Secret12 New Gen
เหล่าผีเสื้อที่รอวันโบยบินอย่างแข็งแกร่งและเปล่งประกายอย่างสดใส
Secret12 New Gen คือวงไอดอลน้องใหม่ที่เพิ่งรวมตัวกันได้ไม่นาน แน่นอนว่าคงจะมีน้อยคนที่รู้จักพวกเธอ วันนี้เราจึงจะพาทุกคนไปรู้จักพวกเธอให้มากยิ่งขึ้น แต่ขอเตือนให้ระวังตัวให้ดี เพราะคุณอาจโดนพวกเธอตกโดยไม่รู้ตัว
“ทำไมต้อง Secret12 New Gen เกี่ยวอะไรกับความลับหรือเปล่า?”
เราเริ่มต้นคำถามแรก คำตอบที่ได้รับทำให้เรารู้สึกว่าคอนเซปต์วงนี้น่าสนใจ พวกเธอเล่าให้ฟังว่า Secret12 คือชื่อของวิตามินรวมชนิดหนึ่ง ถ้าเปรียบกับวงไอดอลก็คือการรวมเด็กสาวหลากหลายสไตล์ แต่มีความฝันเหมือนกันเข้าไว้ด้วยกัน โดยมีสัญลักษณ์ของวงคือผีเสื้อ ที่ใช้สื่อแทนความหมายถึงการเติบโตขึ้น แข็งแกร่งขึ้น ก้าวผ่านช่วงวัยของเหล่าเด็กสาวเหมือนกับวัฏจักรของผีเสื้อ
“คิดว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้ Secret12 New Genแตกต่างจากไอดอลวงอื่น?”
นี่เป็นอีกหนึ่งคำถามที่ Secret12 New Gen ให้คำตอบค่อนข้างน่าสนใจ พวกเธอบอกว่าเมมเบอร์ทุกคนจะมีส่วนร่วมกับกระบวนการทำงานของวงแทบทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นการช่วยออกแบบท่าเต้น, การออกแบบชุด, เสนอแนะเกี่ยวกับแนวเพลง, หรือแม้กระทั่งในส่วนของมิวสิควิดิโอ ทำให้ทุกอย่างที่ Secret12 New Gen แสดงออกมานั้นมีตัวตนของเมมเบอร์ทุกคนรวมอยู่ด้วย เพราะทีมงานผู้บริหารเชื่อว่าถ้าน้อง ๆ ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบงานมันจะออกมาดีด้วยตัวของมันเอง และที่สำคัญคือเมมเบอร์จะรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันวงไปข้างหน้า
ในตอนนี้พวกเธอทุกคนกำลังซุ่มฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมกับงานเปิดตัววงในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ รอติดตามกันได้เลยว่าในวันนั้นเหล่าผีเสื้อกลุ่มนี้จะเปล่งประกายบนเวทีขนาดไหน
สำหรับแต่ละคน ไอดอลคืออะไร
ใบเตย: น่าจะเป็นความน่ารักที่คนอื่นเห็นเราแล้วรักในความที่เราเป็นเรา เห็นแล้วชอบ อยากติดตามเราในทุก ๆ วัน แลกเปลี่ยนกำลังใจกันค่ะ
ปราง: หนูว่ามันคือการที่เรามีความน่ารักสดใส และเราได้ซัพพอร์ตกันและกันทั้งกับเมมเบอร์ด้วยกันเองแล้วก็กับแฟนคลับ คอยให้กำลังใจกัน ให้ทุกวันมันดีขึ้นเรื่อย ๆ ค่ะ
มิ้นท์: สำหรับมิ้นท์คิดว่ามันคือการเป็นแบบอย่างที่ดี ไม่จำเป็นว่าเราต้องเก่ง ต้องร้องเพลงได้ ต้องเต้นได้ เหมือนกับว่าเรามีความพยายาม มีความที่อยากจะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น เป็นแบบอย่างให้คนอื่นได้ค่ะ
แอมโกะ: สำหรับหนูหนูมองว่าการเป็นไอดอลมันก็คือการเป็นตัวเราเองนี่แหละค่ะ ซึ่งการเป็นตัวเองมันต้องไม่ทำให้ใครเดือดร้อน แล้วก็ดึงศักยภาพตัวเองออกมาให้เต็มที่ ให้คนอื่นได้เห็นว่ามีการพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ คนที่มาเห็นเค้าก็จะได้รับกำลังใจค่ะ
คาดหวังอะไรกับการเป็นไอดอล
ปราง: แน่นอนค่ะว่าอย่างแรกคือการได้พัฒนาสกิลต่าง ๆ ของตัวเอง ร้องเพลง เต้น ความรับผิดชอบ ความอดทน การอยู่ด้วยกันเป็นทีม แล้วก็หลาย ๆ อย่างที่ก่อนหน้านี้อาจจะไม่เคยทำ เช่นเรื่องเพลง ชุด ก็ได้เข้ามามีส่วนร่วมค่ะ
แอมโกะ: อย่างแรกก็คือการพัฒนาศักยภาพให้เก่งขึ้นในทุก ๆ ด้าน อย่างที่สองคือหวังเรื่องมิตรภาพที่ดีในวง จากที่ได้เจอกันตั้งแต่ครั้งแรกก็รู้สึกว่าทุกคนในวงเป็นครอบครัว มีความสุขตรงนี้ค่ะ แล้วก็อย่างที่สามคือการได้มีแฟนคลับที่น่ารัก เข้ามาทักทายให้กำลังใจ
อยากให้ Secret12 New Gen ไปถึงจุดไหน
มิ้นท์: อยากให้ไปถึงจุดที่ไปที่ไหนเวลาคนมองก็จะรู้ทันทีว่าพวกเราคือ Secret12 New Gen ค่ะ
แอมโกะ: หนูไม่อยากให้คนมองว่าพวกเรามีดีแค่หน้าตาค่ะ (หัวเราะ) อยากให้ทุกคนมองเห็นว่าพวกเรามีความสามารถด้วยค่ะ
มุมมองต่อวงการไอดอลในไทย
ใบเตย: หนูว่าเพลงในประเทศไทยช่วงหลังมันเริ่มขายไม่ค่อยได้ แต่พอมี BNK48 เข้ามา เป็นอะไรที่แปลกใหม่ หลังจากนั้นวงการไอดอลก็ค่อย ๆ เกิดขึ้น จากเล็ก ๆ ตอนนี้มันขยายใหญ่มาก หนูก็รู้สึกว่าตอนนี้แฟนคลับก็มีเยอะขึ้น แล้วก็ติดตามเกือบจะทุกวง เพราะมันเป็นอะไรที่ยังใหม่อยู่ และก็น่าตื่นเต้นทุกครั้งที่เกิดไอดอลวงใหม่ ดังนั้นหนูว่าวงการไอดอลในบ้านเราน่าจะอยู่ไปอีกนานค่ะ
ปราง: ตอนแรกก็มองว่าไอดอลมันไกลตัว ไม่ได้รู้จักอะไรมากมาย แต่ว่าพอได้ลองมาทำจริง ๆ ปรากฏว่ามีคนจำนวนมากที่ชื่นชอบแล้วก็สนับสนุนเรา คนอื่นอาจจะมองว่ามันเป็นกระแส ซึ่งหนูก็คิดว่ามันเป็นกระแสนั่นแหละค่ะ แต่ด้วยกำลังใจจากแฟนคลับที่ได้รับมาก็คิดว่าจะอยู่กันไปยาว ๆ ค่ะ (หัวเราะ)
มิ้นท์: หนูว่าน่าจะอยู่ได้อีกนานค่ะ เพราะวงไอดอลมันก็สามารถเกิดใหม่ได้เรื่อย ๆ แต่ว่าแต่ละวงก็ต้องทำให้มีความแตกต่างออกไป แสดงจุดเด่นของวงตัวเองออกมา เพราะถ้ามันเหมือนกันหมดมันก็จะดูน่าเบื่อค่ะ
แอมโกะ: หนูว่าวงการไอดอลมันน่าจะมีต่อไปได้เรื่อย ๆ ไม่ต่ำกว่า 10-20 ปีค่ะ เพราะว่ามันจะมีวงไอดอลใหม่ ๆ ขึ้นมาเรื่อย ๆ ซึ่งวงที่เกิดใหม่ก็จะมีความแปลกใหม่ แตกต่างออกไป ไม่ซ้ำจำเจค่ะ
ความหมายของคำว่าไอดอล
เอิงเอย: หนูไม่ได้ติดตามวงการไอดอลขนาดนั้น แต่หนูสนใจ เพราะหนูรู้สึกว่าเค้าดูเป็นพลังบวกให้กับทุกคน หนูก็อยากเป็นแบบนั้น เพราะว่าหนูเป็นคนให้กำลังใจตัวเองเก่ง มันคงรู้สึกดีขึ้นกว่าทุกวันที่เราเป็นอยู่ถ้าเราได้เป็นพลังบวกให้กับคนอื่นในการใช้ชีวิตในแต่ละวัน ให้ชีวิตของพวกเค้าดีขึ้น แล้วเราได้เป็นส่วนร่วมในนั้น หนูก็เลยอยากมาทำตรงนี้ค่ะ
มายด์: หนูว่าระหว่างเรากับแฟนคลับ เราคือกำลังใจให้เค้า อย่างเวลาเราเหนื่อย ๆ เราอยากหาอะไรทำ อยากหาอะไรดู อยากหาอะไรที่เราคิดว่าเราสบายใจกับมัน หนูก็คิดว่าเราสามารถเป็นตรงนั้นได้ เพราะตอนแรกหนูอยากเรียนเกี่ยวกับจิตวิทยา หนูเชื่อว่าถ้ามีคนมาหาเราแล้วเค้ากลับไปแบบมีความสุข เราจะมีความสุขมากกว่าเป็นร้อยเท่า และการได้ทำงานตรงนี้มันก็เหมือนเราได้ทำงานจิตวิทยา สิ่งที่เราให้เค้าไปมันอาจจะเล็กน้อยสำหรับเรา แต่มันอาจจะมากมายสำหรับเค้าก็ได้
แอนจี้: มันดูเป็นกำลังใจให้คนอื่นได้ แล้วหนูก็คิดว่าการเป็นไอดอลมันคือการพัฒนาตัวเองด้วยค่ะ คือเราไม่ได้เก่งอยู่แล้ว แต่เราค่อย ๆ เรียนรู้ ค่อย ๆ พัฒนาตัวเองขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยที่มีคนให้กำลังใจเรา และเราก็เป็นกำลังใจให้เค้าด้วย เหมือนโตขึ้นไปพร้อม ๆ กันค่ะ
คาดหวังอะไรกับการเป็นไอดอล
แอนจี้: หนูอยากพัฒนาตัวเอง อยากทำในสิ่งที่ยังไม่เคยทำ ก่อนหน้านี้หนูอาจจะร้องเพลงแค่พอได้ แต่พอมาตรงนี้ก็ได้เรียน ได้พัฒนาตัวเองยิ่งขึ้น ได้เรียนเต้น ได้เรียนแอ็กติ้ง ได้ทำให้ตัวเองดีขึ้นในทุก ๆ ด้าน เหมือนโตขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งค่ะ
เอิงเอย: มันเป็นการเปิดประสบการณ์ให้กับตัวเองมากเลยค่ะ หนูเป็นคนที่ร้องเพลงแค่พอได้ ก็รู้สึกว่ามันเหมือนเป็นการท้าทายตัวเองด้วย เพราะเวลาเราอยู่ในวงถ้าเราเป็นคนที่ความสามารถน้อยที่สุด เราก็ต้องแอคทีฟไม่ใช่ว่าจะมานั่งท้อใจ คนอื่นจะได้ไม่ต้องมาลำบากเพราะเราที่เป็นตัวถ่วงค่ะ แล้วหนูก็รู้สึกว่าการที่หนูกล้ามาออดิชั่นมันเป็นการที่หนูโตขึ้นไปอีกขั้น เป็นขั้นกว่าการที่ใช้ชีวิตไปวัน ๆ ของหนูมากเลยค่ะ (หัวเราะ)
มายด์: หนูก็คิดว่ามันเป็นการพัฒนาตัวเองเหมือนกันค่ะ หนูอยากได้สิ่งที่เราเรียนตรงนี้กลับไปใช้ในชีวิตประจำวัน หนูเริ่มจากศูนย์ทุกอย่าง ร้องไม่ได้ เต้นไม่ได้ หนูคิดว่าในอนาคตข้างหน้าหนูจะทำให้มันเต็มร้อยให้ได้ เป็นการตอบแทนที่ทุกคนช่วยซัพพอร์ตหนูค่ะ
อีก 5-10 ปีข้างหน้า คิดว่าตัวเองจะทำอะไรอยู่
เอิงเอย: ถ้าหนูไม่ได้เป็นไอดอลแล้ว แต่ว่าก็ยังมีฐานแฟนคลับ ตอนนั้นหนูคิดว่าตัวเองก็น่าจะพอมีฐานแฟนคลับบ้าง (หัวเราะ) ถึงหนูมีงานประจำทำหนูก็ยังอยากเป็นกำลังใจให้เค้าอยู่ เพราะอย่างที่บอกหนูคิดว่าตรงนี้มันเป็นอะไรที่เหมือนเค้าอยู่กับเราทุกวัน แลกเปลี่ยนกำลังใจกัน แลกเปลี่ยนเรื่องราวกัน ดังนั้นไม่ใช่ว่าพอเราเลิกเป็นไอดอลแล้วก็จะไม่ติดต่อกับทุกคน หายไปเลย ใช้ชีวิตธรรมดา หนูคิดว่าต่อให้ไม่ได้เป็นไอดอลแล้วก็ยังเป็นกำลังใจให้คนอื่นได้โดยที่เป็นตัวของตัวเองไปด้วยค่ะ หนูรู้สึกว่าแบบนั้นมันโอเคมากเลย
แอนจี้: หนูว่าต่อให้อีก 10 ปี แต่ถ้าทุกคนยังคอยติดตามหนู ให้กำลังใจหนู หนูก็ยังอยู่จุดนี้ไปเรื่อย ๆ ได้ค่ะ ถึงแม้อาจจะไม่ได้ทำตรงนี้อย่างเดียว อาจจะมีงานอย่างอื่นที่ต้องทำด้วย แต่ก็จะไม่ทิ้งตรงนี้ จะอยู่ด้วยกันไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงที่สุดที่มันจะไปได้ค่ะ
มายด์: หนูคิดว่าหนูอาจจะไปทำงานในโรงพยาบาล เพราะหนูอยากเป็นจิตวิทยาคลินิกค่ะ หนูคิดว่าการที่หนูได้ทำงานตรงนั้นมันก็คือการได้ให้กำลังใจคนไข้ ถ้าถามว่าเราจะหายไปจากตรงนี้มั้ย หนูก็คิดเหมือนพี่เอิงว่าหนูจะไม่หายไป ถ้าทุกคนยังพร้อมที่จะให้กำลังใจกันอยู่ค่ะ
อยากให้ Secret12 ไปอยู่ตรงจุดไหน
จินจิน: ตอนนี้เราก็เพิ่งเข้ามา แต่จุดที่จินมองไว้คืออยากให้เราเป็นที่รู้จักของทุก ๆ คน แบบไปที่ไหน ไปทำอะไร คนก็จะรู้ว่าคนนี้จินจิน คนนี้มิยู มองแล้วรู้เลยว่านี่คือ Secret12 New Gen
มิยู: คาดหวังว่าวงจะเป็นที่รู้จักทั้งประเทศ ไม่ใช่แค่คนนี้เป็นไอดอลนะ แต่อยากให้เป็น อ๋อ คนนี้มิยู Secret12 New Gen ให้คนรู้จักในชื่อ ในนามของวงนั้น ไม่ใช่แค่คนนี้เป็นไอดอล
สมายด์: คาดหวังให้วงเราสามารถจัดคอนเสิร์ต เพราะถ้าวงเรามีคอนเสิร์ตก็หมายความว่าวงเราก็ต้องประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง หนูอยากให้วงเราไปถึงจุดนั้นให้ได้ค่ะ
อีก 5-10 ปีข้างหน้า คิดว่าตัวเองจะทำอะไรอยู่
จินจิน: ก็ยังหวังให้วงเราอยู่ด้วยกันนะคะ แล้วก็ได้จัดคอนเสิร์ตใหญ่ แบบได้ทำด้วยกัน ประสบความสำเร็จไปด้วยกัน แต่ว่าถ้าจบการศึกษาไปแล้ว ก็ยังอยากอยู่ในวงการค่ะ ไม่ว่าจะเป็นไอดอลหรือนักแสดงค่ะ
มิยู: ถ้าวงการไอดอลยังอยู่รอดอยู่ หนูก็ยังจะเป็นอยู่เรื่อย ๆ ค่ะ เพราะใจหนูชอบเต้นมาก ไม่อยากหยุดที่จะทำมันค่ะ
สมายด์: ถึงตอนนั้นก็อยากให้วงประสบความสำเร็จค่ะ และถ้าเราจบการศึกษาออกจากวงไปก็อยากทำงานในวงการต่อค่ะ แต่อีกอย่างที่อยากทำคือเป็นแอร์โฮสเตสค่ะ
สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับชีวิตที่เปลี่ยนไปจากเด็กสาวสู่ไอดอล
จินจิน: ยากที่สุดคือการตื่นมาซ้อมค่ะ (หัวเราะ) เพราะว่าบ้านจินค่อนข้างไกลจากที่ซ้อม ใช้เวลาเดินทางประมาณสองชั่วโมง สมมุตินัดเที่ยง จินก็จะต้องตื่นตั้งแต่เจ็ดแปดโมง ทานข้าว อาบน้ำ เพื่อให้มาทันเวลา ซึ่งบางทีก็สายบ้างอะไรบ้าง และอีกอย่างที่เปลี่ยนหนักเลยคือการเรียนค่ะ เพราะปกติก็จะมีเรียนพิเศษวันเสาร์อาทิตย์ ก็ต้องย้ายไปเรียนหลังเลิกเรียนแทนค่ะ
มิยู: หนูกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง ตอนนี้ยังชิว ๆ ยังไม่เริ่มเรียน แต่ถ้าเริ่มเรียนแล้วหนูก็คงต้องจัดการเวลาให้ดีกว่านี้ แล้วอีกอย่างหนูมีเต้นโคฟเวอร์อีก คงจะเหนื่อยค่ะ แต่มันก็เป็นสิ่งที่เรารัก จริง ๆ เสาร์อาทิตย์มันควรจะเป็นเวลาที่เราพัก ก็ต้องสละเวลามาซ้อมค่ะ
สมายด์: การเรียนกับกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยค่ะ เพราะหนูเป็นเด็กกิจกรรมมากค่ะ เป็นหลีดมหาวิทยาลัย เป็นหลีดคณะ มันต้องแบ่งเวลา บางทีเราก็ต้องหยุดทำตรงนั้นเพื่อแบ่งเวลามาให้กับวงค่ะ แล้วก็เรื่องปัญหาสุขภาพ บางทีก็พักผ่อนไม่ค่อยพอ แต่ยังไงวงก็ต้องมาก่อน มันก็เป็นสิ่งที่ท้าทายค่ะ