เราเป็นคนชอบเรื่องอาหารการกิน ไม่ว่าจะฟีดส์ในเฟซบุ๊กที่เพื่อนชอบแชร์รีวิวนู่นนี่มาแปะๆ ไว้ในไทม์ไลน์ หรือจะเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับอาหารก็มักจะทำให้เราหยุดเพื่ออ่านได้ รวมถึงหนังและซีรีส์ด้วย ซึ่งในที่นี้เราอยากจะมาแนะนำซีรีส์ Chef’s Table ของ Netflix โดยซีรีส์สารคดีนี้จะมีการถ่ายทอดเรื่องราวของเชฟต่างๆ ทั่วทุกมุมโลกให้คนดูได้ทึ่ง และมันไม่ใช่แค่เรื่องอาหารเท่านั้นเพราะเราจะเหมือนได้ดูชีวประวัติของเชฟต่างๆ รวมถึงแนวคิดและแพชชั่นอันแรงกล้าในตัวเขาด้วย 1. Alinea โดยเชฟ Grant Achatz (Chicago, United States) บางคนอาจแสวงหาร้านอาหารที่รสชาติเป็นเลิศเพื่อเติมเต็มความสุขในชีวิต แต่สำหรับเชฟ Grant Achatz แล้ว เขากลับมองว่าอาหารไม่ใช่แค่เรื่องของรสชาติ แต่มันคือศิลปะ เพราะเชฟทุกคนสามารถทำอาหารที่มีรสชาติดีได้อยู่แล้ว แต่จะมีสักกี่คนที่ใส่ประสบการณ์ที่เต็มเปี่ยมลงไปให้กับผู้ที่ได้มาทาน Grant Achatz แสวงหาการสร้างประสบการณ์ที่ดีบนโต๊ะอาหารให้กับลูกค้า เขาไม่ได้มองแค่ช่วงเวลาระหว่างทานเท่านั้น แต่เขายังเล่นกับประสบการณ์ของผู้มาเยือนตั้งแต่เปิดประตูเข้าร้านมาเลย (ถ้าอยากรู้ว่าเป็นอะไรลองไปดูกันต่อนะ) เมนูอาหารต่างๆ ถูกคิดขึ้นมาจากประสบการณ์ที่อยากให้ลูกค้าได้รับซะเป็นส่วนใหญ่ อย่างเช่นลูกโป่งใบนี้ ถ้าคุณดูผ่านๆ อาจคิดว่าเป็นลูกโป่งสำหรับประดับร้าน? แต่ไม่ใช่..เพราะลูกโป่งลูกนี้ทำมาจากน้ำตาล และยังสามารถรับประทานและลอยได้อีกด้วย! คิดดูสิถ้าคุณตั้งใจไปกินอาหารร้านไหนสักร้าน แต่กลับได้รับการบริการที่เกินความคาดหวังไปอีก มันคงเป็นมื้ออาหารที่ไม่รู้ลืม 2. Blue Hill Restaurant โดยเชฟ Dan Barber (United States) บลูฮิลล์ (Blue Hill) เป็นไร่เกษตรกรรมในแมนฮัตตันที่มี Dan Barber เป็นเจ้าของ โดยคอนเสปต์ของร้าน Blue Hill Restaurant ก็คือการนำวัตถุดิบจากสวนของตัวเองมาให้ลูกค้าได้ทานนั่นเอง โดยเขามองว่าอาหารที่ดีย่อมมาจากวัตถุดิบที่ดีด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว เช่นเดียวกันกับพ่อครัวที่เก่ง ที่นอกจากจะปรุงรสอาหารได้อร่อยยังต้องมีเซนส์ในการหาวัตถุดิบที่ดีเป็นด้วย ดังนั้นเอกลักษณ์ของร้านนี้เลยเน้นไปที่ตัววัตถุดิบ ที่มีการคิดค้นและทำการวิจัยไปถึงต้นตอของพืชพรรณแต่ละชนิดเลยทีเดียว บางเมนูของที่ร้าน ก็เป็นผักสดๆ ให้ลูกค้าได้ลองชิมและหาความต่างกันตรงหน้าเลย แต่ถึงจะเป็นผักชนิดที่ว่าเราคุ้นเคยกันดี ลึกๆ แล้วมันมีการคิดค้นให้รสชาติออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด เรียกว่าเป็นการพัฒนารสชาติอาหารตั้งแต่ต้นสายกันเลย 3. Atelier Crenn and Petit Crenn โดยเชฟ Dominique Crenn (San Francisco, United States) Dominique Crenn เป็นเชฟหญิงคนแรกในสหรัฐอเมริกาที่ได้มิชลินระดับ 2 ดาว เมนูที่ร้านของเธอจะถูกตั้งชื่อและนำเสนอในแบบที่สวยงามโดยจะมีบทกวี 13 บรรทัดแนบมาด้วยเป็นการแนะนำเมนูอาหารนั้นๆ เดิมทีเธอเป็นเด็กกำพร้า และถูกรับมาเลี้ยงโดยสามี-ภรรยาชาวฝรั่งเศส ทั้งพ่อและแม่ที่รับเธอไปเลี้ยงต่างก็มีส่วนทำให้เธอได้ผจญภัยและเปิดโลกทัศน์ไปกับเรื่องอาหาร เธอมักจะได้ตามพ่อของเธอที่เป็นเพื่อนกับประธานาธิบดีชาวฝรั่งเศส (Charles de Gaulle) ไปทานดินเนอร์ในร้านอาหารฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียง ต่อมาเมื่อโตขึ้นเธอก็ได้เปิดร้านอาหารและได้รับรางวัล The Best female Chef ในปี 2016 จาก world’s 50 Best Restaurant awards ร้านของเธอนั้นนอกจากจะเป็นร้านที่อร่อยและจัดจานหน้าตาออกมาดูสวยงาม น่ามากินสักครั้งในชีวิตแล้ว เมนูต่างๆ ที่คิดขึ้นล้วนมาจากความทรงจำในวัยเด็กของเธอที่อยู่ที่เมือง Brittany ด้วย เมนูต่างๆ เหมือนเป็นการพาคนทานเข้าไปรู้สึกเสี้ยวหนึ่งของตัวตนเธอผ่านอาหารและบทกวีที่เธอเขียนถึง