ในนัดชิงของ AFF Suzuki Cup 2016 ถ้วยชิงแชมป์ฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียนนัดแรกทีมชาติไทย ดวลกับทีมชาติอินโดนีเซีย และทีมช้างศึกบุกไปแพ้อินโดนีเซีย ถึงถิ่น 2 – 1ทั้งที่ออกนำไปก่อนทำเอากองเชียร์ช็อคไปตามๆ กันกับความพ่ายแพ้ครั้งแรกของขุนพลช้างศึกแพ้ในทัวร์นาเมนท์นี้ อย่างไรก็ตามทีมชาติไทยยังไม่ได้ปิดประตูแพ้หมดโอกาสป้องกันแชมป์เสียทีเดียว เพราะด้วยฟอร์มการเล่น รวมถึงตัวผู้เล่นถือได้ว่าทีมชาติไทยยังทำได้ดี เพียงแต่ว่าพลาด และโชคไม่ดี ทว่าในนัดชิงรอบสุดท้ายที่ขุนพลช้างศึกจะเปิดบ้านรับการมาเยือนของเดอะการูด้า เรามีโอกาสชนะแค่ไหน มาลองฟังทัศนะของ ‘พรรษิษฐ์ วิชญคุปต์’ ผู้บรรยายกีฬาของ True Vision และดีเจคลื่น FM 99 Active Radio ในฐานะผู้ที่คลุกคลีและมองเห็นวงการฟุตบอลไทยมานานวิเคราะห์เกมกัน “ผมคิดว่าโอกาสที่เราจะป้องกันแชมป์ได้นั้นมีอยู่แล้ว” พรรษิษฐ์ แสดงทัศนะส่วนตัว “บอลทัวร์นาเมนต์นี้แข่งกันสองนัดแบบเหย้า – เยือน ว่ากันตามตรงเรามีโอกาสเป็นแชมป์อยู่แล้วเพราะนักเตะเราเหนือกว่า แต่ก็ต้องทำให้เหนือกว่าเขาจริงๆ ด้วยศักยภาพที่เหนือกว่าแต่ความที่เราใช้ผู้เล่นชุดเดิมมาโดยตลอดจนแทบจะถึงแมตท์สุดท้าย มันเลยไม่ค่อยเหนือกว่า เพราะนักเตะเราสภาพร่างกายค่อนข้างไม่ฟิต บอลสโมสรก็เตะ บอลทีมชาติก็เตะ เตะถี่มาก ความล้าที่สะสมทำให้ร่างกายอาจไม่ได้เป็นจุดที่ได้เปรียบ บางทีเรากลับรู้สึกว่าคู่แข่งดูสดกว่าด้วยซ้ำ และดูเหมือนกับว่าจากสิ่งที่เรามีอยู่ เขาเริ่มรับมือได้แล้ว” ผู้บรรยายกีฬาหนุ่มเล่าอีกว่าความพ่ายแพ้ในนัดแรกไม่ใช่เรื่องเสียหายมากเพราะเราได้ Away Goal มา แต่หากมาเล่นในบ้านก็ต้องเต็มที่ เนื่องจากความที่ทีมชาติไทยมีภาษีดีกว่าการชนะด้วยสกอร์ที่น้อยเกินไปอาจทำให้แฟนบอลดีใจไม่เต็มที่ “ชนะ 1-0 ได้แชมป์แล้ว แต่การชนะเพียงเท่านี้อาจจะต้องเลิกโม้ว่าเราเป็นเจ้าอาเซียน (หัวเราะ) ก้มหน้าเงียบๆ ไปเลย แค่ลูกเดียวมันน้อยไป ถ้วยซูซุกิคัพ มันน่ากลัวตรงที่มันเป็นรายการที่ถ้าพูดอย่างไม่เกรงใจมันน่าจะเป็นรายการเล็กเกือบที่สุดที่ทีมชาติใช้ทีมชุดใหญ่ แล้วพอแฟนบอลไทยบอกว่าเราคือที่หนึ่งอาเซียน ดังนั้นมันเลยเป็นทัวร์นาเมนต์ที่แพ้ไม่ได้ แล้วดันแพ้ไปนัดนึงไง ดังนั้นนัดชิงรอบสุดท้าย 1 – 0 จึงไม่เพียงพอต่อใจแฟนบอล” “จริงๆ แล้วทัวร์นาเมนต์นี้เราก็ไม่ได้เล่นอย่างโดดเด่นจนยืดได้เต็มอกเหมือนสองปีก่อน ไม่ได้ทำผลงานออกมาดีเหมือนตอนซีเกม หรือฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกที่ไปไล่ซัด ไล่ตบเขา ผลงานที่ผ่านมาแบบนั้นมันแสดงให้เห็นชัดว่าทีมไทยตอนนั้นเหนือกว่าตอนนี้ สองปีก่อนสิ่งที่ทำให้เรายืดได้เต็มอกคือเราได้เห็นผลิตผลใหม่ๆ ในเรื่องของผู้เล่นหน้าใหม่ เราได้เห็นสารัช (สารัช อยู่เย็น) เราได้เห็นชัปปุยส์ (ชาริล ชัปปุยส์) ได้เห็นชนาธิป (ชนาธิป สรงกระสินธ์) แต่ปีนี้ทางทีมก็เลือกที่จะใช้เด็กชุดเดิม ไม่มีนักเตะหน้าใหม่ที่โชว์ผลงานโดดเด่นเลย ทั้งที่ปกติเราจะได้เห็นนักเตะหน้าใหม่รุ่นเล็กอย่างน้อยก็สองคน แต่ปีนี้ไม่มี” เมื่อถามถึงผลงานนัดล่าสุดที่ทีมชาติไทยพลาดท่าพ่ายอินโดฯ พรรษิษฐ์ ก็วิเคราะห์ได้อย่างน่าฟัง “ฟุตบอลมันมีปัจจัยหลายอย่างที่นำมาซึ่งทำประตู หนึ่งในนั้นคือสภาพแวดล้อมของสนาม สภาพกองเชียร์เถื่อนๆ มีผลต่อนักเตะอยู่แล้ว แต่ผมเชื่อว่านักบอลเราก็มีประสบการณ์ในการรับมือเจอกองเชียร์ที่ดุดัน ไม่ต้องมองที่ไหนไกลไทยลีคแฟนบอลแต่ละทีมก็มีพวกเชียร์ดุดัน ไม่แพ้อินโดนีเซียอยู่ซึ่งผมมั่นใจว่าพวกเขารับมือได้ แต่เรื่องโชคก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เราพลาด จังหวะของเกมเราโชคไม่ดี เรื่องของกรรมการเท่าที่ดูก็เป่าจนทำให้เสียประโยชน์ทั้งสองฝ่าย เพียงแต่จังหวะชี้เป็นชี้ตายเราดันโชคไม่ดี” “แต่ชัดที่สุดคือท้ายเกมเรามีปัญหา มีแผ่วไปบ้าง แต่ที่ผมคิดว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สุดก็คือทีมไทยขาดตัวระดับกระดูกสันหลังของทีมอย่าง ‘ธนบูรณ์ เกษารัตน์’ ชุดนี้เอาใครออกแล้วเดือดร้อนสุดก็ผมว่าธนบูรณ์ นี่แหละเอาชนาธิป ออกยังมีตัวรุกตัวอื่น แต่เอาธนบูรณ์ ออกเกมในแดนหลังจะดูเหนื่อยขึ้นเยอะเลยเพราะไม่มีคนช่วยตัดเกม ที่จริงในมุมมองผม ธนบูรณ์ควรจะเล่นมิดฟิดล์ซึ่งผมพูดออกอากาศตลอดตอนพากย์บอล ผมว่าเขาเหมาะกับเล่นมิดฟิลด์จริงๆ ซึ่งเสียดายที่เขาเจ็บ หวังว่านัดชิงรอบสองเขาจะกลับมาได้” เรายื่นคำถามสุดท้ายให้พรรษิษฐ์ ไปว่าถ้าจะทำนายผลการแข่งขันทัวร์นาเมนต์นี้เขาคิดว่าทีมชาติไทยมีโอกาสจบสกอร์ที่เท่าไหร่ เขานิ่งคิดก่อนจะบอกกับเราด้วยความมั่นใจว่า ‘มีสองเม็ด’ “ผมมั่นใจว่านัดชิงชนะเลิศในวันเสาร์ (17 ธันวาคม 2559) นี้ทีมชาติไทยมีโอกาสชนะ และผมว่าอาจจะถึงสองลูกไปแน่นอน แล้วก็อย่างที่บอกว่าหากชนะอินโดนีเซีย แค่ลูกเดียวมันเฮไม่สุดจริงๆ นะ สถานการณ์มันเปลี่ยนไปไม่เหมือนสองปีก่อน ถ้าจำกันได้นัดชิงรอบที่สองเราไปเยือนมาเลเซีย เราไล่ตามตีเสมอมาเลเซีย แบบหืดจับเลยทั้งที่ตอนเล่นในบ้านเราทำได้ดีมากๆ แต่เราก็ได้แชมป์เนื่องจากกฎ Away Goal พอกลับมาก็มีขบวนแห่ แต่ที่คนยินดีเพราะนั่นเป็นชุดเด็กที่ทำอะไรก็ดี ถูกใจผู้ชม ถึงจะเสมอกลับมาแต่ได้แชมป์ก็ดี แต่วันนี้ไม่ใช่แล้ว” “บางคนอาจจะบอกว่าพี่ซิโก้ (เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง) ทำไมเลือกตัวนักเตะแบบนี้ ทำไมไม่เลือกอีกคน ผมเชื่อว่าพี่โก้ คลุกคลีกับนักเตะมานานกว่าพวกเราเขารู้ดีว่าคนไหนไว้ใจได้ คนไหนเชื่อใจได้ตรงนี้สำคัญกว่า พี่โก้ จะเรียกใครมาติดทีมชาตินั่นก็ถือว่าเขาได้เลือกแล้ว และเขาก็พร้อมที่จะรับผิดชอบในสิ่งที่เลือก ดีเสียอีกที่แกเลือกมาแล้วได้ใช้ในสิ่งที่เลือกมาเอง เพราะไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ท้ายที่สุดแกก็จะยอมรับอย่างเต็มภาคภูมิ” “อย่างไรก็ตาม ผมมั่นใจว่าวันเสาร์นี้สองเม็ดขึ้น…” เขาทิ้งท้ายด้วยความมั่นใจ