รถไฟฟ้าบีทีเอสนับว่าเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ในการเดินทางของคนกรุงเทพฯ เพราะทั้งสะดวกและเวลาที่พอคำนวณได้ แต่เมื่อวานนี้เอง (28 สิงหาคม 2560) ได้มีการประกาศการปรับราคาขึ้นของค่าโดยสารทั้งแบบเที่ยวเดียวและแบบเที่ยวเดินทาง 30 วัน โดยจะเริ่มใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม นี้ โดยจะขึ้นราคาเท่าไหร่บ้างนั้นมาดูกัน เมื่อวานนี้ (28 สิงหาคม 2560) นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ได้เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 บริษัทฯ จะปรับราคาค่าโดยสารที่เรียกเก็บสำหรับรถไฟฟ้าบีทีเอสในส่วนของเส้นทางสัมปทานระยะทาง 23.5 กิโลเมตร สายสุขุมวิท สถานีหมอชิต – สถานีอ่อนนุช และสายสีลม สถานีสนามกีฬาแห่งชาติ – สถานีสะพานตากสิน แต่ไม่ขึ้นราคาส่วนต่อขยาย จากเดิมราคาเริ่มต้น 15 บาท – 42 บาท เป็น >> 16 บาท – 44 บาท โดยจะเรียกเก็บสถานีแรก 16 บาท สองสถานี ราคา 23 บาท สามสถานี ราคา 26 บาท สี่สถานี ราคา 30 บาท ห้าสถานี ราคา 33 บาท หกสถานี ราคา 37 บาท เจ็ดสถานี ราคา 40 บาท แปดสถานีเป็นต้นไป ซึ่งอัตราราคาใหม่นี้เพิ่มขึ้นจากราคาเดิม 1- 3 บาท (ประมาณ 5%) ซึ่งยังอยู่ต่ำกว่าเพดานอัตราค่าโดยสารตามสัญญาสัมปทานซึ่งอยู่ระหว่าง 20.11 – 60.31 บาท การปรับอัตราค่าโดยสารครั้งนี้บริษัทฯ จะปรับราคาจำหน่ายเที่ยวเดินทาง 30 วัน ทั้งสำหรับประเภทบุคคลทั่วไปและนักเรียนนักศึกษา ซึ่งเป็นบัตรโดยสารราคาพิเศษด้วย โดยปรับขึ้นเที่ยวละ 1 บาท ดังนี้ สำหรับบุคคลทั่วไป 50 เที่ยว 1,300 บาท เฉลี่ยเที่ยวละ 26 บาท 40 เที่ยว 1,080 บาท เฉลี่ยเที่ยวละ 27 บาท 25 เที่ยว 725 บาท เฉลี่ยเที่ยวละ 29 บาท 15 เที่ยว 465 บาท เฉลี่ยเที่ยวละ 31 บาท สำหรับนักเรียนนักศึกษา 50 เที่ยว 950 บาท เฉลี่ยเที่ยวละ 19 บาท 40 เที่ยว 800 บาท เฉลี่ยเที่ยวละ 20 บาท 25 เที่ยว 550 บาท เฉลี่ยเที่ยวละ 22 บาท 15 เที่ยว 360 บาท เฉลี่ยเที่ยวละ 24 บาท นายสุรพงษ์ กล่าวว่า บริษัทฯ ได้มีการปรับราคาค่าโดยสารครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2556 ผ่านมา 4 ปีแล้วที่บริษัทฯ ยังไม่ได้ปรับราคาค่าโดยสารพื้นฐานที่เรียกเก็บซึ่งสัญญาสัมปทานกำหนดให้บริษัทฯ สามารถปรับค่าโดยสารได้ทุก 18 เดือน แต่ต้องไม่เกินเพดานอัตราค่าโดยสาร บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นในตลอด 4 ปี บางรายการสูงจึ้นกว่า 20% เช่น ค่าบำรุงรักษา เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนเพิ่มสิ่งอำนวยตวามสะดวกและการบริการ อาทิ เช่น การสั่งซื้อรถไฟฟ้าเพิ่มอีก 46 ขบวน ๆ ละ 4 ตู้ รวมเป็น 184 ตู้ ซึ่งจะเริ่มทยอยนำเข้ามาในประเทศไทยประมาณต้นปีหน้า การปรับปรุงระบบตั๋วโดยสารซึ่งจะเปลี่ยนตู้จำหน่ายบัตรโดยสารเป็นระบบสัมผัส (Touch Screen) ทั้งหมด และสั่งตู้จำหน่ายตั๋วโดยสารที่รับธนบัตรด้วยมาติดตั้งในระบบเพิ่มขึ้นอีก 50 ตู้โดยจะเริ่มทยอยติดตั้งในปี 2561 ซึ่งปัจจุบันมีอยู่แล้วประมาณ 50 ตู้กระจายอยู่ในระบบ โดยระหว่างที่ตู้ยังมาบริการไม่ทั่วถึง จะจัดเจ้าหน้าที่จำหน่ายตั๋วโดยสารประเภทเที่ยวเดียวในสถานีที่มีจำนวนผู้โดยสารมากในช่วงเวลาเร่งด่วน เช่น ที่สถานีหมอชิต สถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สถานีสยาม โดยจะใช้ห้องแลกเหรียญให้มีการจำหน่ายบัตรเที่ยวเดียวด้วย และจะมีการตั้งโต๊ะจำหน่ายตั๋วโดยสารเที่ยวเดียวทุกราคาที่สถานีพญาไท สถานีสยาม สถานีอโศก เป็นต้น โดยจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2560 เป็นต้นไป ทั้งนี้อัตราค่าโดยสารใหม่จะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 เป็นต้นไป แต่ทั้งนี้บริษัทฯ จะยังคงราคาเดิมเป็นเวลา 6 เดือน จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2561 สำหรับผู้ใช้บัตรแรบบิทประเภทเติมเงิน ดังนั้นบริษัทฯ จึงอยากเชิญชวนผู้โดยสารที่เคยซื้อบัตรโดยสารเที่ยวเดียวเปลี่ยนมาใช้บัตรเติมเงินเพื่อความสะดวก รวดเร็ว ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ส่วนผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ยังจะได้รับส่วนลดครึ่งราคาจากอัตราราคาใหม่เมื่อใช้บัตรแรบบิทสำหรับผู้สูงอายุโดยสามารถเดินทางได้ไม่จำกัดเวลา อัตราค่าโดยสารบีทีเอสตั้งแต่เปิดให้บริการในวันที่ 5 ธันวาคม 2542 บริษัทได้จัดเก็บในราคา 10 – 40 บาท และได้ปรับครั้งต่อมา 1 ธันวาคม 2549 เป็น 15 – 40 บาท ได้ปรับครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2556 เป็น 15 – 42 บาท โดยการปรับราคาในวันที่ 1 ตุลาคม 2560 นี้จะเป็นการปรับราคาในครั้งที่ 3 ที่มา : Matichon Online