category วิธีเลือกเครื่องฟอกอากาศให้เหมาะกับห้องพร้อมสู้ภัย PM 2.5


: 8 มกราคม 2563

เครื่องฟอกอากาศนั้นจัดเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้หลักการเดียวกับพัดลมทั่วไปที่ใช้ใบพัดและมอเตอร์ในการดูดอากาศเข้าไปภายในตัวเครื่องและปล่อยออกมาด้านนอก ซึ่งภายในเครื่องฟอกอากาศนั่นจะมีการนำเอาระบบการกรองอากาศต่างๆ เสริมเข้าไป กรองดักจับสิ่งแปลกปลอมในอากาศ ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นละออง PM2.5 แบคทีเรีย เชื้อไวรัส กลิ่นไม่พึงประสงค์ต่างๆ ซึ่งก็แล้วแต่เทคโนโลยีของแต่ละแบรนด์จะผลิตขึ้นมา

จากที่เห็นสภาพมลภาวะทางอากาศในทุกวันนี้ ก็เห็นจะมีแต่ฝุ่นละอองเข้ามาแทนเมฑหมอกมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะ PM 2.5 ที่มาเยี่ยมเราไม่ขาดตั้งแต่ปีก่อนจนกระทั่งปีนี้ ที่หลายคนต่างรู้ดีว่าเจ้าฝุ่นขนาดเล็กนี้ ถ้ายิ่งสูดเข้าไปมากๆ ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจของเราได้

การซื้อเครื่องฟอกอากาศมาใช้ในบ้านซักเครื่อง ก็อาจจะช่วยให้คุณมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้  แถมทุกวันนี้ก็มีเครื่องฟอกอากาศรุ่นใหม่ๆ ออกมาให้เลือกซื้อ หลายขนาดและราคาไม่ได้แพงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แล้วเครื่องฟอกอากาศแบบไหนล่ะที่เหมาะกับเรา? มาดูวิธีเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศให้เหมาะกับบ้านของตัวเองกัน

ดูขนาดห้อง

ขนาดของห้องและพื้นที่ที่เครื่องฟอกอากาศสามารถรองรับได้นั้น มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานมากๆ ถ้าหากห้องใหญ่เกินกว่าพื้นที่ที่เครื่องรองรับ ก็จะทำให้ฟอกอากาศได้ไม่ทั่วถึง แถมทำให้เครื่องทำงานหนักเกินไป กินไฟมากกว่าปกติด้วย ฉะนั้นควรวัดขนาดห้องของเราทุกครั้งไปก่อนซื้อ อาจจะเลือกจากพื้นที่ที่คิดว่าส่วนใหญ่เราจะใช้เครื่องฟอกอากาศกับห้องนั้นในบ้านเป็นหลัก

ทางที่ดีควรจะเลือกขนาดที่รองรับพื้นที่ได้มากกว่าพื้นที่ห้องที่จะนำเครื่องฟอกอากาศไปวางจริงๆ เช่น ถ้าห้องเรามีขนาด 20 ตารางเมตร ควรซื้อเครื่องฟอกอากาศที่รองรับพื้นที่ขนาด 25-30 ตารางเมตรเพื่อประสิทธิภาพที่เต็มที่

รู้จักแผ่นกรองอากาศ

แผ่นกรองอากาศ คือชิ้นส่วนที่ทำหน้าที่กักเก็บฝุ่นและสิ่งสกปรก อากาศที่ถูกดูดด้วยพัดลมด้านในเครื่องจะผ่านไส้กรองฝุ่นเป็นอันดับแรก ยิ่งไส้กรองฝุ่นมีความละเอียดสูงเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้อากาศสะอาดมากขึ้น โดยปกติผู้ผลิตจะระบุความละเอียดของไส้กรองมาให้ เช่น แผ่นกรองอากาศ HEPA (มาจากคำว่า “High Efficiency Particulate Air” หรือ “High Efficiency Particulate Absorption“)  สามารถกรองฝุ่นได้ 99.97% ที่ฝุ่นขนาด 0.3 ไมโครเมตร (กรองฝุ่นได้เล็กกว่าฝุ่น PM 2.5 )

ส่วนถ้าหากอยากให้เครื่องฟอกอากาศกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ด้วย ต้องดูว่าเครื่องนั้นมีแผ่นกรองคาร์บอนอีกชั้นด้วยหรือเปล่า แผ่นกรองคาร์บอนมักอยู่ในขั้นตอนสุดท้าย เครื่องถูกจะเป็น granulate carbon filter หรือ ถ่านเป็นเม็ดๆ ในขณะที่เครื่องแพงจะเป็นผงถ่านที่เคลือบมากับผ้าอีกที ซึ่งน่าจะทำให้การกรองกลิ่นมีประสิทธิภาพที่ดีกว่า

ดูค่า Air Volume 

เมื่อไปถึงหน้าร้านแล้ว สิ่งแรกที่ควรเปรียบเทียบเลยก็คือ ค่า Air Volume หรือกำลังลมของแต่ละรุ่นต่างกันออกไป ตัวเลขนี้จะแสดงถึงความรวดเร็วในการกรองอากาศ ยิ่งค่านี้สูงมากเท่าไหร่ ก็จะกรองได้เร็วขึ้นด้วย บางรุ่นสามารถกำหนดระดับแรงลมได้เองอัตโนมัติด้วยเซนเซอร์ตรวจจับปริมาณฝุ่น ก็จะง่ายต่อการใช้งานมากขึ้น

ดูค่า CADR (Clean Air Delivery Rate) 

ค่า CADR จะบอกถึงประสิทธิภาพของเครื่องฟอกตัวนี้ว่าสามารถฟอกสิ่งสกปรกออกจากอากาศได้มากแค่ไหนใน 1 นาที ซึ่งหากมีค่าสูงมากเท่าไหร่ ก็จะมีการฟอกอากาศได้ดีมากเท่านั้น

ดูระดับเสียงการทำงาน

ในสเปคของเครื่องฟอกอากาศบางรุ่นจะมีการระบุระดับเสียงการทำงานไว้ให้เลย ซึ่งดีต่อการตัดสินใจเลือกซื้อมากขึ้น

เพราะบางคนอยากจะใช้เครื่องในห้องนอน เครื่องฟอกอากาศที่เสียงดังเกินไป อาจจะทำให้รบกวนคุณภาพการนอนหลับได้ เปรียบเทียบง่ายๆก็คือ ไม่ควรจะเกิน 50 เดซิเบล ซึ่งเป็นเสียงดังระดับคนพูดคุยทั่วไป แต่หากซื้อไว้ใช้เฉพาะช่วงกลางวัน ระดับเสียงดูอาจไม่สำคัญมากนัก

อะไหล่และการบำรุงรักษา

นอกจากความเจ๋งต่างๆของระบบการทำงานแล้ว สิ่งหนึ่งที่ควรคิดถึงไว้ล่วงหน้าเลยคือ “อะไหล่ของเครื่องฟอกอากาศ”

ถ้าเกิดใช้งานแล้วมีปัญหาขัดข้องขึ้นมา หรือต้องเปลี่ยนไส้กรองเมื่อหมดอายุการใช้งาน สามารถหาที่เปลี่ยนได้สะดวกไหม มีรับประกันหรือเปล่า จะได้ไม่เสียใจภายหลัง

ฟังก์ชั่นพิเศษอื่นๆ

เครื่องฟอกอากาศแต่ละรุ่น ก็จะเพิ่มฟังก์ชั่นพิเศษอื่นๆขึ้นมาเพื่อความสะดวกและดึงดูดใจลูกค้า อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณเลยว่าชอบแบบไหน เพราะราคาก็จะแตกต่างกันไปด้วย แต่แนะนำว่าควรมีระบบออโต้สามารถปรับระดับความเบา-ความแรงของเครื่องฟอกอากาศได้เอง นอกจากนี้มีฟังก์ชั่นการตั้งเวลาเปิด-ปิดกรณีไม่มีคนอยู่บ้าน ฟังก์ชั่นตรวจจับระดับค่า PM 2.5 โดยเฉพาะหรือแสดงขั้นตอนการทำงานอื่นๆ ก็จะช่วยให้ใช้งานได้สะดวก

ประหยัดไฟไหม?

เรากำลังจะมีเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้งานเป็นเวลานานๆเพิ่มอีก 1 ชิ้นในบ้าน ฉะนั้นการคำนวณค่าไฟก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ ลองหาเครื่องที่สเปคใกล้เคียงกัน มาเปรียบเทียบว่าตัวไหนกินไฟน้อยที่สุดก็จะช่วยตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ส่วนใหญ่ปัจจัยที่มีผลต่อค่าไฟเลยก็คือแผ่นกรอง ยิ่งแผ่นกรองหนาแน่นมาก อากาศผ่านได้น้อย เครื่องก็จะทำงานหนักกินไฟขึ้น ควรเลือกเครื่องที่มีแผ่นกรองอากาศไหลผ่านได้กำลังดี อย่าลืมดูฉลากไฟเบอร์ 5 ร่วมด้วย

ที่มา : sylvaneThanop, acat, sanook

เลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศที่เหมาะกับห้อง เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น -> เครื่องฟอกอากาศอัจฉริยะ

[รีวิว] หน้ากากอนามัย ใช้แบบไหน ป้องกันฝุ่น PM 2.5

ภัยร้ายที่มาพร้อมกับฝุ่น PM 2.5


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save