ถ้าพูดถึง Design Thinking หลายๆคนอาจจะคิดว่าเป็นกระบวนการคิดสร้างสรรค์ที่ใช้ในสายงานออกแบบต่างๆเท่านั้น แต่ในปัจจุบันมีการนำแนวคิดนี้มาปรับใช้มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเพื่อธุรกิจ พัฒนาสังคม หรือแม้กระทั่ง “ชีวิต” ของเราเอง
Design thinking คือเครื่องมือค้นหาความต้องการของลูกค้าเพื่อนำไปออกแบบสินค้าให้ตรงความต้องการของลูกค้ามากที่สุด ชีวิตเราเองก็ต้องการ Design thinking มาช่วยไม่ต่างกัน บางครั้งเราไม่เคยรู้เลยว่าตัวเราเองต้องการอะไร ไม่มีเป้าหมายในชีวิต จนไปถึงทำไมเราตอนนี้ถึงไม่มีความสุขกับชีวิตเท่าที่ควรจะเป็น
วันนี้เราจึงอยากแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับแนวคิดนี้มากยิ่งขึ้น ว่ามันจะช่วยปรับเปลี่ยนชีวิตเราให้ดีขึ้นได้ยังไง
ตั้งคำถามกับตัวเอง เราเข้าใจตัวเองมากแค่ไหน
จริงๆแล้วเรารู้จักตัวเองดีพอหรือยังว่าต้องการมีชีวิตแบบไหน และจะทำอย่างไรให้ชีวิตของเรามีความหมายมากขึ้น มาเช็คอัพชีวิตของเรากัน โดยตั้งคำถามกับตัวเองเป็น 2 พาร์ท
- Work View เข้าใจตัวเองและสิ่งที่เราทำอยู่ในปัจจุบัน เช่น การตั้งคำถามก่อนว่า เราเป็นใคร? ทำงานอะไรอยู่? ทำไมเราถึงทำงานนี้? มันมีความหมายอะไรกับเรา? แล้วเราชอบงานที่ทำอยู่มั้ย? แล้วงานที่ดีและมีคุณค่ากับเราคืองานแบบไหน?
- Life View เป้าหมายและมุมมองที่เรามีต่อชีวิต เช่น การตั้งคำถามกับตัวเองว่าเป้าหมายในชีวิตเราคืออะไรกันแน่? เราให้ความสำคัญกับอะไรกับชีวิตมากที่สุด? เราชอบชีวิตตัวเองมั้ย?
เมื่อเรานำคำตอบ 2 พาร์ทนี้มาดูจะทำให้เราได้เห็นตัวเองมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นจะทำให้เราได้เห็นว่าชีวิตกับการทำงานของเรามันไปด้วยกันมั้ย ถ้าเป้าหมายในชีวิตไม่ตรงกับงาน เราก็จะได้นำไปปรับในข้อต่อไป
ทบทวนว่าเราให้ความสำคัญกับอะไรบ้าง
จาก Current Life’s Dashboard เครื่องมือหนึ่งในหลักสูตร Designing your life ของ บิล เบอร์เนตต์ (Bill Burnett) และเดฟ อีวานส์ (Dave Evans) ได้แสดงให้เห็นถึง 4 เรื่องที่เราควรให้ความสำคัญในชีวิต นั่นก็คือ การทำงาน งานอดิเรก ความรัก และสุขภาพ สิ่งนี้จะช่วยให้เราได้ทบทวนว่าที่ผ่านมาเราให้ความสำคัญกับอะไรบ้าง มากแค่ไหน กี่เปอร์เซ็นต์ และเราอยากจะปรับอะไรให้ดียิ่งขึ้นบ้าง
ไม่จำกัดกรอบความคิดชีวิตตัวเอง
เมื่อเราทำความเข้าใจกับตัวเองแล้ว อีกสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนแปลงของตัวเองคือเรามักจะมีความคิดที่ว่า ‘เป็นไปไม่ได้หรอก’ ทำให้เกิดการปิดกั้นโอกาส ปิดกั้นตัวเอง เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งไปคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ให้จินตนาการไปเลยว่าเราอยากจะเป็นอะไร ทำอะไรบ้าง
เช่น อยากเป็นบล็อกเกอร์ท่องเที่ยว อยากมีบาร์เท่ๆเป็นของตัวเอง มันจะทำให้เราเห็นว่าระหว่างทางเราต้องทำอะไรบ้างจึงจะไปถึงจุดนั้น
สร้างแผนให้กับชีวิตตัวเอง
ชีวิตที่มีเป้าหมายเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เราใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างมีประสิทธิภาพ อีกเครื่องมือหนึ่งในหลักสูตร Designing your life อีกเช่นกันคือ Odyssey Plan เป็นแนวคิดในการวางแผนชีวิต 3 แบบแผนภายใต้เงื่อนไขที่ต่างกัน
- แผนที่ 1 วางแผนเกี่ยวกับชีวิตปัจจุบัน ทำอะไรอยู่? แล้วจะทำอะไรเพิ่ม มีแผนจะทำอะไรในระยะใกล้ๆบ้าง
- แผนที่ 2 เป็นเหมือนแผนสำรอง ถ้าไม่มีแผนแรกอยู่ในชีวิตอีกต่อไป เราจะเลือกทำอะไรแทน
- แผนที่ 3 แผนชีวิตที่ไม่มีปัจจัยใดๆมาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเงินหรือค่านิยม เราอยากมีชีวิตแบบไหน อยากทำอะไรในชีวิต
จากนั้นนำสิ่งต่างๆในแต่ละแผนมาเรียงเป็นไทม์ไลน์ตามระยะเวลาดูว่าในทุกปีเป้าหมายเรามีอะไรบ้าง จะช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของเป้าหมายแต่ละแบบในอนาคตและประเมินได้ว่าสิ่งที่คิดแต่ละอย่างจะเป็นไปได้จริงมากน้อยแค่ไหน
ลงมือเพื่อไปสู่เป้าหมาย
ในแง่ดีไซน์ ขั้นตอนนี้อาจจะดูเหมือนการทดลองสร้างของที่เราคิดขึ้นมา แต่ในการออกแบบชีวิตของเรานั้นคือการเริ่มลงมือ เริ่มหาวิธีไปสู่เป้าหมายของแผนที่เราเลือก อย่างลองหาคนที่ทำสิ่งที่เราอยากทำอยู่แล้วพูดคุยกับเขา
เราจะได้ข้อคิดแนะนำว่าเขาไปถึงจุดนั้นได้ยังไงและสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเอง หรือยิ่งไปกว่านั้นถ้าเราได้ลองมีประสบการณ์ในการทำสิ่งที่เราไม่เคยทำก็จะยิ่งดีขึ้นไปอีกจะทำให้เรารู้ตัวมากขึ้นว่ามาถูกทางมั้ย มันใช่ตามแบบแผน โอเคกับชีวิตเรารึเปล่านะ
สรุปแล้วแนวคิด Design Thinking ที่นำมาปรับใช้กับการออกแบบชีวิตของเรานั้นจะทำให้เราได้เข้าใจชีวิตตัวเอง เห็นแผนในชีวิตที่ชัดขึ้น และลงมือทำเพื่อไปสู่เป้าหมายที่ตัวเองต้องการนั่นเองงง ทีนี้ทุกคนก็ลองมาออกแบบชีวิตของตัวเองให้ดีขึ้นกันเถอะ 🙂
ที่มา : Designing Your Life: How to Build a Well-Lived, Joyful Life by Bill Burnett & Dave Evans