Mango Zero

สรุปเหตุการณ์ คลิปเด็กอนุบาลสารสาสน์ราชพฤกษ์ ถูกครูลงโทษโหดเกินกว่าเหตุ

 

กลายเป็นเรื่องเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว เมื่อข่าวฉาวกรณีเด็กอนุบาลโรงเรียนสารสาสน์ราชพฤกษ์ ถูกครูพี่เลี้ยงลงโทษด้วยการทำร้ายร่างกายอย่างโหดเหี้ยม ไม่ได้จบแค่ในห้องเรียนที่เกิดเหตุ

 

เท้าความสักหน่อย สำหรับคนที่เพิ่งมาตามข่าว – ช่วงหลายวันที่ผ่านมา มีการแชร์คลิปครูพี่เลี้ยงชั้นอนุบาล 1 โรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ ทราบชื่อว่า ‘จุ๋ม’ ทำร้ายนักเรียนในชั้นอย่างรุนแรง ทั้งผลัก โขกหัว ทึ้งผม หรือตีด้วยไม้กวาด โดยที่ไม่มีใครในเหตุการณ์นี้ห้ามปรามครูผู้ลงมือ แม้แต่คนเดียว

 

เกิดเป็นกระแสวิจารณ์การกระทำของครูอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะคนที่มีลูกในวัยใกล้เคียงกับเด็กที่ถูกลงโทษ ว่านี่มันอะไรกันครับเนี่ย โหดร้ายทารุณเกินไปแล้ว

 

ร้อนถึงผู้อำนวยการโรงเรียนดังกล่าว ต้องออกสำสั่งย้ายคุณครูผู้ลงมือไปสอนนักเรียนชั้นอื่น ก่อนจะปลดให้พ้นสภาพบุคลากรครูในเวลาต่อมา

 

เรื่องยังแดงต่อเนื่อง เมื่อมีคนขุดว่าครูคนดังกล่าวไม่มีใบประกอบวิชาชีพครู จบเพียงชั้นม.6 แต่มาทำงานเป็นครูพี่เลี้ยง 8 ปีแล้ว ซึ่งครูก็ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง ซึ่งเธอก็รู้สึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองทำ ขอโทษผู้ปกครองเด็กจากใจ และที่ทำไปก็เพราะเครียดปัญหาครอบครัว ทว่าก็เชื่อว่าภาพในคลิปดูรุนแรงเกินจริง

 

แต่พ่อของเด็กก็ยืนกรานว่า มันแรงเกินจริงจนรับไม่ได้ ยังไงก็จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด และเชื่อว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่ลูกตัวเองโดนกระทำ เพราะตอนนี้ลูกนอนละเมอว่า อย่าทำ กลัว ทั้งยังเริ่มก้าวร้าว ตบหน้าและต่อว่าพ่อ

 

กลุ่มผู้ปกครองของนักเรียนอีกกว่า 200 ชีวิต ก็รวมตัวกันเข้าพบผู้บริหารโรงเรียนเพื่อขอดูกล้องวงจรปิด เพราะหวั่นลูกตัวเองจะถูกทำร้ายเหมือนในรายนักเรียนในคลิป

 

ซึ่งคลิปความรุนแรงที่เกิดกับเด็กโรงเรียนนี้ไม่ได้มีแค่หนึ่งคลิป ยังมีคลิปครูผู้ชายชาวฟิลิปปินส์ เดินชี้หน้าด่าเด็ก กระชากแขน แล้วดึงตัวเด็กไล่ให้ไปนอกห้อง ที่พีคคือ ก็เป็นห้องเดียวกันกับครูคนดังนั่นแหละ โดยที่ครูอีก 2 คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างนิ่งเฉย ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

เมื่อเรื่องบานปลาย โรงเรียนจึงให้ครูที่ปรากฏในคลิปพ้นสภาพจากโรงเรียน 4 คน ประกอบด้วยครูประจำชั้น, ครูชาวฟิลิปปินส์, ครูศิลปะ และครูจุ๋ม

 

กองอำนวยการโรงเรียนในเครือสารสาสน์ ก็ออกหนังสือแจ้งว่า โรงเรียนมีนโยบายไม่ให้ลงโทษนักเรียนโดยการตีหรือทำร้ายร่างกาย ให้ผู้บริหารอบรมครูให้ดูแลนักเรียน “ด้วยความรัก” ถ้าผู้บริหารระดับหัวหน้าหรือผู้อำนวยการหละหลวม ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก จะมีบทลงโทษสูงสุดถึงขั้นไล่ออก

 

ด้านการดำเนินคดีตามกฎหมาย ผู้ปกครองเด็กที่เข้าแจ้งความกับตำรวจ ก็สงสัยในท่าทีของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าดูพิรุธกับเคสนี้ยังไงชอบกล ผู้ปกครองกล่าวว่า ทุกวันนี้ครูจุ๋มยังใช้ชีวิตข้างนอกปกติ ทั้งที่ควรถูกจับตั้งแต่วันแรกที่คลิปออกไปแล้ว แล้วความปลอดภัยของเด็กคืออะไร กฎหมายไม่เคยคุ้มครองคนที่โดนกระทำเลย

 

ไม่ใช่แค่กฎหมาย กฎหมู่ก็ด้วย เพราะตั้งแต่มีกระแสวิจารณ์ครูจุ๋ม บรรดาเพื่อนร่วมวิชาชีพครู “ส่วนหนึ่ง” ก็ออกมาแสดงท่าทีสนับสนุนครูจุ๋ม เช่นว่า ถ้าเราไม่ช่วยกันปกป้องเพื่อนครูแล้วใครจะช่วยเรา หรือยังเชื่อว่าไม้เรียวจะสร้างเด็กให้เป็นคนดีได้

 

ซึ่งจะสร้างได้จริงมั้ยก็อีกเรื่องนึง แต่ที่โรงเรียนนี้สร้างได้แน่ๆ คือ “กำไร”

 

เมื่อมีการเปิดเผยข้อมูลโดยเพจ SME From Zero to Hero ซึ่งอ้างอิงจากงบกำไรขาดทุนที่นำส่งกับกรมธุรกิจการค้า เมื่อ 2 ปีก่อน ว่านี่คือ “เครือโรงเรียน” ที่ทำกำไรมากที่สุดในประเทศหลายปีติดต่อกัน ตั้งแต่ 2556 ถึง 2559 (ตามข้อมูลที่มีการเปิดเผย) โดยปี 59 ทำกำไรสุทธิถึง 439,428,019 บาท

 

สวนทางกับสวัสดิการทางการศึกษาที่นักเรียน ผู้ปกครอง หรือแม้แต่ครูของโรงเรียนนี้ได้รับ (วิชาการความรู้ อาคารสถานที่ กิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้) วัดจากคอมเมนต์ใต้โพสต์นั้น ที่มีความเห็นในเชิงลบมากกว่าบวก

 

 

เช่น “ไม่กำไรเยอะสุดได้ไง ห้องเรียนก็พัดลม คอมพิวเตอร์ก็เก่า ๆ เรียนไปซ่อมไป” หรือ “รายได้เยอะแบบนี้ ช่วยมาซ่อมห้องน้ำ ชั้น 4 ตึก1 ทีครับ ห้อง 4 มีดอกไม้งอกด้วย” เป็นต้น

 

 

เลยเกิดเป็นคำถามว่า โรงเรียนนำเงินจำนวนมากนี้ไปทำอะไร

 

มันควรจะเป็นเงินที่นำไปทำนุบำรุงอาคารสถานที่ พัฒนากระบวนการเรียนการสอน ปรับปรุงหลักสูตรวิชาต่างๆ หรือใช้เพื่อคัดเลือกบุคลากรที่เก่งและดีจริงๆ รวมถึงอีกมากมายหลายส่วนที่ส่งเสริมให้โรงเรียนกลายเป็นสถาบัน – ไม่ใช่หรอกหรือ?

 

เรื่องครูจุ๋มจึงไม่ใช่เรื่องจุ๋มจิ๋มที่มองข้าม เพราะมันกำลังสะท้อนภาพรวมของการศึกษาไทยที่ชำรุดบิดเบี้ยวกันมาช้านาน เป็นเหมือนฝุ่นที่ซุกอยู่ใต้พรม ไม่มีการกวาดออกมาทิ้ง ปล่อยไว้จนสกปรกเรื้อรัง

 

ยิ่งการทำร้ายร่างกายเด็กโดยใช้คำว่า ‘ครู’ เป็นใบอนุญาต ยิ่งเป็นปัญหาที่ไม่ควรเกิดอีก

 

เพราะโลกมันพัฒนาไปไกลซะจนการใช้ไม้เรียวสอนเด็ก เป็นสิ่งที่สุดแสนจะล้าหลังและไม่ควรทำซ้ำอีกแล้ว

 

จนถึงตอนนี้ เรื่องของครูจุ๋ม โรงเรียนสารสาสน์ราชพฤกษ์ และการทำร้ายร่างกายเด็ก ยังดำเนินต่อโดยไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดอยู่ตรงไหน

 

 

ก็ได้แต่หวังให้มันเป็นจุดสิ้นสุดของปัญหาในภาพใหญ่ของการศึกษาไทยด้วย