FMA Parfait ให้จำว่าเป็นเด็กสาวที่มีความฝัน มากกว่าวงโคฟเวอร์ผันตัว ไอดอลยูนิตที่สองจาก CmCafé หากใครฟังเพลงสายไอดอลญี่ปุ่นหรือตามวงการโคฟเวอร์บ้านเราอยู่แล้วคงจะพอรู้จักพวกเธออยู่บ้าง FMA Group กลุ่มเด็กสาวที่ก่อตั้งครอบครัวขึ้นเพื่อเต้นและแสดงเพลงตามฉบับไอดอลที่พวกเธอชื่นชอบ อย่าง 48 Group จนตอนนี้สาวๆ ได้รับโอกาสจากทางค่าย CmCafé ในการทำงานร่วมกัน และเขยิบเข้าใกล้ความฝันที่พวกเธออาจจะอยากลองทำตั้งแต่เมื่อก่อน สิบสามจากยี่สิบกว่าชีวิตตัดสินใจเลือกเส้นทางนี้ พวกเธอยังเลือกใช้ชื่อวงว่า FMA เช่นเดิม เพิ่มสร้อยชื่อขนมตามคอนเซ็ปต์ค่ายต่อท้ายว่า Parfait ของหวานที่แตกต่างหลากหลายรวมอยู่ในแก้วเดียว เช่นเดียวกับโลโก้วงรูปผีเสื้อที่เป็นสัญลักษณ์สื่อถึงเด็กผู้หญิง ที่มีความสวยงามแตกต่างกันไปแต่ละคน จุดขายของ Parfait คือการทำอะไรด้วยตัวเองตั้งแต่การทำแกะท่าเต้น คิดท่าเต้น แต่งเนื้อเพลง ทำยูนิฟอร์มกันเอง ระบบวงมีการแบ่งตำแหน่งเมมเบอร์เป็น main dance, main vocal, sub-vocal หรือ chorus ถึงปัญหาของวงโคฟเวอร์ส่วนใหญ่เป็นเรื่องร้องแต่สำหรับพวกเธอนั้นมีการฝึกซ้อมกันเองตั้งแต่ยังไม่มาเป็นไอดอล เพื่อต้องการโชว์ความสามารถที่แท้จริงภายใน ระบบซิงเกิลของสาวผีเสื้อเป็นการปล่อยเพลงคู่ใน 1 ซิงเกิล 2 เพลงแรกที่ปล่อยมาแล้วได้แก่ Your Butterfly เพลงภาษาญี่ปุ่นความหมายดีที่เปรียบเสมือนการขอบคุณแฟนคลับสำหรับการสนับสนุนมาจนถึงจุดนี้ เปรียบเสมือนผีเสื้อที่เติบโตแล้วบินขึ้นไปตามความฝันได้ และจือดื่อดึดจือ เพลงไทยทำนองสนุกที่มีอารมณ์เพลงประมาณว่า ถ้าแฟนคลับแอบชอบเราก็ให้เข้ามาบอกเลย FMA ขึ้นชื่อในเรื่องของความเฮี้ยบและความเป๊ะในการเต้น การแสดงบนเวทีตั้งแต่สมัยยังเป็นโคฟเวอร์ พวกเธอคือครอบครัวใหญ่ที่ใช้ระบบรุ่นพี่สอนรุ่นน้องเป็นจุดเด่นที่ทำให้วงแข็งแกร่งมาตลอด 2 ปี จนตอนนี้ พวกเธอยังมีจักรวาลย่อมๆ ตั้งแต่แกนหลักตั้งต้นจาก FMA Group แยกย่อยออกมาเป็น FMA Parfait และการควบวงของอะตอมในยูนิต Honey Toast รวมถึงมีบางครั้งบางคราที่ไอดอลยังใช้โอกาสกลับไปเต้นโคฟเวอร์ เพื่อฝึกทักษะบนเวที และสมาชิก FMA Parfait ก็มาจาก FMA Group ที่ได้รับการฝึกมาแล้ว เรื่องที่พวกเธอต้องแบกรับปรับเปลี่ยนในฐานะไอดอลคือกฎระเบียบ การวางตัวที่แตกต่างจากเดิม แต่ก่อนพอแสดงเสร็จก็ยังยืนคุยกับแฟนคลับได้ปกติ พอมาอยู่จุดนี้มันอาจกลายเป็นช่องว่างเล็กๆ ทางสถานะและการยกระดับตัวเอง โชคดีที่ยังมีเรื่องดีๆ อย่างแรงสนับสนุนก้อนมหึมา การได้มีผลงานของตัวเองจริงๆ การมีคนเชียร์ตัวเองที่เป็นตัวเองไม่ใช่การสวมบทบาท สาวๆ อธิบายความรู้สึกนี้ออกมาด้วยคำว่า “ฟู” ของเค้กที่กำลังพองตัวในเตาอบ ซึ่งมันยิ่งทำให้พลังในการแสดงเพิ่มมากขึ้นไปอีก และถึงแม้จะมีประสบการด้านโคฟเวอร์มาก่อน แต่มันกลับไม่ช่วยเรื่องการเป็นไอดอลเลย เพราะก่อนหน้าถึงแม้จะเป็นตัวเอง แต่มันก็ยังต้องทำตามต้นฉบับอยู่ ซึ่งพอมาเป็นไอดอลเธอต้องเป็นตัวเอง ต้องดึงตัวเองให้ออกมาในรูปแบบไอดอล สุดท้ายแก่นใจความสำคัญที่สุดของ FMA Parfait คงเป็นการสานฝันตัวเอง และการพยายามทำตามความฝันตัวเองเรื่อยๆ ขึ้นมาทีละระดับ ตั้งแต่การตามตัวไอดอล ผ่านความโชคร้ายที่ในช่วงแรกเธออาจยังไม่มีโอกาสในการเป็นไอดอล จนพยายามมาจนถึงได้เป็นไอดอล ได้มาลองยืนอยู่จุดเดียวคนที่พวกเธอชื่นชอบสักที FMA สามารถเป็นอะไรก็ได้ พวกเธอไม่ใช่แค่วงโคฟเวอร์ แต่สิ่งที่ FMA เป็นมาเสมอคือการเป็นความฝันให้เด็กผู้หญิง และเรื่องราวการต่อสู้เพื่อความฝันของเด็กผู้หญิง พอมาเป็นวงไอดอล มีอะไรต่างจากตอนเป็นวงโคฟเวอร์บ้าง มายเดียร์ : เรื่องที่ยากที่สุดเลยคือจะทำยังไงให้คนยอมรับเรา ว่าไม่ใช่แค่วงโคฟเวอร์ผันตัวมาเป็นไอดอลนะ เราจะทำยังไงให้เขายอมรับได้ว่าเราก็เจ๋งนะ จะไปพูดกับทุกคนให้คนมาเข้าใจเราก็ไม่ได้ ก็เลยจะทำให้เห็นเลยดีกว่า พิสูจน์ตัวเองเลยดีกว่า ทั้งบนเวที เสตจตามงานต่างๆ อีเว้นท์หรือในโลกโซเชียล ก็เหมือนแรงผลักดันให้เรา มายเดียร์ : ใช่ ทุกคนในวงไม่มีใครเก็บมานั่งนอยด์อันนี้คือข้อดี ทุกคนพยายามมาก ถ้าโดนติว่าเต้นไม่ดีร้องแย่ก็พร้อมที่จะพัฒนาและสู้ เรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นตอนเป็นไอดอล ปาล์ม : เรื่องดีๆ ก็คือกำลังใจจากแฟนคลับ เพราะว่าบางทีเราเหนื่อยเราท้อ แต่แฟนคลับคือให้กำลังใจเราตลอด เราก็จะฮึดขึ้นมาสู้อีกครั้งหนึ่ง ตอนแรกก็คิดอยู่ว่ายังไงดี เราต้องพัฒนาตัวเองไปในทางไหน แต่กำลังใจจากแฟนคลับคือได้มาจาก เวลาเชกิ เขาแค่พูดว่าสู้ๆ นะ เป็นยังไงบ้าง เราก็รู้สึกได้รับแล้ว อะตอม : ที่บ้านหนูไม่โอเคเรื่องที่ชอบร้องชอบเต้นตั้งแต่ม.ต้น ม.ปลาย เราชอบเต้นโคฟเวอร์แต่แรกอยู่แล้ว แต่มันก็ไม่ได้มีวงจริงจังเหมือนตอนนี้ จุดพลิกของหนูที่พ่อแม่ยอมรับคือตอนที่หนูไปออดิชั่นวงนึงแล้วเข้าไปถึงรอบสุดท้าย เขาก็เริ่มมองเห็นว่าเราจริงจังนะ หนูเลยได้มีโอกาสมาทำตรงนี้ต่อ ตอนนั้นถ้าหนูไม่ได้สมัครตอนนี้พ่อแม่ยังไม่เข้าใจ ก็คงแค่เรียนจบไปแล้วก็ทำงานเฉยๆ แต่ละคนมีความฝันไกลๆ ไหม มายเดียร์ : เอาใกล้ๆ ก่อนได้ไหม ความฝันอันสูงสุดตอนนี้คืออยากให้ CmCafé ได้เปิดคอนเสิร์ตของตัวเอง เพราะว่าเราได้ไปดูคอนเสิร์ต Blackpink กับอะตอม เหมือนเราไปอยากยืนอยู่จุดนั้นเหมือนกัน ถ้าเกิดในอนาคตไม่ได้เป็นไอดอลแล้วก็คงอยู่กับน้องๆ รุ่นต่อๆ ไปอยู่ดี เพราะว่าเราไม่ได้ไม่ชอบตรงนี้ เราก็ยังรักตรงนี้อยู่ แต่ว่าอาจจะแค่คนละบทบาท ปาล์ม : ทำให้ดีที่สุดตอนนี้ก่อน 10 ปีข้างหน้าอนาคตค่อยว่ากัน (หัวเราะ) คิดว่าวงการไอดอลอีก 10 ปีจะเป็นยังไง มายเดียร์ : ตอนนี้มันก็บูมมากเลย 10 ปีข้างหน้าก็อาจจะอยู่แบบญี่ปุ่น เพราะที่ญี่ปุ่นเขาก็มีมานานแล้ว ปาล์ม : หนูคิดว่ามันไปได้ดีนะถ้าเกิดว่าทุกคนสู้ แต่ละวงสู้กัน เราก็เห็นอย่างที่ญี่ปุ่นหรือเกาหลี เราก็สามารถเอาข้อผิดพลาดเขามาปรับปรุงพัฒนาได้ ถ้าในอนาคตมองย้อนกลับมาตอนนี้จะรู้สึกยังไง มายเดียร์ : ช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิต เพราะมันเป็นความฝันตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว มันก็คือช่วงที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิต ไม่คิดว่ามันคือสิ่งที่ผิดพลาดแต่ว่ามันคือความสุขที่สุดในชีวิตช่วงนึง อะตอม : เราคิดว่ามันจะเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่น่าจดจำที่สุดในชีวิตเลยค่ะ หนูเริ่มจากเต้นไม่เป็น ขาสั่นเวลาขึ้นเวทีหรือ ออดิชั่น ตอนนี้หนูก็ก้าวข้ามผ่านมันมาได้แล้ว มันเป็นอะไรสักอย่างที่เรากลัว ชีวิตเราเราก้าวข้ามผ่านมันมาได้แล้ว สำหรับหนูมันดีมากๆ และน่าจดจำมากๆ ปาล์ม : เป็นช่วงที่น่าภาคภูมิใจ เป็นความฝันของเด็กผู้หญิงทั่วไปที่ได้มาจุดนี้ ทำไมถึงตัดสินใจมาเป็นไอดอล อิน : ที่ตัดสินใจเพราะมีหลายอย่างที่ยังอยากทำอยู่ แต่ว่าวงโคฟเวอร์มันไม่สามารถทำได้ อย่างเช่นเราเป็นคนชอบคิดท่าเต้น ชอบครีเอท ชอบแต่งเพลง ก็คิดว่าถ้าได้มาทำตรงนี้อาจจะได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำก็ได้ ไม่คิดเยอะเพราะว่าโตแล้วมันไม่มีเวลาให้คิด ถ้าไม่ทำตอนนี้อาจจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว น้ำฝน : ตอนแรกที่ออดิชั่นเข้ามาในวงโคฟเวอร์ ไม่ได้มีความคิดว่าอยากเป็นไอดอลแม้แต่นิดเดียวเลย ถ้ามีก็มีอยู่ในใจลึกมาก ตอนที่เขามาถามว่าใครอยากมาเป็นไอดอลบ้าง หนูก็เครียดมากเพราะว่าหนูเป็นเด็กที่ค่อนข้างมั่นใจในตัวเองว่าจะเป็นไอดอลที่ดีไม่ได้ ไอดอลเป็นคำนึงที่จะต้องเป็นคนที่พร้อมมากๆ แต่หนูก็คิดว่าเรายังเป็นเด็กอยู่แล้วช่วงเวลานี้มันก็มาถึงแล้ว ถ้าลองแล้วมันผิดพลาดแต่อย่างน้อยเราก็ได้ลองแล้ว ถ้าโตไปแล้วมองย้อนกลับมาต้องเสียใจมากๆ แน่ ก็เลยคิดว่าก็จะทำ พอเข้ามาแล้วเป็นยังไงบ้าง น้ำฝน : ของหนูคือมีคนคอลชื่อตัวเอง อย่างตอนโคฟเวอร์เวลาเขาเชียร์เรา ก็สงสัยว่าเขาเชียร์เราที่เราเป็นเราหรือเราเป็น คนที่โคฟเวอร์ AKB48 กันแน่ แต่พองานล่าสุดคือคนคอลชื่อหนูดังมาก ก็มั่นใจได้เลยว่าเขาเรียกชื่อหนูนะ เป็นอีกเรื่องนึงที่รู้สึกว่าถ้าไม่ได้ทำตรงนี้ก็ไม่ได้มาเจอ อิน : ไม่คิดว่าจะมีคนมาอังกอร์เพลงเรา นี่คือเพลงเรา โชว์เรา พวกเรา เขาเรียกชื่อเราจริงๆ นะ เป็นอะไรที่ไม่เคยได้เจอ แล้วก็มาเจอที่นี่แล้วก็รู้สึกดีมากๆ การหน้าคล้ายไอดอลบางคนของอิน มันมีเรื่องอะไรเข้ามาหาเราไหม อิน : มีคนทักว่าหน้าเหมือนตั้งแต่วงเขาเริ่มเลย ตอนนั้นก็ไม่คิดอะไรแต่หลังๆ เริ่มมีคนพูดเยอะขึ้น จริงๆ รู้สึกดีนะเพราะการเหมือนน้องไม่ได้เสียหาย ชื่นชมด้วยซ้ำที่เขามีดราม่าแล้วเขารับมือมันได้ แต่บางกระแสก็จะบอกว่าไปเกาะเขาดังหรือเปล่า พยายามเลียนแบบเขาหรือเปล่า ก่อนหน้านี้ก็พยายามหลบใช้ชีวิตด้วยความกลัวว่าจะมีดราม่า ปกติชอบทำอาหาร เห็นน้องทำเราก็ไม่กล้าทำจนหลังๆ ก็กลายเป็นว่าเราไม่ได้ทำอาหารเลย คืออยากให้จำว่าอินไม่ใช่น้องเขา หลายอย่างก็ไม่ได้เหมือนน้องเขา แค่ผมสั้นหรือผู้หญิงมีแก้มมันไม่ได้เหมือนกัน อยากให้ลองเปิดใจ เราก็มีเสน่ห์ของเรา ถ้าเราจะเลียนแบบเราก็เรียนแบบได้ทั้งหมดแล้ว เพราะหน้าก็เหมือนกัน ฝึกทำตัวให้เหมือนกันเสื้อผ้าซื้อตามได้ วงการไอดอลไทยอีก 10 ปีจะเป็นยังไงบ้าง อิน : คงมีไอดอลไปเรื่อยๆ เพราะว่ามันยังมีเด็กผู้หญิงแล้วมันยังมีความฝันเหมือนเดิม แล้วยิ่งมีไอดอลพอมาเป็นรูปธรรม มันยิ่งเห็นได้ชัดว่ามันเป็นจริงได้ เมื่อก่อนมีแค่ที่ญี่ปุ่นเรายังมีความฝันว่าเราอยากเป็นไอดอลเลย และไม่ใช่แค่วงการไอดอลไทย แต่มันกระทบกับความเป็นเด็กผู้หญิงไทย มันทำให้ทุกคนอยากทำตัวเองให้ดีขึ้น เพื่อที่วันหนึ่งถ้ามีโอกาสเราจะได้เป็นไอดอลได้ เด็กผู้หญิงไทยวางตัวดีตั้งแต่เด็ก เด็กก็คิดถึงอนาคตมากขึ้น ตอนนั้นมันจะไปได้ไกลกว่าที่เราคิด น้ำฝน : วงการไอดอลมันอาจจะขยายขึ้นและเด็กผู้หญิงก็อาจจะอยากเป็นไอดอลกันมากขึ้น คงจะมีบางส่วนเหมือนกันที่ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากรุ่นแรกๆ และสุดท้ายเขาอาจจะรู้ตัวเลยว่าเขาไม่ได้อยากจะเป็นไอดอลจริงๆ ถ้าในอนาคตมองย้อนกลับมาตอนนี้ช่วงชีวิตนี้ถือว่าเป็นยังไง อิน : ช่วงสุดยอด มันเป็นช่วงที่เรากำลังจะโตเต็มที่ ไม่เด็กแล้วอยู่กลางๆ และได้ทำในสิ่งที่เราชอบก่อนที่เราจะต้องไปรับผิดชอบชีวิตก้อนใหญ่ รู้สึกว่ามันสุดยอดมากที่ได้มีโอกาสตรงนี้ รู้สึกขอบคุณ ถึงชีวิตเราไม่ได้มีแต่เรื่องที่น่ายินดี แต่ว่ารู้สึกดีที่มีเรื่องนี้เข้ามา น้ำฝน : ถ้านึกย้อนกลับมาก็คงเป็นช่วงที่วุ่นวาย มีอะไรหลายๆ อย่างให้ทำ เวลานึกถึงทีไรก็คงมีความสุข ถ้านึกย้อนกลับมาก็คงรู้สึกว่าตอนนั้นเราเรียนไปทำงานไปได้ด้วยนะ เก่งจังเลย ก็คงจะรู้สึกขอบคุณเสมอมาแล้วก็จะนึกถึงเสมอไป