Fever วงไอดอลที่เต็มเปี่ยมด้วยความเป็นตัวของตัวเอง และมาพร้อมเสียงเพลงจากยุค 80 “มาเป็นไข้กันเถอะ” ถ้าใครคลุกคลีกับวงการไอดอลบ้านเราอยู่บ้าง คงจะพอคุ้นหูกับประโยคนี้ และภาพที่จะแวบเข้ามาในหัวทันทีคือภาพของกลุ่มเด็กสาว 12 คนในชุดเสื้อคุลมสีแดง กระโปรงสีดำ มาพร้อมกับลุคเท่ ๆ แตกต่างจากไอดอลวงอื่น ๆ ใช่ เรากำลังพูดถึง ‘Fever’ วงไอดอลที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวโดดเด่นไม่เหมือนใคร โดยเฉพาะในเรื่องของเพลงที่มาในสไตล์ City Pop ยุค 80 ที่ดูจะห่างไกลกับเพลงไอดอลทั่วไปพอสมควร แต่พวกเธอกลับนำเสนอออกมาได้อย่างน่าสนใจ ทั้งในแง่เนื้อหา ทำนอง หรือแม้กระทั่งท่าเต้น อย่างไรก็ตามคงมีน้อยคนที่จะรู้ว่าคอนเซปต์ตั้งต้นของ Fever นั้นไม่เกี่ยวกับการเป็นไข้ แต่วลียอดฮิตนี้มีที่มาจาก ‘ฟอล์ย’ หนึ่งในสมาชิกของวง ที่เธอคิดขึ้นได้ว่าอีกหนึ่งความหมายของคำว่า Fever แปลว่าการเป็นไข้ เธอจึงใช้อาการป่วยนี้เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของวงผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของตัวเองเรื่อยมา จนในที่สุดมันก็เริ่มแพร่ระบาดสู่วงกว้าง กลายเป็นวลียอดฮิตของวง Fever ไปโดยไม่รู้ตัว ถึงที่มาจะฟังดูแปลกปนฮา แต่วลีนี้ก็สอดคล้องกับคอนเซปต์ของวงได้อย่างลงตัว เพราะจริง ๆ แล้วที่มาของชื่อ Fever นั้นหมายถึงความน่าตื่นเต้น การเป็นกระแสที่แพร่กระจายสู่วงกว้าง ซึ่งก็ไม่ต่างจากไข้หวัดที่สามารถติดต่อกันไปได้เรื่อย ๆ เช่นกัน Fever ประกอบด้วยสมาชิกทั้งหมด 12 คน – ปาย, บีม, บีมบีม, ใบบัว, ใบเฟิร์น, บอส, ซี, สแปม, ฟอล์ย, ซู, ป๊อป, และใบหม่อน โดยพวกเธอทั้งหมดผ่านการออดิชั่นเข้ามา ซึ่งถึงแม้ส่วนใหญ่จะไม่มีพื้นฐานการร้องเต้นมาก่อน แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้ได้รับการคัดเลือกคือคาแร็กเตอร์ที่ชัดเจน โดดเด่น ไม่เหมือนใคร การได้รับเลือกว่ายากแล้ว แต่สิ่งที่ยากยิ่งกว่าคือหลังจากนั้น ทั้ง 12 คนต้องผ่านการปรับพื้นฐานและฝึกซ้อม ไม่ว่าจะเป็นการร้อง เต้น หรือแม้กระทั่งการแสดง ยาวนานกว่า 5 เดือน เพื่อให้มีศักยภาพที่พร้อมสำหรับโชว์แรกต่อหน้าสาธารณชน ด้วยเอกลักษณ์ที่โดดเด่นทั้งในแง่คาแร็กเตอร์ แนวเพลง และท่าเต้น ทำให้ทันทีที่เปิดตัว Fever ก็ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม เกิดฐานแฟนคลับจำนวนมากในช่วงเวลาไม่นาน เป็นกระแส ‘Fever’ ตามชื่อวงได้สำเร็จ และแน่นอนว่าการแพร่กระจายคงไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้ ในตอนนี้ Fever มีซิงเกิ้ลเป็นของตัวเองทั้งหมด 1 ซิงเกิ้ล ประกอบด้วย 1 เพลงหลัก และ 2 เพลงรอง Start Again – เพลงหลักเพลงแรกของทางวง มีป๊อปยืนอยู่ในตำแหน่งเซ็นเตอร์ เพลงนี้เล่าเรื่องราวของชีวิตที่ผิดหวัง ประสบปัญหามากมาย แต่ก็เลือกที่จะไม่ยอมแพ้ และมาเริ่มต้นใหม่ไปพร้อม ๆ กับ Fever Ghost World – เพลงรองเพลงแรก ซึ่งบอสได้รับเลือกให้อยู่ในตำแหน่งเซ็นเตอร์ โดยมีเนื้อหาที่ค่อนข้างลึกและดำดิ่ง บอกเล่าเรื่องราวของมุมมองคนทั่วไปที่มีต่อไอดอล มีความคาดหวังว่าไอดอลต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่แท้จริงแล้วพวกเธออาจต้องฝืนตัวเองเพื่อเป็นคนในแบบที่สังคมต้องการให้เป็นอยู่ก็ได้ Password – หลังจากดำดิ่งกันมาแล้วสองเพลง เพลงนี้จึงพูดถึงเรื่องราวที่สว่างขึ้น ความรักของหนุ่มสาวที่ฟังไปยิ้มไป โดยมีบีมและบีมบีมเป็นเซ็นเตอร์ ทั้ง 3 เพลงในซิงเกิ้ลเปิดตัวนี้น่าจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกตัวตนของพวกเธอทั้ง 12 คนได้ชัดเจนที่สุด และสำหรับคุณที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่ ถ้าคุณยังไม่รู้จักพวกเธอ แนะนำให้ลองฟังเพลงของพวกเธอดู ไม่แน่ว่าหลังจากโน้ตสุดท้ายจบลง คุณอาจจะมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว คล้ายจะเป็นไข้ก็เป็นได้ ก่อนจะมาเป็น Fever แต่ละคนเป็นยังไงกันบ้าง? ใบเฟิร์น – ความจริงชอบวงการไอดอลอยู่แล้ว และก็ชอบฟังเพลงยุค 80 ตอนแรกหนูก็ไปออดิชั่น BNK48 ก่อน ที่ไปตอนนั้นก็เพราะชอบไอดอล ตอนนั้นมีแค่วงเดียว แล้วพอไม่ได้ก็เฮิร์ท จากนั้นก็มาเจอวงนี้ (Fever) ได้เห็นทีมงาน คิดว่าเค้าทำเพลงแนวอินดี้ ซึ่งเป็นสไตล์ที่เราชอบ ก็เลยตัดสินใจเข้ามา บอส – หนูผ่าน The Voice Kid และก็ The Voice มา ทั้งสองเวทีก็ไปถึงรอบ Semi Final แต่พอช่วงเข้ามหาวิทยาลัยหนูก็หยุดร้องเพลงไป พอเข้ามหาวิทยาลัยมาได้แล้วหนูก็ถามตัวเองว่าจะร้องเพลงต่อไปมั้ย หรือจะตั้งใจทุ่มเทให้การเรียนไปเลย แต่หนูก็รู้สึกว่ามันร้องมาขนาดนี้แล้ว ทิ้งไปมันจะดีเหรอ บังเอิญได้ไปเจอกับ Fever พอดี ก็เลยสมัครเข้ามา ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะได้ แล้วหนูก็นึกภาพตัวเองไม่ออกว่ามาเป็นไอดอลมันจะเป็นยังไง ต้องทำยังไงบ้าง เพราะหนูก็ไม่ค่อยได้ติดตามไอดอลขนาดนั้น แต่ว่าด้วยแนวเพลง ทำให้รู้สึกว่า Fever ต่างจากไอดอลวงอื่น รู้สึกว่าไม่ได้เป็นแค่ไอดอล เหมือนเราได้เป็นศิลปินไปด้วยในเวลาเดียวกัน ใบบัว – หนูรู้ตั้งแต่เด็กแล้วค่ะว่าชอบเต้น ชอบแสดง แต่ว่าที่บ้านค่อนข้างไม่สนับสนุน ตามประสาครอบครัวคนจีนที่คิดว่ามันเต้นกินรำกิน ก็เลยไม่ได้ทำอะไรเลย จนกระทั่งได้เป็นแอดมินเพจเกี่ยวกับ AKB48 เพจหนึ่ง ก็เหมือนได้ซึมซับความชอบไอดอลจากตรงนั้น และหลังจากนั้นไม่นาน BNK48 ก็เข้ามาในไทย แอดมินในเพจนั้นก็แยกย้ายกันไปออดิชั่น แต่ช่วงนั้นชีวิตหนูวุ่นวายก็เลยไม่ได้ส่งใบสมัครไป แต่พอมีรุ่นสองก็ลองดู แล้วก็ติด แต่ก็ไม่ถึงรอบสุดท้าย หนูก็ยังไม่ยอมแพ้ อยากลองดูอีกหลาย ๆ ที่ สุดท้ายก็มาติดที่นี่ค่ะ คิดว่าอีก 10 ปีข้างหน้าเราจะมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปอีกบ้าง หรือคิดว่าตัวเองจะเป็นยังไงทำอะไรอยู่? ใบบัว – ตอนนั้นก็คงจะเปิดเพลง Fever ฟังแล้วรำลึกถึงความหลังค่ะ ถ้ามีลูกก็จะเปิดเพลง Fever ให้ลูกฟัง แล้วแม่ก็เต้น (หัวเราะ) ใบเฟิร์น – หนูอยากอยู่ในวงการเพลงต่อค่ะ หรือถ้าตอนนั้นยังมี Fever อยู่ ก็อยากให้พวกเรากลับมารียูเนี่ยนกันค่ะ บอส – คิดว่าตอนนั้นคงทำงานอย่างอื่นแล้วค่ะ อาจจะไม่ได้อยู่ในวงการแล้ว แล้วในแง่วงการไอดอลล่ะ คิดว่าอีก 10 ปีข้างหน้าวงการไอดอลในบ้านเราจะเป็นยังไง? บอส – จริง ๆ หนูอยากให้มันแมสกว่านี้นะ เพราะอย่างเมื่อก่อนหนูก็ติดตาม Kamikaze แต่วงที่เป็นเกิร์ลกรุ๊ปดูจะไปไม่ค่อยรอด ส่วนใหญ่จะเป็นบอยแบนด์มากกว่า แต่หนูชอบวงเกิร์ลกรุ๊ปที่เต้นแข็งแรง แต่สุดท้ายเค้าก็ยุบวงไปก่อน ตอนนี้พอกระแสไอดอลมันมา หนูก็อยากให้มันสามารถไปต่อได้ และก็จะได้เป็นโอกาสให้เด็กผู้หญิงหลายคนมาอยู่ตรงนี้เหมือนกัน ใบเฟิร์น – หนูอยากให้วงการไอดอลอยู่ไปอีก 10-20 ปีเลย เพราะว่าหนูคิดว่าวงการเพลงไทยกลับมาคึกครื้นได้ส่วนหนึ่งหนูว่าก็เพราะวงการไอดอลค่ะ อยากให้มันแข็งแรงไปด้วยกัน อะไรคือเหตุผลที่ทำให้อยากมาเป็นไอดอล? ซี – ก่อนหน้านี้หนูก็ช่วยคุณพ่อคุณแม่ทำงาน ก็เลยอยากจะลองอะไรใหม่ ๆ บ้าง และด้วยความที่หนูมีเพื่อนหลายคนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ก็เลยรู้สึกว่าอยากจะช่วยเค้า อยากจะมาอยู่ในจุดนี้ เพราะนอกจากจะได้ช่วยเพื่อนแล้วมันยังสามารถช่วยให้หลายคนรู้สึกดีขึ้นด้วยค่ะ ปาย – ปกติหนูเป็นคนไม่ค่อยกล้าแสดงออก แต่ก็ชอบร้องชอบเต้น ก็ทำแค่กับเพื่อน แล้วก็การเล่นดนตรี เวลาหนูเล่นแล้วคนมีความสุขหนูก็รู้สึกดี ก็เลยอยากเข้ามาลองทำตรงนี้ มันอาจจะคล้าย ๆ การเล่นดนตรี แต่มันก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่ทำให้คนมีความสุขได้ ฟอล์ย – ส่วนตัวหนูชอบไอดอลอยู่แล้ว ประกอบกับหนูอยากหาจุดมุ่งหมายให้ตัวเองด้วย ไม่อยากใช้ชีวิตเหมือนเดิม แค่ไปเรียนแล้วก็กลับบ้านแบบนั้น อยากมีอะไรใหม่ ๆ เข้ามาในชีวิตค่ะ คาดหวังอะไรกับการมาเป็นไอดอล? ซี – เป็นช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตที่เราสามารถได้เอนจอย ได้เอนเตอร์เทนคนหมู่ใหญ่ ได้เป็นแบบอย่างให้ใครสักคนในชีวิต เพราะโตขึ้นไปหนูก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ทำอะไรแบบนี้หรือเปล่า ฟอล์ย – ไม่เชิงว่าเป็นการสานต่อเข้าวงการบันเทิง คือหนูอยากเป็นไอดอลอยู่แล้วค่ะ แต่ก็มีอาชีพอื่นในวงการที่สนใจอยู่เหมือนกัน แต่หนูคิดว่าไอดอลมันเป็นได้แค่ในช่วงวัย ๆ หนึ่ง ถ้าเกิดว่าเลยวัยนี้ก็อาจจะต่อยอดเป็นงานอื่นแทนค่ะ ปาย – ก็อาจจะคล้าย ๆ ฟอล์ย แต่ของหนูคือหนูเล่นดนตรีเป็นงานอดิเรกอยู่แล้ว แต่หนูคิดว่ามันไปควบคู่กันได้เหมือนถ้าเราเล่นดนตรีแล้วเราเป็นตรงนี้ไปด้วย หนูก็จะรู้สึกฟีลกู้ดค่ะ (หัวเราะ) คิดว่าอีก 10 ปีข้างหน้าเราจะมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปอีกบ้าง หรือคิดว่าตัวเองจะเป็นยังไงทำอะไรอยู่? ซี – หนูก็คงจะทำงานปกติตามช่วงอายุไปเรื่อย ๆ แต่การได้เข้ามาอยู่ในจุด ๆ นี้ทำให้หนูรู้ว่าหนูชอบทำอะไรเพื่อคนอื่น หนูก็คงอยากทำอะไรที่เกี่ยวกับ Volunteer ค่ะ ปาย – หนูอยากลองทำเพลงค่ะ แบบเป็น Sound Engineer ประมาณนั้นค่ะ ฟอล์ย – ถ้าเกิดอีก 5 ปีหนูจะอายุ 22 ตอนนั้นก็อาจจะยังเป็นไอดอลได้อยู่ แต่ถ้าอีก 10 ปี หนูก็จะอายุ 27 ป่านนั้นก็ควรแต่งงานแล้วป่ะ? (หัวเราะ) คิดว่าวงการไอดอลบ้านเราในตอนนี้เป็นยังไง แล้วในอนาคตจะเป็นยังไง? ฟอล์ย – คิดว่าตอนนี้ในบ้านเรามีวงไอดอลเยอะมาก ๆ เต็มไปหมดเลย หนูคิดว่าวงเราเปิดตัวออกมาในช่วงเวลาที่พอดี ไม่ช้าไป ไม่เร็วไป คิดว่าจากนี้การแข่งขันคงสูงขึ้น แต่ถ้าเทียบกับญี่ปุ่น วงในบ้านเราตอนนี้ก็ถือว่ายังน้อยอยู่เพราะฉะนั้นก็คิดว่าดีแล้วค่ะที่มีวงเกิดขึ้นเยอะ ๆ วงการไอดอลบ้านเราจะได้แข็งแรงและเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ปาย – เหมือนที่ฟอล์ยว่าตอนนี้ในบ้านเรามีไอดอลเยอะ มันก็ดีที่ทำให้วงการขยายขึ้น เหมือนก่อนหน้านี้วัฒนธรรมนี้ก็ยังไม่เป็นที่รู้จักในไทย เป็นแบบนี้ดีแล้วค่ะ ซี – หนูอาจจะมองต่างจากสองคนนี้นิดนึง หนูว่าตอนนี้มันโอเวอร์ซัพพลาย เหมือนวงการมันโตขึ้นเรื่อย ๆ แต่กลุ่มแฟนคลับไม่ได้โตตามขนาดนั้น หนูอยากให้ทุกวงจับมือร่วมกันแล้วช่วยกันรันวงการให้มันไปได้ไกลกว่านี้ค่ะ เป็นคนเงียบ ๆ แล้วทำไมถึงตัดสินใจมาออดิชั่นวงไอดอล? ซู – เพราะว่าตอนเด็ก ๆ ชอบร้องชอบเต้นอยู่แล้วค่ะ แล้วพอเริ่มมีวง BNK48 มันก็จุดประกายความคิดนั้นขึ้นมาอีกครั้ง เลยอยากลองทำอะไรแบบนี้อีกครั้ง ก็เลยเข้ามาสมัครค่ะ ป๊อป – เหมือนกันค่ะ ชอบเต้นชอบร้องอยู่แล้ว แล้วเหมือนหนูมีความคิดที่อยากทำอะไรแบบนี้มานานแล้ว แต่จะคิดตลอดว่าทำไม่ได้หรอก ด้วยบุคลิกของหนูที่ไม่ได้ไปทางนั้นเลย ก็เลยอยากมาลองพิสูจน์ดูว่าจะทำได้หรือเปล่า ปรับตัวยังไงบ้างกับชีวิตการเป็นไอดอล? ป๊อป – ตอนแรก ๆ หนูเฟลมากค่ะ เฟลกับตัวเองมาก แบบตอนออกบู้ตหนูก็ทำได้แค่ยืนยิ้ม หันไปเห็นเพื่อนคนอื่นเค้าคุยกับแฟนคลับสนุกสนาน แต่เราทำไม่ได้เลย ก็ต้องพัฒนาต่อไปค่ะ ซึ่งหนูก็ไม่คิดว่าหนูจะเป็นคนที่พูดเก่งได้ แค่อยากจะพูดได้ในเวลาที่มันต้องพูดจริง ๆ ค่ะ ซู – อารมณ์ประมาณเดียวกับป๊อปเลยค่ะ ก็เฟล ไม่รู้ว่าจะพูดกับแฟนคลับยังไง ได้แค่ยืนยิ้ม พูดขอบคุณ หรือไม่ก็ทำตัวให้ยุ่ง ไปช่วยพี่ทีมงาน ช่วยนั่นช่วยนี่ (หัวเราะ) หนูก็ไม่ได้อยากพูดมากขึ้น แต่อยากพูดให้เก่งขึ้นค่ะ คิดว่าอีก 10 ปีข้างหน้าเราจะมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปอีกบ้าง หรือคิดว่าตัวเองจะเป็นยังไงทำอะไรอยู่? ป๊อป – ถ้าอีก 10 ปีหนูไม่คิดว่าตัวเองจะอยู่ในวงการค่ะ ตอนนั้นอาจจะทำพวกกราฟิก ซีจี อะไรแบบนั้น แล้วก็อยากไปทำที่ต่างประเทศค่ะ ซู – ก็คงใช้ชีวิตเงียบ ๆ อยู่คนเดียวค่ะ อาจจะทำธุรกิจที่ตัวเองสนใจ คาดหวังว่าวง Fever จะไปถึงจุดไหน? ป๊อป – อยากให้อยู่ในแวดวงศิลปินที่ไม่ใช่แค่ไอดอลค่ะ ก็ต้องฝึกสกิลไปเรื่อย ๆ เพราะตอนนี้ยังไม่ถึงค่ะ (ยิ้ม) ซู – เหมือนกันค่ะ ไม่อยากให้เค้ามองแค่ว่า Fever คือไอดอล แต่อยากให้มันเป็นที่รู้จัก มีคอนเสิร์ต มีเฟสติวัลเป็นของตัวเอง เพราะว่าเพลงวงเราดีค่ะ