นับเป็นเวลากว่า 4 ปีเศษๆ จาก Moana (ถ้าไม่นับหนังภาคต่อ) Raya and the Last Dragon ถือว่าเป็นหนังดิสนีย์เรื่องล่าสุดที่ได้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ ซึ่งจริงๆ แล้วตัวหนังมีแพลนว่าจะเข้าช่วงปลายปีที่แล้ว แต่เพราะสถานการณ์โควิดทั่วโลก เลยทำให้หนังขยับมาฉายในช่วงต้นมีนาแทน พร้อมกับเปิดช่องทางให้ดูผ่านทางสตรีมมิ่งอีกด้วย สำหรับเนื้องเรื่องของ Raya and the Last Dragon หรือ รายากับมังกรตัวสุดท้าย เล่าถึงนครคูมันตรา ที่เมื่อ 500 ปีก่อน เป็นนครที่มนุษย์และมังกรอยู่ด้วยกันอย่างมีสันติ จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่ปีศาจชื่อว่า ดรูน ได้แผ่ความชั่วร้ายออกมาทำร้ายมนุษย์ ทำให้เหล่ามังกรต้องต่อสู้เพื่อยับยั้งพลังมืดนี้ ซึ่งทำให้เหล่ามังกรเกือบทั้งหมดเสียสละตัวเองเพื่อช่วยโลกใบนี้ไว้ แต่แทนที่มนุษย์จะปรองดองกัน กับกลายเป็นว่าทุกคนก็เริ่มแบ่งพรรคแบ่งพวก จนทำให้นครคูมันตราแตกแยกออกไปเป็น 5 เมืองใหญ่นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และแน่นอนว่า รายา ต้องทำภารกิจกู้คืนความเป็นปึกแผ่นของนครนี้ ด้วยการออกตามหามังกรตัวสุดท้ายในตำนานที่เธอเชื่อ “มันอาจรู้สึกเป็นไปไม่ได้ แต่บางครั้ง เราแค่ต้องเริ่มก้าวแรก” แน่นอนว่าด้วยความที่เนื้องเรื่องมีความแฟนตาซีผจญภัย ทำให้หนังเรื่องนี้ทำหน้าที่เล่าออกมาได้สนุกจัดๆ เข้าถึงได้ง่าย ทำให้หลายๆ ฉากในเรื่องรู้สึกอินได้อย่างง่ายดาย แต่ถึงอย่างนั้นบางฉากก็รู้สึกว่า มันน่าจะขยี้ได้มากกว่านี้อีกนิดดดนึงนะ ทำให้เกิดความเสียดายอยู่เนืองๆ ส่วนจุดแข็งของหนังเรื่องนี้ ถ้าให้ยกละก็น่าจะเป็นการผสมผสานความเป็นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เยอะมากกกกก เพราะจากที่ตามอ่านข้อมูลต่างๆ ข้อหนัง ก็ทำให้รู้ว่าทีมเบื้องหลังหลักๆ ของเรื่องนี้เป็นชาวเอเชียค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะเป็นคนเขียนบทอย่าง อเดล ลิม เจ้าของผลงานอย่าง Crazy Rich Asians หรือแม้กระทั่ง ฝน-ประสานสุข วีระสุนทร ที่รับหน้าที่เป็น Head of Story ในเรื่องนี้ ได้กำหนดทิศทางต่างๆ ไว้อย่างเยอะแยะ ไม่ว่าจะเป็นการดีไซน์เมืองแต่ละเมือง ฉากต่างๆ สถานที่ ฉากการต่อสู้ หรือแม้แต่อาหาร ที่ทีมรีเซิร์จทำหน้าที่ได้ละเอียดยิบ! เรียกว่าเก็บมันทุกดอกเลยก็ว่าได้ ซึ่งความละเอียดนี้กลายเป็นอีกหนึ่งกิมมิคที่ทำให้คนดูได้สังเกตว่าแต่ละอย่างในเรื่องที่เห็น มีการผสมผสานจากสิ่งไหนในประเทศไทย และประเทศอื่นๆ ในอาเซียนด้วย ส่วนเรื่องเสียงพากย์ ขอออกตัวก่อนว่าได้ดูซ้ำ 2 รอบแล้ว แบบต้นฉบับพากย์อังกฤษ กับ พากย์ไทยที่หลายๆ คนแอบคิดว่า ญาญ่า ที่เป็นดาราระดับแนวหน้าของไทยนั่นจะพากย์ได้ดีขนาดไหน ซึ่งในมุมส่วนตัวรู้สึกว่า ญาญ่า ทำการบ้านมาค่อนข้างดีเลย ถึงแม้ว่าอาจจะมีความไม่เข้ากันนิดๆ กับทีมนักพากย์คนอื่นๆ ในช่วงแรกๆ แต่พอเราคุ้นเคยกับเสียงของญาญ่าไปแล้ว ทำให้รู้สึกว่า ญาญ่าก็เป็นนักพากย์อีกคนหนึ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ไม่เสียอรรถรสไปมากมายอย่างแน่นอน แต่ความเซอร์ไพรส์ของตัวเอง กลับกลายเป็นว่า เสียงพากย์ของมังกรเวอร์ชั่นภาษาไทยที่ได้ พิมพิดา พิทักษ์สงคราม มาพากย์เสียงนี้ บอกเลยว่าเหมือน Awkwafina มาพูดไทยใส่เลย (ฮาาาาาาา) ทำให้หนังดูลื่นและมีเสน่ห์เอามากๆ เลยล่ะ สรุปแล้ว Raya and the Last Dragon เป็นหนังที่ดูได้ทั้งพากย์ไทยและซับไทยนะ มีความสนุกแบบดูเพลินๆ แต่ก็แอบเสียดายที่หนังดูสั้นไปนิดดดนึง อยากให้ตอนที่อยู่ในแต่ละเมืองยาวกว่านี้อีกนิดนึง ไม่งั้นจะเต็มอิ่มมากกว่านี้ล่ะนะ Fun Fact ยังไม่มีการยืนยันว่า รายา จะเป็นเจ้าหญิงดิสนีย์อย่างเป็นทางการหรือไม่ ซึ่งถ้าเป็นจริง จะทำให้รายาเป็นเจ้าหญิงดิสนีย์คนแรกที่มาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพลงประจำหนังที่ชื่อว่า Lead the Way ที่ร้องโดย Jhené Aiko ในตอนนี้มีหลายเวอร์ชั่นออกมาให้ฟังแล้ว ทั้งอังกฤษ เกาหลี ฟิลิปปินส์ อิโดนีเซีย อิตาลี สเปน แต่ยังไม่มีเวอร์ชั่นภาษาไทยออกมาให้ฟังเลยในตอนนี้ อ่อ!! อย่าลืมไปดูเรื่อง Us Again อนิเมชั่นขนาดสั้นที่ฉายแปะหัวหนังด้วยนะ แล้วจะรู้ว่า ถ้าดิสนีย์ ได้ทำหนัง La La Land จะออกมาประมาณไหน (ฮาาาา)