AKIRA-KURØ
เพราะโลกไม่ได้มีแค่ด้านสว่าง ไอดอลอย่างพวกเธอจึงถือกำเนิดขึ้น
“ไอดอลในนิยามของคุณคืออะไร”
สำหรับคนส่วนใหญ่ เมื่อพูดคำว่าไอดอล คงจะนึกถึงกลุ่มเด็กสาวที่มาพร้อมความน่ารักสดใส ขับกล่อมโลกทั้งใบด้วยบทเพลงสนุกสนาน แต่แท้จริงแล้วไอดอลนั้นไม่ได้มีแค่ด้านสว่าง วันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จัก ‘AKIRA-KURØ’ วงไอดอลทางเลือกที่พร้อมจะตีแผ่สังคม สะท้อนความเป็นมนุษย์
Akira ในภาษาญี่ปุ่นแปลว่าแสงสว่าง ส่วน Kuro แปลว่าสีดำ เป็นสองคำที่มีความหมายตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิง การที่ AKIRA-KURØ เลือกใช้ชื่อนี้เป็นชื่อวงเพราะต้องการอยากสะท้อนให้เห็นว่าโลกของเรานั้นไม่ได้มีแค่ด้านสว่าง แต่ยังมีมุมมืดหลบซ่อนอยู่อย่างปฏิเสธไม่ได้ และพวกเธอนี่แหละจะสะท้อนมันออกมาให้ทุกคนเห็น
AKIRA-KURØ คือวงไอดอลที่อีกไม่กี่เดือนก็จะอายุครบ 1 ปี ประกอบด้วยสมาชิกทั้งหมด 10 คน – คีย์บอร์ด, อิ่ม, นานะ, เรน, แบมบี้, ชูก้า, พั้นช์, นัชชี่, พลอย และ เฟริน ทุกคนมารวมตัวกันได้ผ่านการออดิชั่น
สิ่งที่พิเศษอีกอย่างของไอดอลทางเลือกวงนี้ก็คือแต่ละคนจะมีตำแหน่งประจำตัวคล้ายกับวงดนตรี ทั้งนักร้องหลัก นักร้องรอง เต้นหลัก เต้นร้อง หรือแม้กระทั่งมือว้ากที่น่าจะหาได้ยากจากไอดอลวงอื่น ๆ นอกจากนั้นการแสดงบนเวทีของพวกเธอก็จะมีนักดนตรีมาบรรเลงกันสด ๆ ทำให้ในแต่ละโชว์ออกมาสนุก ดุเดือด เข้าถึงอารมณ์ผู้ชมได้เป็นอย่างดี
ไม่ใช่แค่การแสดงบนเวที แต่เรียกได้ว่าพวกเธอทุกคนมีส่วนร่วมในแทบจะทุกกระบวนการในการนำพา AKIRA-KURØ ก้าวเดินไปข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบชุด ออกแบบท่าเต้น หรือกระทั่งการช่วยเขียนเนื้อเพลง
“นอกจากการแสดงแล้ว อีกหนึ่งสิ่งสำคัญของวงไอดอลคือการส่งมอบกำลังใจให้กับแฟนคลับ แล้วสำหรับ AKIRA-KURØ ที่มีภาพลักษณ์ก้าวร้าวรุนแรงล่ะมองเรื่องนี้ยังไง”
พวกเธอตอบเราว่า AKIRA-KURØ ก็มีการส่งอบกำลังใจให้เหล่าแฟนคลับเช่นกัน เพียงแต่ว่ารูปแบบอาจจะแตกต่างออกไปนิดหน่อย พวกเธอจะคอยบอกแฟนคลับให้ลุกขึ้นสู้ อย่ายอมแพ้ ต่อให้โดนคนอื่นดูถูกเหยียดหยามยังไงก็อย่ายอมแพ้ จงเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งอาจจะดูรุนแรง แต่ก็จริงใจ
ถ้าจะเรียก AKIRA-KURØ ว่าเป็นไอดอลหัวขบถก็คงไม่ผิดนัก พวกเธอน้อมรับคำนิยามนี้ และแสดงความขบถออกมาผ่านสิ่งต่าง ๆ แต่ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือเพลง โดยตอนนี้พวกเธอมีเพลงของตัวเองทั้งหมด 1 ซิงเกิ้ล 2 เพลง แบ่งเป็นเพลงหลักกับเพลงรอง
NEVER GiVE UP – เพลงหลักในซิงเกิ้ลแรก เป็นการเปิดตัวได้อย่างชัดเจนในแนวทางว่าไอดอลวงนี้มาในแนวร็อก โดยเพลงนี้ต้องการบอกกับทุกคนว่ายอมแพ้ เพราะพวกเรา AKIRA-KURØ ก็ไม่ยอมแพ้ถึงมายืนอยู่จุดนี้ได้
WE ARE Ø / WE ARE AKIRA KURØ – เพลงรองที่บ่งบอกถึงตัวตนของวง สะท้อนความเป็นมนุษย์ ที่ไม่มีใครจะดี 100% แล้วก็ไม่มีใครที่จะชอบอะไรเหมือนกันทุกอย่าง ทุกคนมีความคิดเป็นของตัวเอง เราสามารถเป็นตัวของตัวเองได้โดยที่ไม่เบียดเบียนใคร
นี่แหละคือพวกเธอ AKIRA-KURØ ไอดอลที่ถือกำเนิดจากโลกที่ไม่ได้สวยงาม ใครที่กำลังเบื่อโลกที่ดูจอมปลอมอยู่ละก็ ลองมาติดตามพวกเธอดูสักครั้ง
ไอดอลกับเพลงร็อค มันไปด้วยกันได้ยังไง
คีย์บอร์ด – หนูตามไอดอลมาก่อนแล้ว ซึ่งหนูก็เห็นว่ามันมีแนวเดียว หนูรู้สึกว่ามันก็จะเริ่มซ้ำ ๆ มันควรจะมีอะไรใหม่ ๆ เข้ามาในวงการนี้ แล้วหนูก็เชื่อว่าไอดอลกับเพลงร็อกมันเข้ากันได้ค่ะ เพราะว่ามันเคยมีมาแล้วในประเทศญี่ปุ่น
เฟริน – ตอนแรกหนูก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะเวิร์กไม่เวิร์ก แต่หนูชอบที่มันไม่เหมือนวงอื่น ด้วยความที่ในไทยไอดอลจะมีรูปแบบอยู่ไม่กี่อย่าง แต่ของเราเป็นรูปแบบของวงร็อกที่เพิ่งเคยเกิดขึ้น มันดูแตกต่าง และทุกคนให้ความสนใจง่าย เพราะเพลงร็อกเป็นเพลงที่เข้าถึงง่าย มันทำให้ทุกคนเข้ามาฟังเข้ามาทำความรู้จักเราได้
นานะ – ไม่คิดหรอกว่ามันจะเวิร์กขนาดไหน ก่อนหน้านี้ก็มีความคิดว่าเป็นวงไอดอลร็อกหญิง เค้าจะยอมรับกันมั้ย เพราะในสังคมนี้ผู้หญิงส่วนมากก็จะอ่อนหวาน มีมารยาท (หัวเราะ) พอเรามาอยู่จุดนี้ญาติผู้ใหญ่เราเค้าจะโอเคกับเรามั้ย เค้าอาจจะมองว่ามันรุนแรง เค้าอาจจะไม่เข้าใจว่ามันคือศิลปะอย่างหนึ่ง แต่พอได้เข้ามาอยู่แล้วมีคนยอมรับในจุดหนึ่งก็รู้สึกแฮปปี้ค่ะ
ปรับตัวกับชีวิตที่เปลี่ยนไปยังไง
คีย์บอร์ด – ปกติแล้วหนูไม่ค่อยมาต่างจังหวัด พอเข้ามาตรงนี้หนูก็ต้องเดินทางมาซ้อมที่กรุงเทพคนเดียวในวัยเท่านี้ ซึ่งในตอนแรกมันก็ยากนิดนึง ร้องไห้เลย ต้องปรับตัวเรื่องเวลา จากที่เสาร์-อาทิตย์เราจะได้ไปเที่ยวเล่นก็ต้องสละเวลามาซ้อม
เฟริน – ของหนูจะเป็นเรื่องการร้องเพลง ตอนแรกคือร้องเพลงไม่เป็นเลย แล้ววงเราก็ไม่มีใครมาฝึกให้ ต้องฝึกซ้อมกันเอง ต้องให้คนนู้นคนนี้มาช่วยบ้าง อีกอย่างคือหนูเพิ่งเรียนจบมา แล้วก็ไม่ได้ทำงาน คนที่บ้านก็จะถามว่าทำไมไม่หางานทำ ทำไมมาเป็นไอดอล ซึ่งเราก็ลบคำสบประมาทเค้าด้วยการช่วยทำธุรกิจที่บ้านด้วย ทำขนมขายด้วย จิปาถะไปเรื่อย
นานะ – เป็นคนที่ร้องเพลงไม่เป็นเลย ก็จะท้าทายตัวเองนิดนึงเรื่องการร้องเพลง แล้วก็ต้องมาอยู่ในสาย Scream ด้วย ค่อนข้างจะโหด แล้วก็เรื่องของเวลา เพราะตอนนี้ทำงานแล้ว และเวลาเราก็ไม่ปกติเหมือนคนทั่วไป เป็นคนที่ทำงานตอนกลางคืน ดูแลโรงแรมตอนกลางคืนตั้งแต่สามทุ่มถึงเจ็ดโมงเช้า เพราะฉะนั้นเวลาที่มีซ้อม บางทีเราก็ไม่ค่อยได้มาซ้อม ก็ต้องให้เพื่อนในวงอัดคลิปแล้วส่งให้ (หัวเราะ)
อีก 5-10 ปี ข้างหน้าคิดว่าตัวเองจะทำอะไรอยู่
คียบอร์ด – หนูคิดว่าหนูก็คงเรียนอยู่ค่ะ และก็ยังจะอยู่ในวงการไอดอลต่อไป
เฟริน – หนูน่าจะเปิดธุรกิจส่วนตัวค่ะ เพราะความฝันอย่างหนึ่งคือยากทำร้านขนม แล้วก็อยากทำห้องซ้อมเต้นด้วย อาจจะข้างล่างร้านเป็นคาเฟ่ ข้างบนเป็นห้องซ้อมเต้นอะไรแบบนั้นค่ะ (หัวเราะ) นอกจากนั้นที่คิดกับเพื่อนไว้คืออยากทำโปรดักชั่นเฮ้าส์ค่ะ อยากทำ MV ให้กลุ่มเด็กโคฟเวอร์ แต่ถ้าไม่ได้ทำตรงนี้ก็อาจจะไปทำเบื้องหลังวงไอดอลก็ได้ค่ะ เพราะว่าหนูก็ชอบตรงนี้อยู่แล้ว
นานะ – อีกสิบปีข้างหน้าก็คงอายุมากแล้วแหละเนอะ (หัวเราะ) ก็คงต้องแต่งงานมีครอบครัว แล้วก็ดูแลธุรกิจที่บ้าน แต่ว่าถ้าเป็นไปได้เราก็อยากทำเพลงไปเรื่อย ๆ ถ้าเรายังทำได้อยู่
ต้องพัฒนาตัวเองยังไงบ้างในการเป็นไอดอล
พลอย – ทุกอย่างเลยค่ะ เหมือนว่าขีดจำกัดมันยังไกลมาก ๆ ที่เราจะไปถึง เราสามารถพัฒนาไปเรื่อย ๆ ได้ในทุก ๆ ด้าน แม้กระทั่งด้านที่ไม่คิดว่ามันจะมีอยู่ ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าปลายทางมันจะอยู่ที่ตรงไหน รู้แค่ว่าเราจะต้องเดินไปในทุกทาง
เรน – น่าจะเป็นความกล้าค่ะ คือเรนเป็นคนที่บางทีก็ชอบนะ แต่ก็กลัวที่จะทำ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำมันก็จะออกมาได้ไม่เต็มที่เพราะเรากลัว แล้วก็มานั่งบ่นมานั่งเสียใจร้องไห้กับตัวเอง ก็อยากที่จะเพิ่มความกล้าของตัวเอง
นัชชี่ – รู้สึกว่าตัวเองยังไม่สุดในสักทาง รู้สึกว่าตัวเองมีปัญหาในทุกด้าน ไม่ได้มีด้านไหนที่ดีและพอใจแล้ว จุดที่ต้องพัฒนามีเต็มไปหมดจนหนูไม่รู้สึกว่าอันไหนควรจะพัฒนาที่สุด ร้องเพลงก็มีปัญหา ออกเสียงรอเรือไม่ได้ เต้นก็มีปัญหาเพราะไม่เคยเต้นมาก่อน ข้อเท้าก็ไม่ดีเพราะกระดูกแตก เป็นคนที่แพนิคก่อนขึ้นเวที คือมีจุดที่ต้องพัฒนาในทุกด้าน และยังไม่มีจุดไหนที่คิดว่ามันถึงมาตรฐานที่ตัวเองพอใจแล้ว
ชีวิตเปลี่ยนไปแค่ไหนหลังจากเป็นไอดอล
นัชชี่ – น่าจะเป็นเรื่องวินัยค่ะ เมื่อก่อนก็ใช้ชีวิตไปแบบธรรมดา นอนกี่โมงก็ได้ ทำอะไรก็ได้ พอเรามาอยู่ตรงนี้ก็ต้องมีไปซ้อม ต้องแบ่งเวลามากขึ้น ต้องจัดการชีวิตตัวเองมากขึ้น ต้องบาลานซ์ชีวิตตัวเองมากขึ้น เพราะว่าเรามีงานมากขึ้นมีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น
พลอย – ของหนูเป็นรูปธรรมสุด ๆ เลยค่ะ ก็คือการแต่งหน้าค่ะ จากคนที่ไม่แต่งหน้าก็ต้องมาฝึกแต่งหน้า ฝึกใส่คอนแทคเลนส์ จากที่ตอนแรกเป็นสาวแว่น ใส่แว่นตลอด นี่คือพื้นฐานเลยค่ะ ก็ต้องพัฒนาต่อไปแม้แต่เรื่องแต่งหน้าค่ะ
เรน – สีผมค่ะ (หัวเราะ) นอกจากสีผมก็น่าจะเป็นเรื่องแบ่งเวลา เพราะเราอยู่ไกลมาก อยู่ต่างจังหวัด ต้องใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมงกว่าจะมาถึงกรุงเทพ ก็เลยต้องแบ่งเวลาแบบหัวหมุนสุด ๆ
อีก 5-10 ปี ข้างหน้าคิดว่าตัวเองจะทำอะไรอยู่
พลอย – ก็หวังว่าจะได้เป็นศิลปินเต็มตัวจริง ๆ หรือไม่ก็ทำงานในแวดวงอะไรก็ตามที่ได้ถ่ายทอดความรู้สึก ความคิดของตัวเองออกไปให้คนได้รับรู้ แล้วก็ได้พบเจอผู้คนที่คิดและรู้สึกเหมือนเรา
เรน – ถ้ามีเงินมากพอ มีความสามารถมากพอก็อยากจะตั้งบริษัทของตัวเอง แล้วก็อยากจะออดิชั่นทุกคนเข้ามาเป็นศิลปินในบริษัทของเรา (หัวเราะ)
นัชชี่ – ตอนนั้นอาจจะไม่ได้มาอยู่ตรงนี้ละ อาจจะไม่สามารถมายืนอยู่บนเวทีแล้วเต้นกับทุกคนได้ แต่สิ่งที่อยากทำอยู่คืออยากเป็นศิลปินเดี่ยว ยังอยากทำงานอยากใช้ชีวิตที่เกี่ยวข้องกับเพลงอยู่ อย่างน้อยความฝันที่มีมาตลอดก็คืออยากร้องเพลง แต่ก็คิดว่าความเป็นจริงอีกสิบปีข้างหน้าก็คงทำงานที่ไม่ต่างจากตอนนี้เท่าไร ชีวิตคนทำงาน อีกสิบปีข้างหน้าก็คงมีแค่การไต่เต้าตำแหน่งขึ้นไป แล้วก็คิดว่าอาจจะไม่มีครอบครัวมั้ง อาจจะต้องเป็นคนที่ดูแลคนอื่นไปตลอดค่ะ
วันหมดอายุของไอดอล
พั้นช์ – มีประโยคหนึ่งที่ทัชหนูมากในวันเดบิวต์ของเราก็คือคำว่า เรามาใช้โอกาสสุดท้ายกัน เพราะว่าหลาย ๆ คนอายุเกินแล้ว ไอดอลเดี๋ยวนี้เค้าไม่เอาคนอายุ 25-26 แล้ว เพราะจริง ๆ อายุมันก็ค่อนข้างสำคัญในเรื่องภาพลักษณ์ ในเรื่องของการใช้ชีวิตด้วย เพราะว่ายิ่งเราโตขึ้นเราก็ต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น มีงานทำ บางทีมันก็ไม่สามารถสละเวลามาให้ได้ มันแบ่งเวลาลำบากค่ะ
อิ่ม – สำหรับหนู ไอดอลมันไม่มีวันหมดอายุค่ะ ถ้าเราได้เป็นไอดอลแล้วครั้งหนึ่งเราก็จะเป็นไอดอลไปตลอด มันมีแค่วันที่เราอาจจะขึ้นสเตจไม่ไหวแล้ว แก่แล้ว หรือมีวันที่เราต้องไปใช้ชีวิตของเราบ้าง
แบมบี้ – หนูว่าคำว่าไอดอลมันเป็นคำจำกัดความของแฟนคลับที่มองเรามากกว่า อย่างบางคนไม่ได้เป็นศิลปินด้วยซ้ำ แต่ทัศนคติดี ทำงานเก่ง คนงานชื่นชอบก็เป็นไอดอลแล้ว เพราะฉะนั้นหนูคิดว่าคำว่าไอดอลมันไม่มีวันหมดอายุค่ะ
แล้วไอดอลในความหมายของเรา คืออะไร
อิ่ม – ส่วนตัวแล้วหนูจะมองคำว่าไอดอลในขอบเขตของการเป็นศิลปิน ก็คือไอดอลมันจะมีประเภทของมัน ไอดอลเกาหลีก็จะเป็นแบบนึง ไอดอลญี่ปุ่นก็จะเป็นแบบนึง แต่ว่ารวม ๆ แล้วเค้าก็คือศิลปินคนหนึ่งที่ออนสเตจแล้วก็มอบความสุขให้คนอื่น แต่ถ้าเรามองในมุมมองของการเป็นแบบอย่างก็มีเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไอดอลจะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีเสมอไป ไอดอลมันอาจจะเป็นแบบอย่างที่ไม่ได้ดีหรอก แต่เราชอบอะ เราอยากจะเป็นแบบนั้น
พั้นช์ – สำหรับพั้นช์ ไอดอลคือสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ เพราะบางทีเราเจอเรื่องไม่ดีมา แล้วพอเราเห็นไอดอลเราก็รู้สึกได้รับกำลังใจค่ะ
แบมบี้ – จากที่แบมได้คุยกับแฟนคลับ เค้าบอกว่าสำหรับพวกเค้า เราคือแรงบันดาลใจให้เค้า พวกเค้าคือคนที่ตื่นมาแล้วเห็นเราอัพรูปภาพ เห็นหน้าเราแล้วรู้สึกว่ามีกำลังใจในการทำงาน แต่สำหรับคนที่เป็นไอดอล แฟนคลับก็คือกำลังใจของเราเหมือนกันให้เราอยากจะทำตรงนี้ต่อไป ถ้าไม่มีพวกคุณที่คอยสนับสนุนเรา เราก็จะไม่มีทางที่จะมีกำลังใจที่จะทำตรงนี้ต่อไป แบมว่ามันเป็นกำลังใจที่หมุนเวียนกัน
ชูก้า – เหมือนพั้นช์เลยค่ะ (หัวเราะ) เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ เหมือนกับว่าโลกของไอดอลมันเป็นเหมือนอีกโลกหนึ่งไปเลย เราอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง เราต้องทำงาน ต้องใช้ชีวิตในแบบหนึ่ง แล้วไอดอลเป็นเหมือนอีกโลกหนึ่งที่เราสามารถมองเข้าไปแล้วได้รับพลังงานบวก ได้รับกำลังใจ ให้เรากลับไปสู้ในโลกแห่งความเป็นจริงต่อ
เรื่องท้าทายในการเป็น AKIRA-KURØ
พั้นช์ – สิ่งท้าทายที่สุดในการเป็นไอดอลก็คือการเป็นไอดอลนี่แหละค่ะ เพราะเหมือนเราต้องเป็นแบบอย่าง ต้องคีปลุคนิดนึง คือพูดตรง ๆ เลยคือพวกหนูค่อนข้างหยาบคาย (หัวเราะ) พวกหนูก็เป็นเด็กธรรมดา ก็ต้องมีขีดจำกัดในเรื่องการแสดงออกนิดหน่อยค่ะ
อิ่ม – หลัก ๆ ก็น่าจะเป็นเรื่องของการเต้นให้ตามทันคนอื่น เพราะอิ่มจะเป็นคนอ๊องนิดนึง (หัวเราะ) จะตามคนอื่นไม่ค่อยทัน เราก็ต้องกลับบ้านมาซ้อมส่วนตัวของเราด้วย ซึ่งมันก็ค่อนข้างที่จะกินเวลาพักผ่อนนิดนึงค่ะ แต่ก็นั่นแหละ มันก็เพื่อสิ่งที่ดีที่สุดในการเป็นไอดอล
ชูก้า – ด้วยความที่ว่าประเทศไทยตอนนี้วงไอดอลเยอะมาก ไอดอลแต่ละคนก็จะมีเอกลักษณ์ มีอะไรที่เป็นจุดเด่น ซึ่งความยากของการเป็นไอดอลของชูก้าคือการหาจุดยืนให้ตัวเองในการเป็นไอดอล ว่าเราจะเป็นไอดอลแบบไหน เราจะให้คนจำเรายังไง เราต้องหาจุดยืนของตัวเองให้เจอ
แบมบี้ – แบมเป็นโรคซึมเศร้าค่ะ เป็นมาประมาณสามปีแล้ว ก็มีช่วงหนึ่งก่อนเข้า AKIRA-KURØ มันก็หาย แล้วพอเข้า AKIRA-KURØ สักพักหนึ่งเราก็รู้สึกว่าร่างกายเราผิดปกติ เราก็เลยกลับไปหาคุณหมอ คุณหมอก็บอกว่าเรากลับมาเป็น แต่ตอนนี้ที่เพิ่มขึ้นคือเครียดไม่รู้ตัว เวลาคนเราเครียดเราจะรู้ใช่มั้ยคะว่าหงุดหงิดเรื่องอะไร แต่หนูจะไม่รู้ หนูตื่นมาทุกวันโดยที่เหงื่อหนูแตกเต็มเตียง แล้วหนูจะฝันเยอะมาก คุณหมอก็ให้ยาเพิ่มมา สิ่งที่ท้าทายหนูอยู่คือการต่อสู้กับโรคนี้ ในขณะที่เป็นไอดอลไปด้วย