วันที่ 25 สิงคมหาคม 2563 นางสาวไตรศุรี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร จ.ระยอง ได้มีมติเห็นชอบงบประมาณอุดหนุนให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติ เพื่อสนับสนุนการพัฒนางานด้านวัคซีนของประเทศในการเพิ่มศักยภาพการผลิตวัคซีนให้พร้อมรับการผลิตวัคซีนโควิด-19 ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยใช้งบประมาณจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นปีงบประมาณ 2653 วงเงิน 1,000 ล้านบาท ในส่วนของการดำเนินการให้ดำเนินการในเดือน ส.ค. 2563-พ.ย. 2564 สำหรับรายการรายจ่ายในวงเงิน 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 3 ด้าน ได้แก่ 1.การพัฒนาวัคซีนต้นแบบตั้งแต่ต้นน้ำในประเทศไทยชนิด mRNA วงเงิน 365 ล้านบาท 2.การเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมการผลิตวัคซีน ชนิด Viral Vector วงเงิน 600 ล้านบาท 3.การเพิ่มศักยภาพโครงสร้างพื้นฐานด้านสัตว์ทดลอง วงเงิน 35 ล้านบาท สำหรับพิมพ์เขียวการเข้าถึงวัคซีนป้องกัน โควิด-19 ของประชาชนไทย ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2563 โดยดำเนินงานตามยุทธศาสตร์สำคัญ 2 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านการารนำวัคซีนต้นแบบที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศมาทดสอบในประเทศไทย และขอรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศเพื่อใข้ในการผลิต ตามเป้าหมายระยะสั้น 2.ด้านการพัฒนาวัคซีนต้นแบบในประเทศไทยตั้งแต่ต้นน้ำ ตามเป้าหมายระยะกลาง และระยะยาว ที่เป้าหมายการเข้าถึงวัคซีนอย่างรวดเร็ว และพลักดันขีดความสามารถของประเทศในการพัฒนาและผลิตวัคซีน เพื่อให้ประชาชนไทยได้รับวัคซีนโดยเร็วที่สุด อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา สถาบันวัคซีนแห่งชาติได้ให้การสนับสนุนและสร้างความร่วมมือกับสถาบันวิจัยพัฒนา และหน่วยผลิตวัคซีนในประเทศ ตลอดจนสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อส่งเสริมการผลิตวัคซีนใช้ได้เองในประเทศตั้งแต่ต้นน้ำ นอกจากนี้ ยังได้เจรจาสร้างความร่วมมือกับต่างประเทศเพื่อการขอรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตทั้งจากประเทศจีน และ ยุโรป จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า การรับถ่ายทอดเทคโนโลยีจากผู้ผลิตที่มีแนวโน้มจะได้วัคซีนมาใช้ภายในต้นปี 2564 มีความเป็นไปได้ในทางเลือกที่รัฐบาลจะลงทุน เพื่อเป็นการสร้างโอกาสให้ประเทศไทย และช่วยให้สามารถก้าวข้ามสถานการณ์การระบาดได้ เนื่องจากการมีวัคซีนใช้เร็วขึ้น 1 เดือน จะช่วยให้ประเทศสามารถฟิ้นตัวจากอุตสาหรกรรมการท่องเที่ยวได้ประมาณ 250,000 ล้านบาท และยังสร้างผลกระทบเชิงบวกทางเศรษฐกิจ รวมถึงความเชื่อมั่นของประชาชนไทยอีกด้วย