เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้ดำเนินการลดและเลิกใช้พลาสติกอีก 4 ชนิด ประกอบด้วย ถุงพลาสติกหูหิ้ว ความหนาน้อยกว่า 36 ไมครอน กล่องโฟมบรรจุอาหาร ไม่รวมโฟมกันกระแทกที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรม แก้วพลาสติก ความหนาน้อยกว่า 100 ไมครอน หลอดพลาสติก ยกเว้นการใช้ในกรณีจำเป็น ได้แก่ การใช้ในเด็ก คนชรา ผู้ป่วย เป็นต้น มีเป้าหมายให้ “เลิกใช้” ภายในปี 2565 และเปลี่ยนมาใช้วัสดุทดแทนที่เป็นมิตรกับธรรมชาติแบบ 100% แทน นอกจากนี้ ยังมีเรื่องการนำพลาสติกเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ให้ได้ไม่น้อยกว่า 50% ของพลาสติกเป้าหมายภายในปี พ.ศ. 2565 ได้แก่ ถุงพลาสติกหูหิ้ว บรรจุภัณฑ์ฟิล์มพลาสติกชั้นเดียว ขวดพลาสติกทุกชนิด ฝาขวด แก้วพลาสติก ถาด/กล่องอาหาร และ ช้อน/ส้อม/มีด โดยมีมาตรการดำเนินงาน 3 ด้าน ได้แก่ มาตรการลดการเกิดขยะพลาสติก ณ แหล่งกำเนิด โดยมุ่งเน้นให้ความสำคัญในการป้องกันและควบคุมการเกิดของเสียตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต มาตรการลด/เลิกใช้พลาสติก ณ ขั้นตอนการบริโภค มาตรการจัดการขยะพลาสติกหลังการบริโภค โดยมุ่งเน้นให้ความสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการนำขยะพลาสติกกลับมาใช้ประโยชน์เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน หากการดำเนินงานในส่วนนี้สำเร็จ รัฐบาลคาดว่าจะลดปริมาณขยะพลาสติกลงได้ประมาณ 0.78 ล้านตันต่อปี ประหยัดงบประมาณจัดการขยะได้ประมาณ 3,900 ล้านบาทต่อปี และการคัดแยก การนำขยะพลาสติกกลับมาใช้ใหม่จะสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเทียบเท่าคาร์บอนไดออกไซด์ 1.2 ล้านตัน อย่างไรก็ตาม จากสถิติพลาสติกในประเทศไทย ตามข้อมูลธนาคารโลก ระบุว่า คนไทยหนึ่งคนสร้างขยะพลาสติกต่อปีประมาณ 70 กิโลกรัม สูงเป็นอันดับ 5 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เกาหลีใต้ และเยอรมัน โดยไทยอยู่ในอันดับที่ 8 ของประเทศที่สร้างมลพิษพลาสติกลงสู่มหาสมุทร ที่มา BrandThink