ข่าวหนึ่งที่ฮือฮาวงการสื่อออนไลน์ไทย ตอนนี้ก็คือการประกาศลาออกของ ‘เคน – นครินทร์ วนกิจไพบูลย์’ บรรณาธิการบริหาร และทีมงานของ ‘The Momentum’ สำนักข่าวออนไลน์รุ่นใหม่ที่นำเสนอข่าวได้อย่างน่าสนใจ มีสไตล์เป็นของตัวเองจนสร้างฐานคนอ่านได้อย่างรวดเร็ว และกลายเป็นสำนักข่าวออนไลน์ที่คนรุ่นใหม่ให้ความสนใจ ขณะเดียวกันในวันที่ ‘เคน – นครินทร์’ และทีมงานประกาศลาออก หลายคนก็หันมามองเช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนหน้านั้นเราเคยทำสกู๊ปพิเศษ เจาะลึกเบื้องหลัง The Momentum มาแล้ว และเมื่อในวันที่เคน และทีมงานลาออก เราก็อยากจะขอคุยกับนครินทร์ ในฐานะผู้ตัดสายสะดือให้เว็บไซต์นี้กับมือ และเป็นคนที่ตัดสินใจลาออกจากเว็บที่เขาสร้างด้วยตัวเอง อยู่กับ The Momentum และทำสำนักข่าวออนไลน์มา 6 เดือนคุณเห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรในวงการสื่อออนไลน์ไทยบ้าง นครินทร์ : ผมถือเป็นช่วงเวลาที่ดีในหกเดือนที่ผ่านมาเราว่าวงการสื่อออนไลน์สนุกสนานมาก มีตัวละครใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้นมามากมาย มีคนที่ตื่นตัวทำคอนเทนต์ดีๆ หรือว่าวิธีคิดในการนำเสนอข่าวรูปแบบใหม่ๆ เยอะแยะเต็มไปหมด ไม่ใช่เฉพาะสื่อใหม่อย่างเดียว สื่อเจ้าเดิมที่ครองตลาดอยู่แล้วก็พยายามที่จะลงมาเล่นตลาดนี้มากขึ้น บางเจ้าก็ปรับโครงสร้างใหม่ เปลี่ยนรูปแบบ บางเจ้าก็ใช้แบบเดิมแต่ก็มีวิธีใส่กิมมิคเข้าไป ลูกเล่นใหม่ๆ กลายเป็นสนามใหม่ที่ทุกคนรู้แล้วว่ามวลชนอยู่ที่นี่แล้ว และจำเป็นที่จะต้องเข้ามาเล่นตรงนี้ด้วย ไม่นับสื่อรวมแค่สื่อเท่าที่เปลี่ยน เราว่าผู้บริโภคก็เช่นเดียวกัน ผู้บริโภคตื่นตัวมากขึ้น ได้ทางเลือกในการเสพสื่อออนไลน์มากขึ้นว่าจริงๆ แล้วข่าวสารใน facebook หรือใน twitter ที่คนเคยมองว่ามันเป็นแค่ของเล่น เป็นแค่ของที่ไร้สาระ ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว ตอนนี้มันเป็นของที่มีประโยชน์มีคุณค่า ก็แล้วแต่ความเชื่อ อุดมการณ์ หรือว่ารสนิยมของแต่ละเจ้า ว่าทำออกมาแบบไหน และได้กลุ่มมวลชนแบบไหนเข้ามา ถ้ายกเคสของเดอะ โมเมนตัม เราก็เห็น feedback เห็นการติดตามที่เหนือความคาดหมายอยู่พอสมควรเลยทีเดียวแสดงว่ามีคนรอเนื้อหาลักษณะนี้อยู่ The Momentum ตรงตามกับสิ่งที่คุณเคยคิดไหมว่าอยากจะเห็นสื่อออนไลน์แบบนี้ นครินทร์ : ตอนแรกเราทำเดอะ โมเมนตัม เพราะว่าเรามีความฝัน และความเชื่อที่ว่า น่าจะมีสำนักข่าวบนโลกออนไลน์ที่มีสาระ พูดเรื่องมีประโยชน์ พยายามที่จะไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่มีวาระซ่อนเร้น เป็นกลางมากที่สุดให้พื้นที่ทั้ง 2 ฝ่าย และรวมถึงสาระเรื่องอื่นๆ ที่นอกจากข่าว เราเชื่อว่ามันน่าจะมีคนทำ เราเลยทำออกมา แล้วเราก็เชื่อว่ามันน่าจะมีคนเสพ พอทำออกมามันก็มีคนเสพจริงๆ แสดงว่าผู้บริโภคก็เฝ้ารออยู่ แล้วยิ่งถ้าดูจาก feedback ของเจ้าอื่นๆ ด้วย หลายๆ หัวที่เรารู้จักชื่อกันเป็นอย่างดีก็เห็นเลยว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างดีมากเลยแหละ ในแง่ของการทำงาน The Momentum เปลี่ยนแปลงอะไรคุณบ้าง นครินทร์ : เราว่าเยอะมากเลยนะมหาศาล สิ่งที่เปลี่ยนหลักๆ คือตำแหน่งเราเปลี่ยนด้วย ไม่ใช่แค่จากการทำงานออฟไลน์มาทำงานออนไลน์เท่านั้น แต่ตำแหน่งเราเปลี่ยน ความรับผิดชอบเรามากขึ้น มันทำให้เติบโตมากขึ้น จริงๆ คือไม่ได้บอกว่าเราสำเร็จ หรือเราทำแล้วออกมาดีนะ ในความจริงเราผิดพลาดเต็มไปหมดเลย มีบาดแผล มีคนไม่ชอบ มีคนติเตียน คนวิพากษ์วิจารณ์เราก็เยอะ แต่เราก็คิดว่า 6 เดือนที่ผ่านมา สิ่งที่มันโดนติเตียน โดนวิพากษ์วิจารณ์กลายเป็นประสบการณ์ที่ดี และกลายเป็นเราทั้งหมด มันเป็นบทเรียนที่ทำให้ก้าวต่อไปได้ และทำให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ด้วย เรากระตือรือร้นขึ้นอยู่แล้วในการทำงาน พอมาเป็นออนไลน์ก็ค่อยๆ สังเกตพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละวัน ว่ามันเป็นอย่างไร และเรารู้สึกว่าการทำคอนเทนต์ออนไลน์ มันเหมือนการเกิดใหม่แล้วก็ตายไปภายในวันหนึ่ง โลกออนไลน์มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันวัดวันต่อวัน มีอะไรต้องเล่นก็เล่น มันอาจจะดูเหนื่อยสำหรับคนที่ทำโลกยุคเก่า แต่เรารู้สึกว่าสนุกดี มันท้าทาย ยิ่งเป็นโลกออนไลน์ ผลตอบรับมันทันที คนคอมเมนต์ด่ากันก็ด่า ชมก็ชม แชร์กันแล้วไปเร็วมาก ภายในเวลาชั่วโมงสองชั่วโมงเอง เราก็ขอบคุณที่ทั้งด่าและก็ชม สำหรับคำชมเรายินดี แต่คำด่าก็ทำให้เราได้รู้ว่าอะไรที่มันไม่ดี เราผิดพลาด มีหลายอย่างที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ละเลย บกพร่อง แต่ยืนยันว่าทุกครั้งเราเจตนาดี แต่มีบางอย่างที่มันผิดไปและก็อยากแก้ไข เสียใจไหมกับการประกาศลาออกจากสิ่งที่คุณสร้างมาตั้งแต่เริ่ม นครินทร์ : เสียดายมาก เชื่อเถอะครับว่า ผมเป็นคนหนึ่งที่รักเดอะ โมเมนตัม มากที่สุดในประเทศไทย ฉะนั้นมันไม่สนุกหรอกกับการลาออกจากสิ่งที่รัก เว็บนี้ก็เหมือนลูกเรา เห็นกันตั้งแต่มันยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง เป็นความว่างเปล่า เป็นอากาศ สำหรับเรานี่เป็นครั้งแรกที่สร้างอะไรสักอย่างขึ้นมากับมือ แต่สุดท้ายก็ก้าวต่อไป ตอบได้ไหมว่าคุณลาออกทำไม นครินทร์ : เหตุผลมันก็เหมือนคนลาออกคนนึง ที่ก็แค่ลาออกจากงาน จริงๆ ไม่คิดว่าจะเป็นข่าวใหญ่ เพราะเป็นเรื่องปกติมากที่หัวหน้างานจะลาออกจากบริษัท เราคิดว่ามันก็เหมือนการถ่ายงาน เปลี่ยนงานกัน เราไม่มีปัญหาอะไรเลยกับผู้บริหาร จากกันด้วยดี และคุยกันว่าโอกาสหน้าร่วมงานกันใหม่ และก็ยังเคารพรักในทุกๆ การตัดสินใจของบริษัท day poets เราให้เกียรติคนทำงานที่นี่เสมอ และก็ยืนยันว่าจะติดตามต่อ หลังจากนี้จะไปอยู่ที่ไหน นครินทร์ : ไปอยู่กับพี่โหน่ง (วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์) ไปทำเว็บไซต์ข่าวนี่แหละ เรารู้สึกว่างานใหม่ท้าทายมากกว่า ด้วยสเกลมันใหญ่ขึ้น หลากหลายขึ้น และน่าจะสนุกมากกว่า เรารู้สึกว่าโมเมนตัม เหมือนการลองผิดลองถูก ส่วนเว็บใหม่ที่กำลังจะทำคือของจริง เรามีความรู้ระดับนึง อันไหนดีเราเก็บมาใช้ อันไหนไม่ดีเราก็ปรับปรุง ตอนนี้ความฝัน กับความเชื่อบางทีของเรามันใหญ่มาก ใหญ่กว่าเดอะ โมเมนตัม ซึ่งเราพร้อมแล้วที่จะเริ่มทำอะไรใหญ่ๆ ต่อ ทีมงานของ The Momentum ลาออกด้วยเหตุผลที่เหมือนกับคุณใช่ไหม นครินทร์ : ใช่ครับ ส่วนใหญ่ความเชื่อเหมือนกัน เหมือนภารกิจยังไม่จบ เราไม่ได้บังคับใครนะ เราแค่บอกว่าจะไปอยู่กับพี่โหน่ง ทุกคนคิดอย่างไรถ้าจะไปเราก็ยินดีที่จะให้ไปด้วยกันเพราะเดอะ โมเมนตัม ไม่ได้มาจากเราคนเดียว มันเกิดจากทีมทุกคนมีส่วนร่วม เราแค่ยืนอยู่ด้านหน้าแค่นั้นเอง แต่ยังมีหลายคนที่ทั้งยืนอยู่ด้านข้างยืนอยู่ด้านหลังเต็มไปหมด อุดหนุนช่วยกันสนับสนุนเติมเต็ม ช่วยกันต่อจิ๊กซอว์ให้ออกมาเป็นรูป ขาดใครไปไม่ได้ เราก็ต้องให้เครดิตเขา ถ้าเขาเชื่อเหมือนเรา เขาก็มีสิทธื์จะออก ซึ่งเรื่องทั้งหมดนี้เราได้บอกผู้บริหารล่วงหน้าทั้งหมด 1 เดือน บอกกันตรงๆ บางคนโจมตีว่าคุณทิ้งงานดูไม่ยุติธรรมกับต้นสังกัดเดิม คุณคิดอย่างไร นครินทร์ : ทุกอย่างเราบอกล่วงหน้า และมันเป็นความสมัครใจ มันไม่มีกฎหมายเขียนนะว่าต้องห้ามออก ในเชิงมารยาทเราก็บอกล่วงหน้า 1 เดือน และเขารับรู้ทุกอย่าง ถ้ามันดูไม่รับผิดชอบเขาต้องบอกเราแล้วว่าเขาไม่ให้ แต่ก็คุยกันปกติดี เขายังพูดเลยว่ามีโอกาสหน้าคงได้ร่วมงานกันอีก มีอะไรให้ช่วยเหลือกันก็บอกกัน เราก็ขอบคุณเขาที่ให้โอกาสเสมอมา คิดอย่างไรกับคำวิจารณ์การลาออกของคุณ และทีม นครินทร์ : คนวิพากย์วิจารณ์เขามีสิทธิ์ แต่อยากจะบอกเขาว่ามันไม่สนุกนะ มันเหนื่อยนะกับการเริ่มสิ่งใหม่จากศูนย์ เราเสียดายนะ การเริ่มทำอะไรใหม่มันเหนื่อย มันเหนื่อยมาก ในแง่ที่เราต้องมาเซ็ตระบบ ตั้งระบบใหม่นั่งบอกคนอื่นใหม่ การทำโมเมนตัม ต่อเป็นช้อยส์ที่ง่ายกว่า แต่เรายอมที่จะเริ่มใหม่ดีกว่า เพราะระยะยาวเชื่อว่ามันดีกับเรามากกว่า ก็แค่นั้นเอง แต่มันไม่สนุกเลยเว้ย มันเหนื่อย (หัวเราะ) จริงๆ คนด่าอะไรแล้วแต่เขา ไม่รู้เขาพูดอะไรบ้างแต่เท่าที่เห็นไม่ค่อยมี ฟีดแบ็คส่วนใหญ่ให้กำลังใจ ให้ทำต่อไป ด่าก็มีแหละ แต่ลึกๆ ก็รู้สึกก็ดีใจที่มีคนติดตาม ดีกว่าออกไปเงียบๆ บางสิ่งที่เราทำก็มีคนติดตามอยู่ สัก 90% อีก 10% อาจจะแช่งเราก็แล้วแต่ เป็นการตกลงกันทั้งสองฝ่ายที่ลงตัวไม่ดราม่า นครินทร์ : ไม่มี และมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดบาป อีกอย่างเราไม่ได้ทิ้งเลย งานทั้งหมดที่ทำเราไม่ทิ้งเราจบให้ทั้งหมด ทุกอย่างที่เราสัญญากับลูกค้าเอาไว้ ทุกอย่างที่เราดีลไว้ ว่าต้องลงให้เขา ทีมเราจบให้ทั้งหมดตามสัญญางาน รับผิดชอบจนวันสุดท้าย เราว่าเหมือนนักบอลจะย้ายทีมนะ แม้วันสุดท้ายก็ยังอยากจะใส่ให้เต็มที่ เอาให้มันดีที่สุด เว็บไซต์ใหม่ชื่ออะไร นครินทร์ : น่าจะบอกได้แล้วแหละ ‘The Standard’ จะเปิดตัวมิถุนายนนี้ ทีมงานใหม่จะเริ่มงานใหม่วันที่ 1 เมษายน The Standard จะเป็นสำนักข่าวในรูปแบบไหน นครินทร์ : รายละเอียดมันเยอะนะ เดี๋ยวขอตอบทีเดียวรอให้ชัดเจนก่อน (หัวเราะ) แต่ที่แน่ๆ คือเรายืนยันว่าเราคาดหวังให้ เดอะ สแตนดาร์ด เป็นมาตรฐานใหม่ของวงการสื่อสารมวลชนออนไลน์ไทย เราพยายามทำให้ทุกอย่างมันถูกต้อง มีหลักจริยธรรมสื่อที่ดีตามที่มันควรจะเป็น ทำให้คุณภาพดี แล้วสุดท้ายเราคิดว่าเราอยากให้สังคมได้ประโยชน์จากมันมากที่สุด ไม่รู้จะได้เท่าไหร่ แต่ให้ได้ประโยชน์ ได้ความบันเทิง ได้สาระ จากมันมากที่สุดแล้วก็ถ้ามันไปต่อได้เรื่อยๆ กลัวความเสี่ยงที่จะตามมาไหมถ้า The Standard ไปไม่ได้อย่างที่คิด นครินทร์ : มันเป็นความเสี่ยงจริงๆ นั่นแหละ แต่ถามว่ากลัวมั้ย ก็คงมีความคิดอย่างนั้นอยู่ ก็มีความกังวลเป็นเรื่องปกติ การเริ่มอะไรใหม่ ถ้าไม่กลัว ไม่กังวลเนี่ย แปลกแล้ว (หัวเราะ) แต่ไม่ได้รู้สึกถึงขั้นกดดันขนาดนั้น เราทำงานของเราไป ทำหน้าที่ของเราไป คิดให้ดีที่สุด เตรียมพร้อมให้ดีที่สุด ตอนนี้ที่วางแผนอยู่ก็ค่อนข้างมั่นใจนะว่ามันจะออกมาว้าวพอสมควร หลังจากเป็นรูปเป็นร่างความกลัวก็น่าจะโดนกะเทาะออกไปมากขึ้น นครินทร์ : ใช่ เราค่อนข้างมั่นใจว่าความกลัว ความกังวล จะค่อยๆ ลดลงไป เมื่อเราเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ก็เลยตอบได้ว่า ไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่ เพราะจริงๆ เราก็เห็นภาพตัวเองว่ามันชัดเจนว่าเราคือใคร ทำอะไร และมีหมัดเด็ดอะไรบ้าง เรารู้กับตัวเอง แต่ว่ามันก็คงมีอยู่บ้างนิดๆ หน่อยๆ ที่แอบกังวล เหมือนเราทำกับข้าวให้ตัวเองกินเองทุกวัน แล้วเราก็ไม่รู้ว่าคนจะชอบหรือเปล่า คุณก็ไม่รู้หรอกว่าคนจะชอบไหม แต่ถ้ามั่นใจ เตรียมพร้อมจริง ตั้งใจดี ทุกอย่างมันน่าจะว้าว ผลลัพธ์ก็ว่ากันหน้างาน ถ้ามันไม่ดีก็แล้วแต่ ต้องไปวัดกันอีกที