บทความนี้ตั้งใจเขียนขึ้นเพื่อให้คอซีรีส์ Game of Thrones ได้เจาะลึกถึงต้นกำเนิดทาร์แกเรียน ตระกูลที่แม่มังกรภูมิใจนักภูมิใจหนาว่าเป็นเชื้อสายที่มีความชอบธรรมในการสืบทอดบัลลังก์ Iron Throne แต่เหตุผลจะเป็นอะไร สำหรับคนที่ยังไม่เคยศึกษาอย่างจริงจัง สามารถตามอ่านได้ที่นี่ กำเนิดตระกูลทาร์แกเรียน ที่หมู่เกาะแถบ Smoking sea (ทวีป Essos ปัจจุบัน), ย้อนไปเมื่อ 5,000 ปี ก่อนซีรีส์ GoT ได้มีเผ่าโบราณ Valyria หรือชาววาลีเรียนอาศัยอยู่ โดยประกอบอาชีพเลี้ยงแกะ แต่ต่อมาชนเผ่านี้ได้ค้นพบเจอมังกรฝูงใหญ่อาศัยอยู่บริเวณ The Fourteen Fires ใกล้ปล่องภูเขาไฟของเกาะ จากอาชีพเลี้ยงแกะ ชาววาลีเรียนได้หันมาเรียนรู้วิธีการควบคุมมังกร เรียนรู้เวทย์และสร้างอาวุธที่แข็งแรงหรือเหล็กกล้าวาลีเรียนขึ้นมา และอาศัยอยู่ร่วมกับมังกรแบบกินนอนด้วยกันได้เลย โดยทาร์แกเรียนก็คือตระกูลหนึ่งในชนเผ่าวาลีเรียนนี่แหละ วาลีเรียนขยายอิทธิพลในทวีปเอสซอส แน่นอนว่าหลังจากได้ควบคุมอำนาจแห่งมังกรแล้ว ใครจะอยากเลี้ยงแกะและใช้ชีวิตแบบเดิมอยู่เล่า? ชาววาลีเรียนเลยได้เริ่มขยายอาณาเขตของตัวเองออกไปยังทวีปเอสซอส ซึ่งอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดในเอสซอสขณะนั้นก็คือ Ghiscari และแน่นอนว่าไม่มีใครอยากเสียดินแดนของตัวเองแน่ๆ ชาว Ghiscari จึงได้ยกกองทัพไปตีวาลีเรียนอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยได้รับชัยชนะ ชาววาลีเรียนเลยได้ยกทัพของตัวเองไปตีเมือง Ghiscari บ้าง แต่คราวนี้ไม่ใช่แค่กองทัพธรรมดา เพราะชาววาลีเรี่ยนได้พาฝูงมังกรของตัวเองไปเผา Ghiscari จนมอดหายไปทั้งเมือง ถือเป็นการครอบครองเอสซอสโดยสมบูรณ์ เภทภัยครั้งใหญ่ ต่อมาเมื่อประมาณ 500 ปีก่อนซีรีส์ ทะเลแถบสโมคกิ้งที่เป็นที่อยู่ของชนเผ่าวาลีเรียนได้เกิดเภทภัย ภูเขาไฟปะทุครั้งรุนแรง ทำให้หมู่เกาะในแถบนั้นและชนเผ่าวาลีเรี่ยนถูกเผาผลาญทำลายทั้งหมด รวมถึงมังกรด้วย แต่โชคยังดีเพราะก่อนหน้านี้ได้มีเผ่าวาลีเรียนกลุ่มหนึ่งได้ขยายไปอยู่ที่ Dragonstone อันเป็นเมืองหน้าด่านการค้าของวาลีเรี่ยน ทำให้คนกลุ่มนี้รอดพ้นจากเภทภัย และถือเป็นชาวเผ่าวาลีเรียนและมังกรกลุ่มสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ และเมืองต่างๆ ที่เกิดเภทภัยก็กลายเป็นเมืองในหมอกควันที่จอร่า มอร์มอนต์ ไปติดโรคมานั่นเอง วาลีเรียนมองหาดินแดนใหม่ ภายหลังจากที่เกิดเภทภัยครั้งใหญ่ ชาววาลีเรียนกลุ่มที่ยังเหลือรอดอยู่ก็เริ่มมองหาดินแดนใหม่ ซึ่งก็คือการขยายดินแดนเข้ามายังทวีปเวสเทอรอสนั่นเอง โดยผู้นำที่ยังเหลืออยู่ในตอนนั้นก็คือ Aegon Targaryen ก็ได้พาน้องสาวทั้งสองของตัวเองคือ Rhaenys Targaryen และ Visenya Targaryen เข้ามาโจมตีเจ็ดอาณาจักรในดินแดนเวสเทอรอส (ปล. น้องสาวทั้งสองนอกจากจะเป็นน้องแล้วยังเป็นเมียของเอกอนด้วยนะ) และจุดที่เอกอนได้นำกลุ่มของตัวเองมาที่เวสเทอรอส ก็ถูกเรียกว่าเป็น King’s landing นั่นแหละ ต่อมาเอกอน ก็ได้พิชิตทั้ง 6 อาณาจักรบนทวีปเวสเทอรอสมาได้ ยกเว้นอาณาจักร Dorne ที่เอกอนยอมให้ปกครองตัวเองแบบอิสระได้ ที่มาของ Iron Throne Iron Throne สร้างขึ้นมาจากดาบของตระกูลต่างๆ ในเวสเทอรอสที่ตระกูลทาร์แกเรียนต่อสู้มาได้ มาหลอมเป็นบัลลังก์เหล็ก.. อ่านถึงตรงนี้เก้ทแล้วใช่ไหมว่าทำไมแม่มังกรถึงเป็นผู้สืบทอดโดยชอบธรรม ก็เพราะว่าตระกูลตัวเองเป็นคนสร้างบัลลังก์ขึ้นมายังไงล่ะ (แต่ตอนนี้ตัวละครในเรื่องยังไม่รู้กันว่า จริงๆ แล้วสายเลือดทาร์แกเรียนไม่ได้มีแค่แม่มังกรเท่านั้น..) ย้อนกลับไปเรื่องอาวุธที่สร้างจากชนเผ่าวาลีเรี่ยน Valyrian Steel เหล็กกล้าวาลีเรียน เป็นอาวุธที่มีความเชื่อว่าเมื่อนำมาสร้างเป็นดาบจะเป็นดาบที่มีความคมที่สุด และยังเป็นอาวุธที่สามารถฆ่าไวท์ วอร์กเกอร์ได้ด้วย ซึ่งตอนนี้เหลืออยู่ไม่มากแล้ว มาดูกันว่าจนถึง Season 7 มีอาวุธที่สร้างจากเหล็กกล้าวาลีเรียนอยู่กับตัวละครไหนบ้าง Jon Snow ครอบครองดาบ Longclaw : ซึ่งเป็นของประจำตระกูลมอร์มอนต์ ที่จอนได้มาจากลอร์ดคอมมานเดอร์มอร์มอนต์คนก่อนนั้นเอง Brianne ครอบครองดาบ OathKeeper : ดาบนี้ถูกหลอมขึ้นมาใหม่จากดาบ Ice ของเน็ด สตาร์ก โดยเดิมทีเป็นดาบที่ไทวินได้มอบไว้ให้เจมี่ แลนนิสเตอร์ แต่เจมี่ได้ส่งต่อให้กับบริแอน Jaime ครอบครองดาบ Widow’s Wail : ดาบ Ice ของเน็ด สตาร์ก ได้ถูกหลอมใหม่เป็น 2 ด้าม ได้แก่ OathKeeper และ Widow’s Wail โดยถึงเจมี่จะมอบดาบของตัวเองให้บริแอนไปแล้ว แต่เมื่อจอฟฟรี่ตาย เจมี่ก็รับดาบ Widow’s Wail มาครอง Sam Tarly ครอบครองดาบ Heartsbane : จริงๆ ดาบนี้เป็นของประจำตระกูลของ Randyll Tarly แต่แซมได้ขโมยออกมาหลังจากพาสะใภ้ไปเยี่ยมครอบครัว Arya ครอบครองมีดสั้น : มีดนี้เป็นมีดเล่มเดียวกันกับเล่มที่เคยถูกส่งมาฆ่าแบรนตอนเด็กๆ นั่นเอง ซึ่งที่มานั้นใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง ซีรีส์ยังไม่ได้บอกเรามา แต่ก็มีหลายทฤษฎีมากมายเกี่ยวกับที่มาของมีดเล่มนี้ เรียบเรียงข้อมูลจาก moviesoldnew.com เว็บที่มีเนื้อหาลึกมากที่สุดเว็บหนึ่งเลย รักมากค่ะ businessinsider.com
