ท่ามกลางวิกฤติร้านค้าปลีกในสหรัฐอเมริกาที่ทยอยปิดตัวกันเป็นว่าเล่น จากความนิยมช้อปสินค้าออนไลน์ที่มีมากขึ้น แต่ Amazon อีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ระดับโลกกลับคิดสวนทาง ผุดไอเดียเปิดร้านค้าแบบออฟไลน์ขึ้นมาสาขาแรกที่ซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน ประทศสหรัฐอเมริกา สร้างเป็นร้านค้าอัจฉริยะ ที่ไม่มีพนักงานแคชเชียร์ ลูกค้าไม่ต้องเสียเวลาต่อคิว และที่สำคัญไม่ต้องพกเงินสดสักบาทด้วย ตอนนี้เปิดให้ลูกค้าเข้าใช้บริการได้จริงแล้ว ทีมงาน Mango Zero ขอพาไปสำรวจความล้ำสมัยของร้านนี้กันดีกว่าค่ะ amazon go ร้านค้าสุดไฮเทค หลายคนอาจจะงง ในเมื่อออนไลน์ขายดีอยู่แล้วจะเปิดออฟไลฟ์ทำไม? จริงๆ แล้วอเมซอนต้องการเชื่อมร้านค้าออฟไลน์และร้านค้าออนไลน์ให้เชื่อมต่อกันด้วยเทคโนโลยี หรือ Seamless Shopping Experience ให้ประสบการณ์ช้อปที่ไร้รอยต่อ ทอเต็มผืน…เย้ย! (แต่ใจความก็ประมาณนั้นเลยแหละ) ทางอเมซอนเขาได้ทุ่มเทพัฒนาร้าน อเมซอน โก กว่า 4 ปี จนในที่สุดก็ได้ฤกษ์เปิดให้ลูกค้าเข้าใช้งานได้จริง บนพื้นที่ 1,800 ตารางฟุต แม้จะค่อนข้างเล็ก แต่อัดแน่นไปด้วยสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ มากมาย รวมถึงมีครัวที่ทำอาหารสดใหม่พร้อมขายทั้งวัน (เหมือนเดินอยู่ในซุปเปอร์มาเก็ตเลยค่ะ) เทคโนโลยีสุดล้ำในร้าน amazon go ด้วยคอนเซ็ปต์ Just Walk Out แค่ลูกค้าเดินเข้าไปจะพบกับความล้ำและสะดวกมากเลย ลูกค้าต้องโหลดแอป amazon go มาก่อน เดินเข้าร้านด้วยการนำมือถือแตะผ่านประตู (เหมือนเราตี๊ดบัตรผ่านรถไฟฟ้าเลยค่ะ) นำเทคโนโลยี Machine-Learning มาใช้แบบเดียวกับรถยนต์ไร้คนขับ มีระบบเซ็นเซอร์และเทคโนโลยีประมวลผลเมื่อลูกค้าหยิบสินค้าขึ้นมาซึ่งจะอยู่ในตะกร้าจำลอง หากหยิบขึ้นมาแล้ววางสินค้ากับไปใหม่ ระบบก็จะลบสินค้านั้นออกจากตะกร้าจำลองค่ะ ได้ของที่ต้องการแล้ว ระบบจะหักเงินในแอป Amazon Go ทันทีเมื่อเดินออกจากร้าน แม้จะไม่มีแคชเชียร์ ไม่ต้องเสียเวลาต่อคิวจ่ายเงิน แต่ในช่วงแรกยังมีพนักงานคอยแนะนำและให้ข้อมูลกับลูกค้าอยู่ และเตรียมขยาย 2,000 สาขาทั่วสหรัฐฯ สวนทางกับร้านค้าปลีกหลายรายที่ประกาศลดสาขา ขณะเดียวกันในสหรัฐฯ กลับเกิดวิกฤติร้านค้าปลีกหลายรายประกาศปิดตัว และลดจำนวนสาขาลง ทั้งปัญหาแบกรับต้นทุนไม่ไหว การเข้ามาของช้อปออนไลน์ ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป เน้นความไวสะดวก สั่งออนไลน์ก็ได้ (แถมถูกกว่าเดินไปซื้อเองอีก) ที่เห็นได้ชัดคือห้าง Walmart ในปีที่ผ่านมาได้ปิดสาขาไปแล้วกว่า 200 สาขาทั่วสหรัฐฯ พร้อมกับมุ่งมั่นขายออนไลน์ควบคู่ไปด้วย แต่ก็ไม่ทิ้งห้างออฟไลน์ ที่พยายามจัดโปรโมชั่นควบคู่กับการขายออนไลน์ หวังกระตุ้นให้คนกลับมาเดินห้างกันเยอะเหมือนเก่า ทั้งการซื้อของออนไลน์แต่มารับสินค้าที่ห้างสาขาใกล้บ้าน การจัดโปรโมทชั่นส่งฟรี รวมถึงกำลังพัฒนาระบบไร้เงินสดเมื่อมาช้อปที่ห้าง เหมือนที่ amazon go ทำอยู่ ขณะที่ Bebe ร้านค้าปลีกเสื้อผ้าชื่อดังของสหรัฐฯ กลับเป็นอีกรายที่ตัดสินใจปิดสาขาออฟไลน์ทั้งหมดและหันมาขายออนไลน์อย่างเต็มตัว ยังมีอีกหลายห้างที่รับมือกับวิกฤติพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปไม่ไหวไม่ว่าจะเป็น Wet Seal , The Limited, Vanity , Gordmars ฯลฯ แม้ว่าวิกฤติดังกล่าวจะยังไม่ส่งผลต่อไทยเรามากนัก แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าจับตาอยู่ไม่น้อย และเริ่มเห็นการปรับตัวต่างๆ มากขึ้น เอาง่ายๆ ที่ใกล้ตัวเลยคือ การจ่ายเงินผ่าน QR Code ที่ตอนนี้เริ่มเห็นหลายร้านไม่ว่าจะร้านในห้างหรือริมทางก็หันมาให้ลูกค้าจ่ายเงินผ่านช่องทางนี้หรืออย่างเซเว่นอีเลฟเว่น ที่เปิดร้านอัจฉริยะย่านแจ้งวัฒนะ ท้ายที่สุดแล้วตัวผู้บริโภคเองก็ต้องการความสะดวกและโปรโมชั่นน่าสนใจ ส่วนผู้ประกอบการก็ต้องการลดต้นทุนและเพิ่มกำไร และยิ่งใครจับทางการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ดี ไม่แปลกที่ธุรกิจนั้นจะไปรอด… ที่มา : cnbc , independent , amazon