เมื่ออายุมากขึ้น ประสบการณ์ต่างๆ ในชีวิตจะช่วยหล่อหลอมให้เรารู้ว่าอะไรควรทำ หรือไม่ควรทำ, อะไรควรละทิ้งหรืออะไรควรเก็บเอาไว้ ลองมองย้อนหรือมองดูตัวเองตอนนี้ว่ามีนิสัยอะไรที่คอยรั้งความสุขของเราไว้หรือเปล่าเราขอรวบรวมนิสัยที่ผู้เชี่ยวชาญและคนที่อายุเลยเลข 3 ที่ประสบว่ามันรั้งควาสุขของเราไว้ แน่นอนว่า ใน 12 ข้อ เป็นเพียงทางเลือกที่เราอยากให้ทุกคนลองหันมาใส่ใจกับ ตัวเอง, ความสัมพันธ์, สุขภาพ และ ความสุข มากขึ้น ลองดูว่าเห็นด้วยไม่เห็นด้วยกับอันไหน และสิ่งไหนควรเปลี่ยนและปรับให้เข้ากันแล้วแต่คนแต่ละคน
ขอให้ทุกคนมีความสุขในทุกวันไม่ว่าจะมีอายุ 20, 30 ,40 หรือเท่าไหร่ก็ตาม : D
อยู่เพื่อวันหยุด เสาร์ – อาทิตย์
ทางแก้ : วางแผนสิ่งที่เราอยากทำในวันธรรมดา อาจเป็นช่วงเช้าหรือช่วงเย็นก็ได้ เช่น นัดเพื่อนทานข้าวเช้าดีๆ , ไปทานร้านอาหารเปิดใหม่สังสรรค์กับเพื่อนตอนเย็น เป็นต้น หรืออาจหากิจกรรมที่สนฝจทำหลังเลิกงานบ้าง เช่น วาดรูป, ออกกำลังกาย, เล่นดนตรี ฯลฯ ให้วันธรรมดาพิเศษขึ้นมา
เสียเงินมากมายไปกับเสื้อผ้าคุณภาพแย่ๆ
ลอร่า Operations Officer จากลอนดอน ประเทศอังกฤษ กล่าวไว้ว่า เธออยากหยุดซื้อเสื้อผ้าที่สนับสนุนแฟชั่นที่มาไวไปไว เพราะเสื้อผ้าส่วนใหญ่ที่เราซื้อเพราะเหตุผลแบบนี้เราจะได้ใส่ประมาณ 7 ครั้งและเราก็จะโยนทิ้งมันไปอยู่ในกองเสื้อผ้ามุมห้อง เราจึงอาจลองลงทุนกับเสื้อผ้าที่เลือกด้วยความปราณีตมากขึ้น การเลือกซื้อเสื้อผ้าที่ถูกรสนิยมกับเราและมีคุณภาพที่ดีขึ้นจะทำให้เราใส่ได้มากกว่า
ไม่ยอมเก็บเงิน
การเก็บเงินเป็นสิ่งสำคัญ สำคัญ สำคัญ!!!! มีผู้เชี่ยวชาญเคยบอกว่าเราควรเก็บเดือนละ 10-15% ของรายได้เมื่อเราอายุ 20 ขึ้นไป และเมื่อ 30 ขึ้นไป เราควรเก็บเพิ่มให้ได้ 15-25% ลองใช้ระบบตัดเงินในบัญชีอัติโนมัติดูถ้าคิดว่าจะไม่สามารถคุมเงินได้ หรือใครมีวิธีแบบไหนสะดวกในแบบของตัวเองก็ทำกันเถอะ เงินเก็บมันสำคัญจริงๆ น้าาาา
ตอบ “ใช่” ทั้งๆ ที่ในใจ คือ “ไม่”
บางครั้งเรามักตอบสนองต่อสิ่งอื่นที่ผู้คนต้องการไวเกินไป โดยไม่คิดถึงสิ่งที่ตัวเองต้องการ ลองคิดถึงตัวเองดูบ้างว่าเราก็มีความต้องการ มีสิ่งที่ต้องทำ เรียงลำดับความสำคัญดีๆ หากคุณมีงานด่วนเย็นนี้ แต่จู่ๆ เพื่อนสนิทขอร้องให้ไปช่วยดูบ้าน คุณก็ต้องชั่งน้ำหนักสิ่งที่ควรไม่ควรให้ดี ไม่ใช่ว่าตอบ “ใช่” ไปเสียหมด จะทำให้คุณไม่ได้อะไรเลย
เวลานอนไม่แน่นอน
การนอนไม่เป็นเวลา และนอนไม่พอเป็นสาเหตุของโรคที่ตามมาอีกมากมาย เมื่อเราอายุมากขึ้นระบบในร่างกายจะเริ่มรวนและทำงานไม่เก่งเหมือนเคยย เราควรหันมาดูแลตัวเองให้ยิ่งไวยิ่งดีก่อนโรคร้ายจะถามหา
ทะเลาะกับคุณพ่อ คุณแม่
บางครั้งเมื่อคุณพ่อ คุณแม่อายุมากขึ้น อาจมีความงอแง จนเราอาจหงุดหงิดขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะเจอกันต่อหน้าหรือผ่านทางโทรศัพท์ เราควรเข้าอกเข้าใจพวกท่านเปิดใจให้กว้างพยายามอยู่กับท่านให้ได้มากที่สุด ดูแลด้วยความเคารพ เพราะพ่อแม่นี่แหละคือความรักในชีวิตที่เราไม่ต้องมองหาจากที่ไหน
เช็กมือถือระหว่างกินข้าวเย็น
ไม่ว่าจะเป็นโต๊อาหารเย็นที่คุณกำลังทานกับครอบครัว ,เพื่อน หรือแม้กระทั่งคนรัก เราควรใช้เวลาในช่วงนั้นกับการมีช่วงเวลาดีๆ ร่วมกัน พยายามหลีกเลี่ยงการนำมือถือขึ้นมาเลื่อนฟีดอ่าน หรือตอบแชทที่ยังไม่รีบร้อน เพราะกิจกรรมเหล่านั้นเป็นสิ่งที่สามารถรอได้
ไม่ออกกำลังกาย
ไมจำเป็นต้องมีเป้าหมายยิ่งใหญ่อย่างวิ่งมาราธอน หรือการมีกล้ามเนื้อเป็นมัด เมื่ออายุมากขึ้นเรื่อยๆ ระบบในร่างกายจะไม่เหมือนเก่าการออกกำลังกายจะช่วยรักษาาสมดุล และทำให้เราสดชื่นแข็งแรงขึ้น หากไม่ชอบไปฟิตเนสหรือเข้ายิม ลองเลือกกีฬาหรือการขยับตัวที่เหมาะสมกับเรา อาจเป็นการลองเดินให้มากขึ้น โดยใช้เวลา 30 นาทีต่อวัน อาทิตย์ละ 3 ครั้ง เป็นต้น
เทนัดในนาทีสุดท้าย
เมื่อตัดสินใจว่าเย็นนี้จะไปเจอเพื่อนสนิทสมัยมหาลัยในร้านโปรด แต่พอเวลาใกล้เลิกงานกลับขี้เกียจขึ้นมาซะงั้น หากไม่มีเหตุผลสำคัญจริงๆ อย่าเทนัดจนเป็นนิสัย มีผลวิจัยออกมาว่า การออกไปใช้เวลากับเพื่อนๆ ช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้นและลดความเครียดได้ด้วยนะ
พยายามเอาใจคนอื่นตลอดเวลา
ไม่ตอบสนองความต้องการของตัวเองแต่ไปเติมเต็มความต้องการของตัวเอง จริงอยู่ที่การให้เป็นสิ่งที่ดี แต่เรื่องบางเรื่องเราอาจต้องลองเงี่ยหูฟังใจเราดูว่าสิ่งที่คนอื่นต้องการมันขัดกับสิ่งที่เราปรารถนาหรือไม่ ? ลองตามใจตัวเองบ้าง ชั่งน้ำหนักสิ่งโดยรอบให้ดี
เปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับคนอื่น
ยอมรับว่าเส้นทางของแต่ละคนนั้นต่างกัน การเลื่อนฟีดในโลกออนไลน์เจอความสำเร็จของเพื่อนๆ หรือคนรู้จักแล้วนำเอามาเปรียบเทียบกับตัวเองว่าทำไมเราไม่ได้อย่างนั้น , ไม่เป็นอย่างนี้เหมือนคนอื่นเขาอย่านำมาตราฐานของเราไปตัดสินทุกสิ่งและกดให้ตัวเราเองรู้สึกแย่ อย่าลืมเห็นค่าสิ่งที่เรามีไป
จมอยู่กับอดีต
ไม่มีอะไรจะทำให้เราจมปลักไปเท่ากับการรู้สึกผิดต่อตัวเองในอดีตอีกแล้ว การแก้ไขอดีตอาจจะเป็นการที่คุณต้องเปลี่ยนทัศนคตที่มีต่อมันซะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุผลและหล่อหลอมให้คุณเป็นคุณจนทุกวันนี้ การรู็สึกผิดและยึดติดกับมันจะทำให้คุณไม่สามารถก้าวต่อไปได้
พูดคำว่า “ขอโทษ” บ่อยเกินไป
ไม่จำเป็นต้องขอโทษในทุกเรื่อง เช่น ตอบแชทสาย (ในกรณีที่ไม่เกี่ยวกับงานหรือเรื่องจำเป็น) หรือเพื่อนชวนไปปาร์ตี้วันศุกร์แล้วเราขอเลือกนอนดูซีรีส์อยู่บ้าน เมื่อเราพูดขอโทษบ่อยเกินไปจนมันเหมือนกลายเป็นคำๆ หนึ่งที่เริ่มจะไม่สำคัญ และทำให้เราดูเป็นคนหนักแน่น ทั้งยังรู้สึกผิดกับตัวเอง ลองใช้คำว่า “ขอโทษ” ให้น้อยลงใช้กับสิ่งที่เราคิดว่าผิดจริงๆ เพื่อให้มันมีน้ำหนักความหมายตามคำของมัน
ขอบคุณที่มา : Theeverygirl, Business Insider และ Greatist