้อมให้ Professional ที่สุด”
ผลของความพยายาม คือเสียงเชียร์ที่ดังกระหึ่ม ทั้งจากคนไทยที่โน่น และคนเจ้าถิ่นแดนซามูไร เพราะการเดินทางบนถนนแห่งความฝันของพวกเธอ ทอดไกลจากไทยจรดญี่ปุ่น คงต้องมีเหนื่อยมีท้อกันบ้าง ด้วยระยะทางที่ไกลและเต็มไปด้วยอุปสรรค
แต่เพราะรักในสิ่งที่ทำจริงๆ และเชื่อว่าเมื่อฝันกลายเป็นจริง มันจะสวยงามอย่างที่เคยฝัน พวกเธอจึงยังเดินต่อ โดยมีเสียงเชียร์ในทุกๆ งานที่พวกเธอแสดง เป็นกำลังใจ
ทั้งสองคนเข้ามาเป็น Siam☆Dream
ได้ยังไง
ฮารุปี้: ฮารุปี้เป็นไอดอลมาก่อน แล้วสามปีที่แล้ว มาแสดงที่ไทย บริษัทญี่ปุ่นของฮารุปี้กับบริษัท Siamdol สนิทกัน เลยคิดกันว่าจะทำกรุ๊ปที่มีทั้งคนไทยและญี่ปุ่น แล้วก็ให้ฮารุปี้มาเข้าร่วมด้วย
ฮิคาริน: ฮิคารินก็เหมือนกัน รู้จักกับ Siamdol มาก่อน แล้วถูกชวนให้มาทำวงที่มีทั้งคนไทยคนญี่ปุ่น ฮิคารินเรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่ด้วยในตอนนั้น เลยเข้าร่วมโปรเจกต์ ที่จริง ก่อนหน้านี้ฮิคารินก็ทำวงคล้ายๆ Local Idol ในไทย คัฟเวอร์เพลงไอดอล แสดงในงานญี่ปุ่นๆ อยู่แล้ว
อยู่ในวงมาเกินหนึ่งปีแล้ว ยังเจอปัญหาเรื่องกำแพงภาษาอยู่ไหม
ฮิคาริน: เมื่อก่อนไม่เคยใช้ภาษาญี่ปุ่นอย่างจริงจัง เวลาจะคุยก็เอ๊อะอ๊ะ แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าคุยโน่นคุยนี่กับเพื่อนคนญี่ปุ่นได้ปกติแล้ว
ฮารุปี้: พูดภาษาไทยดีขึ้นมากๆ เวลาคุยกับแฟนคลับก็คุยภาษาไทยเลย แต่ก็มีบางทีที่เราสื่อสารได้ไม่เต็มที่ ต้องให้เมมเบอร์ช่วยแปล แต่ก็พยายามเรียนมากขึ้นๆ เพื่อสื่อสารให้ทุกคนเข้าใจ อยากทำความรู้จัก อยากรู้เรื่องของแฟนๆ มากขึ้น ก็เจ็บใจเหมือนกันที่ถามอะไรลึกๆ ไม่ได้ อยากตั้งใจเรียนภาษา เพื่อจะได้ใกล้ชิดแฟนๆ มากกว่านี้
ความคาดหวังในการเป็นไอดอล
ฮารุปี้: ฮารุปี้มีโอกาสไปแสดงในหลายๆ ที่ ไทย มาเลเซีย ญี่ปุ่น ก็หวังจะให้ความสุข ไม่ใช่แค่กับคนประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่ให้กับคนทั้งโลกเลย
ฮิคาริน: อยู่ตรงนี้ก็ได้พัฒนาตัวเองในหลายๆ ด้าน ก็อยากพัฒนาให้เก่งขึ้นไปอีก ทั้งร้อง เต้น การพูดคุย หรือการทำให้ทุกคนมีความสุข ได้รับกำลังใจจากเรา
อีก 10 ปี คิดว่าตัวเองจะยังเป็นไอดอลอยู่ไหม
ฮารุปี้: คิดไม่ออกเลยค่ะ (หัวเราะ) แต่ก็อยากจะเปล่งประกายอย่างนี้ตลอดไป
ฮิคาริน: ฮิคารินเรียนภาษาญี่ปุ่นมา และก็ชอบออกแบบชุด ก็อยากพัฒนาในด้านนี้ ตั้งใจไว้เหมือนกันว่า ในอนาคตอยากไปเรียนที่ญี่ปุ่น ตอนนั้นก็อาจอยู่ที่ญี่ปุ่นค่ะ
อีก 10 ปี คิดว่าวงการไอดอลในไทยจะเป็นยังไง
ฮารุปี้: ตอนนี้ ประเทศไทยมีไอดอลเยอะขึ้นมากๆ มีหลายกรุ๊ปเลย คิดว่าอีกสิบปีก็อาจเหมือนประเทศญี่ปุ่นที่มีไอดอลอยู่ทุกที่ อยู่ทั่วประเทศ อาจมีถึง 200 กรุ๊ปเลย (หัวเราะ)
ฮิคาริน: คิดเหมือนกันค่ะ ตอนแรกคิดว่าไทยเราต่างจากญี่ปุ่นมาก เพราะที่โน่นมีไอดอลอยู่ทุกที่เลย มีไอดอลแบบนู้นแบบนี้ ที่ไทยตอนแรกมีไม่กี่กลุ่ม แต่พอมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็คิดว่าเป็นไปได้นะที่ในอนาคตจะมีไอดอลกรุ๊ปมากกว่านี้อีก
แล้วไอดอลในไทยกับญี่ปุ่นต่างกันยังไง
ฮารุปี้: คือที่ญี่ปุ่นมีไอดอลอยู่เยอะมากๆ เลยใช่ไหมคะ เวลาแสดงหรือออกงาน ก็จะเป็นเวทีเล็กๆ หรือในไลฟ์เฮาส์ แต่ในไทย ซึ่งมีจำนวนกรุ๊ปน้อยกว่ามาก พอมีงานเลยจะเป็นงานใหญ่ แล้วแฟนๆ ในไทยก็จะชื่นชมไอดอลมากๆ แทบจะยกขึ้นหิ้งเลย แต่ญี่ปุ่นจะมองเป็นเพื่อนกันมากกว่า ซึ่ง Siam☆Dream ก็พยายามทำกิจกรรมอย่างนั้น อยากให้ไอดอลกับแฟนคลับเป็นเพื่อนกันได้
เข้ามาเป็นสมาชิกรุ่นที่ 2 ของ Siam☆Dream ได้ยังไง
ตอบพร้อมกัน: ออดิชั่นค่ะ
ไอซ์:ตอนเขาเปิดตัวรุ่น 1 เราก็เข้าไปดู โอ้…คอนเซปต์น่าสนใจมาก ครึ่งหนึ่งเป็นญี่ปุ่น ครึ่งหนึ่งเป็นไทย แต่ก็สงสัยว่าเขาเปิดออดิชั่นไปตั้งแต่เมื่อไร ทำไมไม่รู้ ก็เลยอินบ็อกซ์ไปถามเขาว่า จะมีเปิดรับรุ่น 2 ไหมคะ ซึ่งผู้จัดการวงมาบอกหนูทีหลังว่า เขาก็คิดว่าไอ้เด็กนี่เป็นใครถึงทักมา (หัวเราะ) จนพอเปิดออดิชั่นปุ๊บ หนูก็ส่งใบสมัครเลย
มาทิลด้า:ด้วยความที่เราก็เคยออดิชั่นวงอื่นๆ แล้วไม่ติด แต่เราก็ไม่หยุดความฝันของเรา ก็เลยมาลองอีกสักตั้ง
เฟิร์น: ของเฟิร์น รู้จักวงจากนิตยสารแจกฟรีของญี่ปุ่น ก็ตกใจว่ามีวงไอดอลที่ทำร่วมกันระหว่างไทยกับญี่ปุ่นด้วยเหรอ เลยเริ่มตาม แอบส่องมานานละ (หัวเราะ) แล้วเราลองอยากเป็นไอดอลหลังจากดูสารคดีไอดอลเรื่อง Tokyo Idol ในเน็ตฟลิกซ์ ซึ่งทำให้รู้ว่า ชีวิตไอดอลมันต้องสู้ขนาดนี้เลยเนอะ พอเขาเปิดออดิชั่น เลยลองสมัครค่ะ
พอเข้ามาเป็นไอดอลจริงๆ มันเหมือนหรือต่างจากที่เห็นใน Tokyo Idol แค่ไหน
เฟิร์น: ก็ทำให้รับรู้ว่า ความกดดันมันมีเยอะกว่าที่เคยคิด เพราะตอนที่ดูใน Tokyo Idol เราก็ไม่ได้รู้ว่าเขาต้องรับกับกระแสในโลกออนไลน์มากเท่านี้ หรือการรับมือกับนักเลงคีย์บอร์ด เฮทสปีช แต่มันก็ท้าทาย คิดว่าถ้าวันหนึ่งเราเลิกเป็นไอดอล มันก็น่าจะยังเป็นความทรงจำที่ดี ที่ช่วยให้เราแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมมากๆ
มาทิลด้า: เรื่องความรับผิดชอบเลยค่ะ เราต้องรับผิดชอบมากขึ้น ต้องวางแผนชีวิตว่าจะทำอะไร ไม่ใช่แค่เรียนเสร็จ กลับบ้าน หรือไปเที่ยวสนุกสนาน เรามีงานเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตแล้ว
ไอซ์: ก็ต้องปรับตัวหลายๆ อย่างในการใช้ชีวิต จะเที่ยวเล่นมากๆ เหมือนแต่ก่อนไม่ได้แล้ว
มาทิลด้า: คือมันปรับไปถึง Personality เลย เราต้องรักษาภาพลักษณ์ ไม่ใช่แค่ตัวเอง แต่เป็นทั้งวง ถ้ามันเสียมันก็เสียไปหมด เพราะเขาไว้ใจให้เราเข้ามาตรงนี้แล้ว ถ้าเราทำพัง มันก็พังหมดเลย
อยู่ในวงไอดอลไทยที่มีวัฒนธรรมญี่ปุ่นผสมอยู่เยอะมากๆ ต้องปรับตัวหรือเปล่า
เฟิร์น: จริงๆ เข้ามาเพราะชอบวัฒนธรรมญี่ปุ่นอยู่แล้ว ส่วนตัวคิดว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่วัฒนธรรมน่ารัก ชอบผู้คน ชอบความเป็นญี่ปุ่น ก็เป็นเหตุผลหลักที่ตัดสินใจมาอยู่ Siam☆Dream
มาทิลด้า: หนูว่า การปรับตัวมันก็ต้องปรับทั้งตัวหนู และทั้งเมมญี่ปุ่นด้วย เพราะวัฒนธรรมเรากับบ้านเขาค่อนข้างต่างกัน แต่ก็ปรับกันจนตอนนี้ เมมญี่ปุ่นก็เหมือนคนไทยไปแล้ว (หัวเราะ) เราเองก็ปรับเข้าหาเขาในเรื่องการพูด การสื่อสาร การใช้ชีวิต นิสัย ปรับเข้าหากันจนทำให้เราอยู่กันได้อย่างสนิท
ไอซ์: เป็นการสนับสนุนซึ่งกันและกันค่ะ อย่างเขามาทำงานที่ไทย พวกเราก็คอยดูแลเขา ซื้ออาหารการกิน เผ็ดไม่เผ็ด หรือปวดท้องต้องกินยาอะไร เดินทางไปไหนยังไง ตอนเราไปญี่ปุ่นเขาก็มาช่วยเราเหมือนกัน อันนี้ดีนะ อันนี้อร่อยนะ อย่างวันหนึ่ง นิโกะกินเผ็ดมา แล้วปวดท้อง หนูก็ไปถามว่ากินยาหรือยัง เขาบอกยัง ไอซ์เลยรีบวิ่งไปซื้อยาธาตุน้ำขาวมาให้นิโกะกิน อึกเดียวหายเลยค่ะ นิโกะก็บอก ไอซ์สึขอบคุณมากๆ เลยนะ
คิดเห็นยังไงที่มีคนบอกว่า วงเราขายเซ็กซี่
มาทิลด้า: หนูว่ามันอยู่ที่มุมมองของแต่ละคน อย่างพี่เฟิร์นที่โดนมากที่สุด เอาจริงๆ พี่เฟิร์นใส่คอเต่ายังโดนบอกว่าเซ็กซี่เลย สุดท้ายมันก็อยู่ที่มายด์เซตของคน หนูก็ไม่สามารถจะไปห้ามให้คนไม่คิดได้
ไอซ์: วงเราก็ไม่ได้เด็กแล้วด้วย
มาทิลด้า: ใช่ เราก็ไม่ได้ลงรูปแบบนั้นทุกวันๆ แล้วหนูว่าการแต่งตัวมันก็เป็นความชอบส่วนตัว เป็นไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน
เฟิร์น: เฟิร์นจะมีกฎในการแต่งตัวว่า ต้องไม่ผิดกาลเทศะ เพราะเฟิร์นถ่ายแบบมาตลอด จะมีลิมิตในการถ่ายว่าประมาณนี้นะ แต่พอมาเป็นไอดอล คนเลยเอาไปเปรียบกับไอดอลเด็กๆ ซึ่งเฟิร์นโตแล้ว เฟิร์นก็รู้ว่าที่เราแต่งตัวไปไม่ได้ผิดกาลเทศะอะไร
มาทิลด้า: พี่เฟิร์นก็คงไม่ใส่บิกินี่ไปนั่งประชุม (หัวเราะ)
ไอซ์: ที่ญี่ปุ่นเขาก็มีถ่ายชุดว่ายน้ำ ฮารุปี้ก็เคยถ่ายกราเวีย แต่คนไทยจะคิดว่า พวกเธอขายเซ็กซี่หรอ ด้วยคัลเจอร์ของเราที่อาจจะใหม่ คงต้องใช้เวลานิดนึงในการซึมซับ
อีก 10 ปี คิดว่าตัวเองจะทำอะไรอยู่
มาทิลด้า: 10 ปีก็ไกลอยู่นะ แต่หนูเชื่อว่าเวลามันเร็ว (หัวเราะ) ถ้ามีโอกาสได้ทำในสิ่งที่ชอบจริงๆ ก็คงทำ แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็คงทำอะไรที่มีความสุขและดำรงชีวิตได้โดยไม่อึดอัด อย่างสายบันเทิง ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง หนูอาจจะไปเป็นตากล้องภาพยนตร์ก็ได้
เฟิร์น: คือเฟิร์นชอบหลายอย่าง ทั้งทางธุรกิจ และสื่อบันเทิง ก็อาจจะเป็นยูทูบเบอร์ด้านท่องเที่ยว ยิ่งถ้าเกี่ยวกับญี่ปุ่นก็ยิ่งชอบ
ไอซ์: หนูอยากสานฝันให้เด็กรุ่นใหม่ อาจจะเปิดค่าย หรือสอนเต้น เป็นเบื้องหลัง เป็นเมเนเจอร์ เพราะเราทำตรงนี้มันต้องมีจุดอิ่มตัว หนูคงไปอยู่ข้างหลัง แล้วให้เด็กรุ่นใหม่ขึ้นมาแทน เราจะไปแบ่งปันประสบการณ์ให้เขา แนะแนวให้เขาทำให้สำเร็จ
ทั้งสองคนเข้ามาเป็น Siam☆Dream ได้ยังไง
แมรี่: หนูเคยเต้นพวกคัฟเวอร์แดนซ์มาก่อน แล้วรู้จักพี่ดลลี่ที่ทำงานกับ Siamdol พอเขาตั้งวงนี้ ก็มาชวนว่าสนใจจะมาอยู่วงนี้ไหม เลยได้มาทำค่ะ
นิโกะ: เป็นไอดอลที่ญี่ปุ่นอยู่แล้ว พอดีมีโปรดิวเซอร์มาสเกาท์ เลยได้รับโอกาสนี้
ชีวิตหลังเป็น Siam☆Dream
นิโกะ: ตอนอยู่ญี่ปุ่น ไม่ได้รับความนิยมขนาดนั้น ตอนที่รู้ว่าจะต้องมาเป็น Siam☆Dream ก็จินตนาการไม่ออกว่าจะเป็นยังไง จนได้เป็นจริงๆ มาอยู่ที่ไทยจริงๆ ทุกคนก็ให้กำลังใจ ได้รับกระแสตอบรับที่ดี ตอนนี้ก็มีความสุขดี
แมรี่: เป็นไอดอลมันต่างจากคัฟเวอร์แดนซ์มากๆ อย่างแรกคือเราซ้อมเยอะกว่า อีกอย่างคือ ตอนเต้นคัฟเวอร์ เราเต้นแล้วก็จบไป แต่พอเป็นไอดอล เราต้องเอนเตอร์เทนมากขึ้น พูดคุยกับคนดูมากขึ้น งานมันก็สนุกดี อาจจะมีเครียดบ้าง แต่ปัจจุบันก็มีความสุขดี
ในความคิดส่วนตัว ไอดอลคืออะไร
นิโกะ: เป็นคนที่คอยให้กำลังใจ ให้ความกล้าหาญแก่แฟนคลับทุกคน คอยเป็นรอยยิ้มให้ทุกคน
แมรี่:เป็นทั้งสนุกและความสุข หนูเป็นคนชอบเต้นบนเวทีแล้วได้ยินคนดูส่งเสียงเชียร์กลับมา ซึ่งหนูว่ามันก็สนุกทั้งเราและคนดูนะ
การเป็นไอดอล สอนอะไรเราบ้าง
นิโกะ: ถึงแม้จะเจ็บปวดหรือมีเรื่องทุกข์ใจ แต่ด้วยพลังของแฟนคลับ เราก็จะอยู่ได้ด้วยรอยยิ้ม อยู่ได้ด้วยกำลังใจจากแฟนๆ ทำให้เรามีความพยายามมากขึ้น
แมรี่:สอนให้เราเป็นคนใจเย็น มีความอดทน คิดมากให้น้อยลง เพราะเป็นไอดอลก็ต้องเจอหลายๆ เรื่อง ทั้งดีและไม่ดี ตอนนี้ก็ต้องมองแต่เรื่องที่ดี จะได้มีความสุขกับการทำงาน
อีก 10 ปี คิดว่าตัวเองจะทำอะไรอยู่
แมรี่: เพราะหนูยังเรียนไม่จบ เลยยังจินตนาการชีวิตตัวเองไกลๆ ไม่ออก แต่ก็อาจจะทำงานแปล ชีวิตตอนนั้นก็จะสามสิบแล้ว อาจทำงานไอดอลต่อไม่ไหว (หัวเราะ)
นิโกะ: ถ้าเป็นไปได้ก็อยากเป็นนักแสดงหรือนักพากย์ แต่ก็จะไม่ลืมความทรงจำตอนเป็นไอดอล เวลาที่ได้รับพลังหรือรอยยิ้มจากแฟนๆ จะไม่ลืมเลย และก็อยากทำงานที่ไทยต่อ ถ้าเป็นไปได้
หมายเหตุ บทสัมภาษณ์นี้เกิดขึ้นก่อนวันประกาศออกจากวงด้วยปัญหาสุขภาพของ นิโกะ