ถ้าประเทศไทยมีถนนแบบฮอลลีวูดวอล์กออฟเฟม ชื่อของนวพลก็อาจถูกบรรจุอยู่บนถนนสายนั้น ให้เราสัมผัสแนบไปกับรอยฝ่ามือที่ถูกพิมพ์ลงบนถนนของเขา พี่เต๋อ ผู้กำกับรุ่นใหม่ ที่ผ่านบทบาทในชีวิตมามากมาย จบจากคณะอักษรศาสตร์ เอกจีน, เขียนบทภาพยนตร์อย่างรถไฟฟ้า..มาหานะเธอ, เป็นนักเขียนและผู้กำกับภาพยนตร์ที่หลายคนชื่นชอบ รวมถึงเป็นครูสอนเรื่องการเขียนบทและเทคนิคภาพยนตร์ต่างๆ ด้วย ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดกันถึงบทบาท ‘คนทำหนัง’ ผสม ‘อาจารย์’ ของพี่เต๋อ กับคำถามว่า : ถ้าให้พูดกับเด็กรุ่นใหม่ที่เห็นพี่เต๋อเป็นไอดอลในการทำหนัง พี่เต๋ออยากแนะนำอะไรให้รุ่นน้องบ้าง ? (ต่อไปนี้คือคำเลคเชอร์จากพี่เต๋อล้วนๆ โปรดใส่อินเนอร์การนั่งฟังในห้องเรียนไปด้วยระหว่างอ่าน) ข้อแรก, ไม่ต้องทำหนังแบบเราก็ได้เพราะว่าเราก็ทำไปแล้ว หมายถึงว่าวงการต้องการความหลากหลาย ซึ่งเราเชื่อว่าทุกคนทำได้ ทุกคนทำหนังที่เป็นหนังเตยเตย หนังกิ้บกิ้บ ไม่ต้องหนังเต๋อเต๋อก็ได้ และเราคิดว่าวงการต้องการแบบนั้นอยู่ ตัวเรา(พี่เต๋อ)มีแค่ให้รู้ว่าแบบนี้ก็ทำได้นะ ว่ามึงทำหนังเล็กมึงก็อาจจะไม่เหงาก็ได้นะ ก็มีคนดูเหมือนกันนะ แค่นั้นแหละ แต่มึงไม่ต้องทำหนังแบบคอนเทนต์เดียวกัน เหมือนถ้าจะเอาอะไรไปก็เอาหลักการหรือแกนมันไปก็พอ หมายถึงว่าข้อแรกคุณสามารถทำงานที่เป็นตัวเองและมีผู้ชมเป็นของตัวเองได้ แต่ข้อสองคือคุณต้องพยายาม มันไม่มีอะไรง่ายเลย บางคนชอบคิดว่าเราทำอะไรออกมาก็มีคนดูซึ่งเราคิดว่าไม่จริงนะ แต่ถามว่าก่อนเราจะทำถึงตรงนี้ได้เราใช้เวลากี่ปี ก่อนหน้า 36 แม่งคือสิบปีก่อนหน้านั้นเลยนะ เราใช้เวลาสิบปีกว่า กว่าจะถึงตรงนี้ ซึ่งรุ่นน้องๆ อาจจะดีหน่อยอาจเหลือแค่ห้าปีเพราะด้วยเทคโนโลยีข่าวสารอะไรมันเร็วขึ้น แต่มันก็ไม่ได้มีอะไรง่ายและก็ต้องใช้เวลา คือการดูหนังมันเป็นการเชื่อใจประมาณนึง เพราะก่อนคนเข้าไปดูมันไม่รู้ว่าแม่งคืออะไรอะ แต่เขาเสียตังแล้วนะ เหมือนเขาได้เห็นแค่สิบเปอร์เซ็นต์จากตัวอย่าง แล้วเขาต้องเชื่อใจในการที่จะเข้าไปดู ซึ่งการสร้างความเชื่อใจระหว่างตัวเรากับคนดูมันใช้เวลาประมาณนึงในการที่จะทำออกมาแล้วเขาจะตัดสินใจไปดูง่ายขึ้นอะไรแบบนี้ แล้วมันก็ไม่แน่นอนด้วย หมายถึงว่าถ้าเกิดเรื่องนี้เหี้ยขึ้นมา เรื่องหน้าคนก็อาจจะ ‘เฮ้ยเรื่องที่แล้วแม่งไม่เวิร์คว่ะ เรื่องนี้จะยังไงวะ’ หรือต่อให้ทำออกมาเวิร์คทุกเรื่องเราก็คิดว่าเอาเข้าจริงคนตัดสินใจเป็นเรื่องๆ อยู่ดี สมมติเราทำหนังใหม่ขึ้นมา ความง่ายของนวพลในการทำหนังคือได้รับความสนใจจากคนง่าย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะจ่ายเงินไปดูเลยนะ เขาจะดูก่อนว่ารอบนี้เกี่ยวกับอะไร มันเหมือนเวลาน้องชอบผู้กำกับบางคนมากๆ แต่น้องก็อาจจะไม่ได้ดูหนังเขาทุกเรื่อง เพราะน้องก็จะต้องดูว่ารอบนี้มันทำอะไรของมันวะ เพราะมันก็มีบางคนเหมือนกันที่เราชอบมากๆ แต่พอเขาทำเรื่องต่อมาเป็นหนังพีเรียดดูแก่มาก เราก็จะมีความไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะดูดีไหม เพราะฉะนั้นแม่งใช้เวลาในการสร้างความเชื่อใจระหว่างเรากับคนดู แล้วก็ใช้ความอุตสาหะหรือว่าต้องไม่ล้าหลังเพราะว่าเอาจริงคนดูเขาก็ไม่ได้ตามคุณขนาดนั้นหรอก เขาก็ดูว่ารอบนี้คุณเล่าอะไรมากกว่า สำหรับเรามันคือข้อดี เพราะคุณต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลา มันไม่ใช่แบบเราทำยังไงก็ได้คนก็ดูอยู่ดี เราต้องไม่คิดแบบนั้น ข้อแรกเป็นเพราะว่าคนดูไม่ได้เป็นแบบนั้น สองเราต้องไม่คิดแบบนั้นเพราะว่าถ้าเราเป็นคนทำงานสร้างสรรค์คุณแฮปปี้หรอกับการทำซ้ำไปเรื่อยๆ แม่งไม่เบื่อหรอวะทำหนังเรื่องเดิมไปเรื่อยๆ แล้วกำกับแต่แบบเดิมๆ ถ่ายแบบนั้นแหละคนแม่งชอบ เราว่ามันก็ไม่สนุกสำหรับตัวเองด้วย เพราะฉะนั้นคือ ไปทำอย่างที่อยากทำแต่ให้รู้ว่ามันไม่ง่าย มันต้องพยายามและต้องรักมัน เพราะว่าเอาจริงเป็นอาชีพนี้ก็ทรมานประมาณนึง เฆี่ยนตีเราประมาณนึงอะ คือถ้าคุณไม่รักมันคุณจะเลิกมันง่ายมาก มันไม่สำเร็จในเรื่องที่หนึ่งสองสามหรือสี่หรอก บางทีมันจะสำเร็จในเรื่องที่ห้า แต่ว่าถ้าคุณไม่รักมันคุณก็จะจบที่เรื่องที่สองเพราะแม่งไม่สนุก คุณไม่ได้ชอบมันจริงๆ ก่อนที่เราจะทำ 36 มันก็มีหนังสั้นที่เราทำออกมาดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่เราแค่คิดว่าทุกอันมันคือการเรียนรู้ หมายถึงว่าคุณต้องล้มเพื่อที่จะรู้ว่ารอบหน้าคุณจะไม่ล้มอะ มันจะเจ็บขึ้นแต่ต้องทน เพราะว่านั่นคือ process หนึ่ง เพราะทุกครั้งที่ทำผิดพลาดหรือออกมาห่วยนั่นคือบทเรียนที่ดีที่สุดเลย เราคิดว่าคนที่ทำครีเอทีฟไม่ว่าใครก็ตามมันจะมีความคาใจแน่ๆ ถ้าไม่ได้ทำ คุณจะเรียนรู้บางอย่าง หรือคุณจะเพิ่มเลเวลได้ เมื่อคุณได้ลองทำ ต่อให้มันพลาดก็เรียนรู้ ก็ต้องกล้าที่จะลองทำมันไปเรื่อยๆ “เส้นทางอันโหดร้ายของชีวิต ไม่มีอะไรง่ายครับ” – ประโยคจบคลาสกับพี่เต๋อ นวพล