ChoNe-Bi
ยินดีต้อนรับสู่ ChoNe-Landดินแดนแห่งสีสันและความฝันในเสียงเพลง
จากวัฒนธรรมที่ดูไกลตัว ต้องยอมรับว่าในตอนนี้ประเทศไทยเข้าสู่ยุคทองของไอดอลแล้ว เพราะไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็เจอแต่วงไอดอลเต็มไปหมด และแน่นอนว่าเพื่อความอยู่รอดแต่ละวงก็ต้องพยายามสร้างความแตกต่าง ไม่เหมือนใคร เพื่อให้วงของตัวเองโดดเด่นขึ้นมา
ในฐานะผู้บริโภค เราจึงเห็นวงไอดอลมากมายหลายสไตล์ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนขึ้นมาแสดง ทั้งไอดอลสายน่ารักสดใสตามตลาดนิยม ไอดอลสายเท่ ไอดอลภูมิภาค หรือแม้กระทั่งไอดอลสายร็อก แต่ในบรรดาวงไอดอลทั้งหมดนั้น ถ้าจะพูดถึงเรื่องสีสันที่สดใสฟรุ้งฟริ้งระยิบระยับ ยังไงก็ต้องมีชื่อของ ChoNe-Bi รวมอยู่ด้วย
ChoNe-Bi คือวงไอดอลน้องใหม่แต่หน้าเก่าในวงการเต้นโคฟเวอร์ พวกเธอใช้เวลาเติบโตกับการเต้นโคฟเวอร์มาหลายปี โดยจะเน้นโคฟเวอร์เพลงของกลุ่มไอดอล Wa-suta (The World Standard) เป็นหลัก โดยเก็บซ่อนความฝันที่อยากจะเป็นไอดอลไว้ในใจโดยตลอด จนกระทั่งพวกเธอได้ขึ้นแสดงบนเวทีเดียวกับไอดอลอาชีพ ได้พูดคุยกับกลุ่มเพื่อนที่เป็นไอดอลจากประเทศเพื่อนบ้าน ความฝันของพวกเธอก็เหมือนถูกจุดประกายขึ้นมาอีกครั้ง การมีเพลงของตัวเอง มีท่าเต้นของตัวเองนั้นไม่ยากจนเกินไป พวกเธอคิดว่าตัวเองก็สามารถทำได้ ประกอบกับในตอนนั้นวงการไอดอลในไทยเริ่มเป็นกระแสขึ้นมาพอดี ด้วยเหตุนี้เอง ChoNe-Bi จึงถือกำเนิดขึ้น
ChoNe-Bi แตกต่างจากวงไอดอลทั่วไปคือ พวกเธอไม่ได้ผ่านการออดิชั่นเข้ามา แต่เป็นกลุ่มเพื่อนกันตั้งแต่ตอนเต้นโคฟเวอร์ ดังนั้นทุกกระบวนการตั้งแต่ก่อตั้งวงจนถึงตอนนี้พวกเธอนั้นทำกันเองแทบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการคิดคอนเซปต์ ออกแบบชุด ออกแบบท่าเต้น และช่วยเกลาเนื้อเพลง
ChoNe-Bi ประกอบด้วยสมาชิกทั้งหมด 5 คน – ปิ่นเป็ด, โมโกะ, บีบี๋, โมเมะ, และโชยุ โดยทุกคนจะมีสีประจำตัวเป็นของตัวเอง ซึ่งคอนเซปต์นี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Wa-suta (The World Standard) ที่พวกเธอเคยโคฟเวอร์นั่นเอง คอนเซปต์หลักอีกอย่างของ ChoNe-Bi คือจะสมมุติว่าพวกเธอทั้งห้าคือผู้ก่อตั้ง ChoNe-Land อาณาจักรในโลกแห่งเกม ซึ่งเป็นสถานที่ที่เหล่าเกมเมอร์จะช่วยกันทำภารกิจให้สำเร็จ
ตอนนี้ ChoNe-Bi มีเพลงออกมาแล้ว 1 เพลง ชื่อว่า CNB-Untitled 01 เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการผจญภัยของเมมเบอร์ในโลกของเกม พวกเธอต้องช่วยกันตามหาไอเท็มเพื่อที่จะออกจากเกมให้ได้ แนวเพลงเป็นป็อปร็อกฟังสนุก แฝงไว้ด้วยซาวด์แบบ 8-Bit ถือว่าเป็นเพลงเปิดตัวที่ทำให้ผู้ฟังสามารถเข้าใจแนวทางของวงได้เป็นอย่างดี และชวนให้ติดตามว่าเรื่องราวบทต่อไปที่จะเกิดขึ้นใน ChoNe-Land จะเป็นอย่างไร
ความท้าทายที่เพิ่มมากขึ้น จากการเป็นวงโคฟเวอร์สู่วงไอดอล
โมเมะ – เรื่องสำคัญเลยน่าจะเป็นเรื่องร้อง เพราะไม่มีพื้นฐานและก็ไม่เคยฝึกมาตั้งแต่แรก ส่วนเรื่องเต้นตอนแรกก็ยังเต้นไม่ค่อยดี แต่เวลามันทำให้เราพัฒนาขึ้น แต่เรื่องการร้องเราเพิ่งมาเริ่มกันได้ไม่นาน และเราก็ไม่ได้ไปเรียนจริงจังเลยจะยากนิดนึง อีกอย่างหนึ่งน่าจะเป็นเรื่องการจัดการเวลา เพราะสิ่งที่ทำตอนนี้มันจริงจังมากกว่าเดิม ใช้เวลาในหลาย ๆ ส่วนมากกว่าเดิม เมื่อก่อนถ้าเราไม่ว่างมันก็ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้มันไม่ได้ เราต้องจัดการทุกอย่างเพื่อมีเวลามาทำส่วนกลางที่ทุกคนต้องร่วมมือกัน
โมโกะ – จุดแรกก็เหมือนโมเมะคือเรื่องร้องเพลงค่ะ นอกจากจะร้องแล้วต้องเต้นไปด้วย เพราะถ้าอยากจะพัฒนาโชว์ของเรา การลิปซิ้งค์ 100% มันไม่โอเค เรารู้สึกว่าการร้องสดมันสามารถส่งความรู้สึกไปให้คนดูได้มากกว่าแค่ลิปซิ้งก์แล้วแสดงสีหน้า เราอยากจะแสดงไลฟ์ที่สนุก ก็เลยคิดว่าการพัฒนาสกิลตรงนี้มันสำคัญ เราต้องมาออกกำลังกายจากที่เมื่อก่อนไม่ค่อยออก แล้วก็ลงเรียนร้องเพลงไปด้วย ถ้าเราได้อะไรมาก็จะมาบอกต่อเพื่อนในวง ก็จะไกด์เท่าที่ทำได้ และความยากอีกอย่างก็เรื่องเวลาเหมือนกันค่ะ เวลาว่างของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน แต่ทุกคนก็รู้ว่าเราต้องทำยังไง ร่วมแรงร่วมใจกันมันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น
โชยุ – ของโชจะเป็นเรื่องร้องเหมือนกันค่ะ เมื่อก่อนคิดว่าตัวเองร้องดีมาโดยตลอด (หัวเราะ) แต่พอมาร้องจริง ๆ โอโหเสียงเพี้ยนแบบสุดมาก (หัวเราะ) ต้องเปลี่ยนเยอะมาก ต้องกลับไปซ้อมเยอะมาก เรื่องอื่น ๆ ก็จะเป็นเรื่องเต้น เรื่องจัดการเวลาเหมือนคนอื่น ๆ แต่ที่หนักสุดของโชคือการสื่อสาร เพราะปกติจะไม่ค่อยคุยกับใครเท่าไร ก็ต้องปรับตัว ให้คนอื่นช่วยอีกเยอะเลย
คิดยังไงกับคนที่บอกว่าโต ๆ กันแล้วทำไมยังมาเป็นไอดอลกันอยู่
โมเมะ – ยังไม่เคยเจอคนมาพูดแบบนี้ค่ะ แต่ถ้าถามว่าเราคิดยังไงกับคนที่พูดแบบนี้ เราอยากจะบอกว่าเราทำตรงนี้มันก็มีเวลาจำกัดของมัน เราทำเพราะเราอยากทำ เราทำแล้วเรายังแฮปปี้อยู่มันก็ควรทำ เพราะมันคือตัวเรา มันคือความรู้สึกของเรา ถ้าเราโอเคที่จะทำ ก็ทำ มันก็แค่นั้น คนอื่นไม่โอเคมันคือความรู้สึกเค้า
โมโกะ – มันมีความรู้สึกว่าอยากใช้ชีวิตวัยรุ่นให้คุ้ม ถ้าเราอยากทำแล้วมันมีโอกาส เราสามารถทำมันได้ เราตามไอดอลทั้งญี่ปุ่นเกาหลีแล้วอยากเป็นแบบเค้า ตอนนี้มันมีช่องทางให้เราเป็นแบบเค้าได้แล้ว เราคว้ามันไว้ดีกว่า ต่อให้ใครจะมาบอกว่าไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะ ทำไมถึงมาทำแบบนี้ มาแต่งตัวแบ๊ว ๆ เต้นแบ๊ว ๆ แบบนี้ ก็รู้สึกว่าถ้ามันเป็นสิ่งที่เราชอบ สิ่งที่เราอยากทำ มันคือครั้งหนึ่งในชีวิต เราก็ทำมันเลยดีกว่า ในอนาคตจะได้ไม่ต้องหันมาเสียดายว่าทำไมมีโอกาสแล้วไม่ทำ
โชยุ – ของโชจะเจอเรื่องครอบครัวค่ะ เมื่อก่อนเคยคอสเพลย์ ก็จะโดนบอกว่าไร้สาระ ทำไมต้องมาแต่งตัวแบบนั้น ร้องเพลงแบบนั้น ภาษาอะไรก็ไม่รู้ แต่พอทำมาเรื่อย ๆ เหมือนที่บ้านก็เห็นว่าเรามีความสุขขึ้น ดูกล้าพูดกับคนอื่นมากขึ้น ดูจัดการชีวิตตัวเองได้ดีขึ้น เค้าก็โอเคที่จะให้ทำ
แต่ละคนตีความความหมายของคำว่าไอดอลไว้ยังไงบ้าง
โมเมะ – คำว่าไอดอลสำหรับเรามันคือพลังบวก ทุกครั้งที่เราได้ดูการแสดงของเค้า หรือแค่ฟังเพลงของเค้าอยู่ที่บ้าน มันก็ได้รับพลังบวกแล้ว เหมือนอย่างที่เราเป็นตอนนี้ เราก็พยายามส่งพลังบวกให้กับทุกคน แต่เราก็ไม่ได้แค่ส่งอย่างเดียว เพราะเราก็ได้รับด้วย อย่างเวลาเราโพสต์รูป บอกว่าวันนี้สู้ ๆ นะคะ ก็จะมีหลายคนมาตอบว่าสู้ ๆ เหมือนกัน
โมโกะ – เราว่าไอดอลไม่ใช่แบบอย่าง แต่สำหรับคนไทยเมื่อก่อน ไอดอลอาจจะต้องเรียนเก่ง เก่งหมดเลย เก่งทุกด้าน แต่ไอดอลสำหรับโมโกะคือคนที่สามารถส่งความสุขให้กับทุกคนได้ หรือการที่เราเห็นใครสักคนตั้งใจทำอะไรก็อาจจะเป็นไอดอลด้านความตั้งใจก็ได้ ไอดอลเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับ
โชยุ – ไอดอลของโชคือแรงบันดาลใจค่ะ คือสิ่งที่ทำให้โชกล้าที่จะทำอะไรหลาย ๆ อย่าง เห็นว่าเค้าตั้งใจหรือพยายามทำอะไรสักอย่าง เราก็อยากจะทำให้ได้แบบนั้นบ้าง
มารวมตัวเป็น ChoNe-Bi ได้ยังไง
ปิ่นเป็ด – ChoNe-Bi เป็นวงโคฟเวอร์มาก่อน เหมือนตอนนั้นโมเมะ (สีชมพู) โพสต์ลงเฟซบุ๊กว่าออดิชั่นคนที่จะมาเต้นในตำแหน่งสีม่วง โคฟเวอร์วง Wa-suta ซึ่งตอนนั้นเราสนใจวง Wa-suta อยู่พอดี แต่เราไม่ได้ชอบสีม่วง ปิ่นชอบสีเหลือง แต่ก็อยากเต้นอะ…สีม่วงก็ได้ เลยติดต่อโมเมะไป แต่ตอนนั้นก็มีอีกคนที่ติดต่อโมเมะไปเหมือนกันคือโมโกะ (สีม่วง) มาออดิชั่นพร้อมกัน โมเมะก็อยากเก็บไว้ทั้งสองคน พอดีเป็นจังหวะที่เมมเบอร์เก่าที่เป็นสีเหลืองเค้ามีปัญหา ก็ออกไป เลยกลายเป็นว่าโมเมะรับทั้งสองคน โดยที่โมโกะก็เป็นสีม่วง แล้วปิ่นก็ได้เป็นสีเหลืองตามใจปรารถนา (หัวเราะ)
บีบี๋ – บีบี๋ก็เห็นเฟซบุ๊กโพสต์อันนั้นเหมือนกัน แต่เค้าเอาสีม่วง แล้วเราก็ไม่ชอบสีม่วงเหมือนกัน (หัวเราะ) ก็เลยคุยกับโมเมะเพราะว่าเป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว บอกไปว่าถ้าเป็นสีฟ้าจะไปเต้นให้เลย (หัวเราะ) ก็ไม่ได้คิดอะไร หลังจากนั้น ChoNe-Bi ก็ไปเดบิวต์งานแรก แต่ปรากฏว่างานแรกมันเป็นงานสุดท้ายของสีฟ้าคนเก่า (หัวเราะ) คือขึ้นครั้งแรกแล้วก็เป็นงานสุดท้ายของเค้าเลย เหมือนเค้ามีปัญหากับที่บ้าน โมเมะก็เลยมาถามว่ายังสนใจอยู่มั้ย ก็เลยได้มาอยู่
นิยามความหมายของคำว่าไอดอลว่ายังไง
ปิ่นเป็ด – ไอดอลของปิ่นคือคนที่เป็นพลังบวก เป็นความสุข เปรียบเป็นตู้คาราโอเกะให้ทุกคนได้มาร้องเพลง มีความสุขสนุกสนาน จากมุมมองเราในฐานะแฟนคลับและก็ยืนอยู่ในฐานะไอดอลเหมือนกัน ไอดอลมันคือสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกสบายใจ เราจะซัพพอร์ตเค้าในทุกทาง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเค้าจะไม่มีอิสระ เราไม่ได้ผูกมัดเค้า และเค้าก็ไม่ได้ผูกมัดเราเหมือนกัน ดังนั้นไอดอลของปิ่นคือคนที่ทำให้เรามีความสุขแต่เราไม่ใช่เจ้าชีวิตของเค้า
บีบี๋ – สำหรับบีมองว่าไอดอลคล้าย ๆ สินค้าชนิดหนึ่ง ซึ่งถามว่าเราสามารถครอบครองได้มั้ย ก็ไม่ แต่สิ่ง ๆ นี้มันสามารถทำให้เรามีความสุขได้ โดยการที่ได้เห็นวิวัฒนาการของเค้า การเติบโตขึ้น เราก็มีความสุข เป็นสินค้าที่ให้พลังบวก ให้แรงบันดาลใจกับคนอื่นได้ค่ะ
มุมมองต่อวงการไอดอลไทยในปัจจุบันและอีก 10 ปีข้างหน้า?
ปิ่นเป็ด – ไอดอลในประเทศไทยตอนนี้มันแมสมาก ๆ แมสจนมันเฟ้อ ใคร ๆ ก็ทำ ใครทำก็ได้ มันง่ายที่จะทำในปัจจุบัน แต่ด้วยความที่มันเฟ้อเกินไปมันเลยกลายเป็นว่าคนจะแบบ…อีกแล้วเหรอ อีก 10 ปีข้างหน้าปิ่นว่าวงการไอดอลไทยจะไม่ได้แมสเหมือนปัจจุบัน อาจจะมีบางวงที่ตอนนี้เป็นไอดอล แต่อีก 10 ปีข้างหน้าเค้าอาจจะเป็นศิลปินไปแล้ว ซึ่งต่อให้วงการไอดอลจะไม่มีแล้ว แต่เค้าก็อยู่ได้
บีบี๋ – ไอดอลในไทยมีเยอะมากในปัจจุบัน แต่เหมือนความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับไอดอลของคนไทยยังมีไม่มากพอ บีรู้สึกว่าตอนนี้ใครก็ได้มาร้อง ๆ เต้น ๆ ก็เป็นไอดอลหมด ทั้ง ๆ ที่มันไม่ใช่ ไอดอลจริง ๆ แล้วมันมีอะไรมากกว่านั้น แต่เหมือนคนไทยยังตีความคำว่าไอดอลไม่ถูก ส่วนอีก 10 ปีข้างหน้าบีว่าวงการไอดอลจะใหญ่ขึ้นกว่านี้ค่ะ ใหญ่ขึ้นในที่นี้คือจะมีหลาย ๆ วงเกิดขึ้นมาใหม่ เพราะนับวันไปยิ่งมีมากขึ้น และหวังว่าคนไทยจะมีความเข้าใจกับวัฒนธรรมไอดอลมากกว่านี้ค่ะ