ธงสีรุ้งโบกสะบัดอยู่ ณ ทั่วทุกมุมหัวเมืองใหญ่ในมิถุนายน เดือนแห่ง Pride Month เป็นช่วงเวลาแสนพิเศษของ LGBTQ ที่จะได้แสดงออกถึงสิทธิในการรักใครก็ได้ เพราะทุกคนมีความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียม ในวันนี้ Mango Zero ก็ขอร่วมสนับสนุนในการแสดงความเท่าเทียมกันทางเพศ ด้วย 8 ภาพยนตร์ LGBTQ แล้วคุณจะเห็นว่าความสวยงามของความรัก เกิดขึ้นได้ในทุกรูปแบบ : ) รักแห่งสยาม (2007) ถือเป็นเรื่องที่โด่งดังมากในช่วงที่หนังเปิดตัว เพราะไทยในตอนนั้นยังไม่ค่อยมีหนังแนวนี้ออกมามากนัก แต่ก็ได้รับความสำเร็จอย่างงดงาม เป็นเรื่องราวของสองเพื่อนสนิทโต้ง และ มิว ที่ต่างก็พบกับเรื่องบอบช้ำในอดีต แม้สุดท้ายแล้วทั้งคู่รู้หัวใจตัวเอง แต่ก็ไม่สามารถคบกันได้เพราะปัญหาในเรื่องการยอมรับจากคนรอบข้าง ด้วยโลเคชันที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี และนักแสดงที่เข้าถึงบทบาททุกวัย ทำให้ทุกคนอินและเข้าถึงได้ไม่ยาก หนังเรื่องนี้ได้พาเราทุกคนค่อยๆ เปิดใจยอมรับ ทั้งกับภาพยนตร์และตัวเองไปพร้อมๆ กัน Blue is the warmest colour (2013) เมื่อ “อเดล” เด็กสาวชนชั้นแรงงาน ให้ความสนใจในวิชาการและไม่ยี่หระต่อสังคม ได้มาเจอกับ เอมม่า หญิงสาวผมสีฟ้าผู้หลงใหลในความเป็นศิลปะ และพาอเดลก้าวเข้าสู่โลกศิลปินของเธอ เรื่องราวเหมือนจะเรียบง่ายถ้าทั้งคู่ไม่เจอเข้ากับปัญหาบางอย่างเข้าซะก่อน หนังดีกรีรางวัลปาล์มทองคำจากคานส์เมื่อปี 2013 แม้ในภายหลังสองสาวนักแสดงได้มีการเปิดเผยถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากการถ่ายทำฉากแรงและหวือหวาที่ปรากฏให้เห็นในหนัง(ทำให้ได้รับการจำกัดเรทไว้ที่ 20 ปีขึ้นไป) แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าองค์ประกอบต่างๆ รวมถึงบทนั้น มอบข้อคิดเรื่องมุมมองของความรักให้เรามากมายได้เช่นเดียวกัน Call me by your name (2017) “เอลิโอ” เด็กหนุ่มวัย 17 อาศัยอยู่ที่อิตาลี ต้องมาดูแล “โอลิเวอร์” ชาวอเมริกันวัย 24 ผู้ช่วยของพ่อที่มาอยู่ร่วมชายคาชั่วคราว ในตอนแรกดูเหมือนหนุ่มน้อยจะไม่ชอบหน้าเพราะต้องแบ่งห้องให้ ซ้ำยังต้องเป็นไกด์จำเป็นพาทัวร์เมือง แต่เมื่อเวลาผ่านไป กลับพบว่าตัวเองโดนสเน่ห์ของหนุ่มอเมริกันดึงดูดจนตกหลุมรักแบบถอนตัวไม่ขึ้น แม้ว่าเอลิโอจะมีแฟนสาวอยู่แล้วก็ตาม นอกจากจะมีภาษาอิตาเลียนท้องถิ่นแทรกเข้ามาประปรายอยู่ในหนังแล้ว ยังเพิ่มความคลาสสิคด้วยวิวและฉากต่างๆ ที่สวยงามจนต้องกลับมาดูซ้ำๆ รู้หรือไม่ว่าเบื้องหลังการเซ็ทแสงที่สวยงามจนกลายเป็นเมืองในฝันนั้น เป็นฝีมือของผู้กำกับภาพชาวไทย คุณสยมภู มุกดีพร้อม นั่นเอง Carol (2015) หนังรักที่เซ็ทฉากยุค 50 มีตัวละครหลักคือ “แครอล” สาวไฮโซและมีความเป็นผู้ใหญ่สูง แต่งงานมีลูกกับสามีและใช้ชีวิตตามสังคมทั่วไป จนกระทั่งได้มาเจอกับ “เทเรส” พนักงานห้างที่มีความเป็นเด็กอย่างชัดเจนในบุคลิก ทั้งคู่เริ่มตกหลุมรักกันมากขึ้น แต่ต้องกดความรู้สึกไว้ ด้วยความเหลื่อมล้ำของสังคมในสมัยนั้น และบทบาทความเป็นแม่ของแครอล เกิดเป็นข้อกังขาทางศีลธรรม ว่าสิ่งไหนกันแน่คือความถูกต้อง หนังเรื่องนี้ดำเนินไปอย่างช้าๆ ด้วยการสงวนทีท่า แต่แสดงออกถึงความรักอย่างแจ่มชัดผ่านทางสายตาของตัวละคร ทิ้งช่วงเวลาให้เราได้ร่วมขบคิด Moonlight (2016) “ไชรอน” ชายผิวสีที่เติบโตในสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่ หนังเรื่องนี้แบ่งเป็นสามตอน เหมือนกับชื่อของไชรอนที่ถูกเรียกจากคนรอบๆข้าง คือ ลิตเติ้ล ไชรอน และ แบล็ค ในแต่ละตอนเขาพบกับปัญหาแตกต่างกันไป แต่ทุกช่วงเวลาเต็มไปด้วยความเหงาและอึดอัดที่ตัวละครแสดงออกมาได้ดีมากๆ ทำให้คนดูรู้สึกเจ็บปวดไปพร้อมกัน หากกำลังมองหาหนังเรียกน้ำตาและปลุกความอ่อนไหวในตัว ก็คงพลาดเรื่องนี้ไปไม่ได้ เพราะไม่เพียงแต่แสดงถึงปัญหาระหว่างการยอมรับ แต่ยังเต็มไปด้วยเรื่องของปัญหาของชนชาติ สีผิว และมิตรภาพอีกด้วย Boy Erased (2018) “เจอราร์ด”ชายหนุ่มที่เติิบโตมาในครอบครัวที่เคร่งศาสนา เมื่อทางบ้านรู้ว่าเขาเป็นเกย์ จึงถูกส่งไปยังสถานบำบัดด้วยความหวังว่าจะกลับมาเป็นผู้ชายเหมือนเดิม แต่ก็ยิ่งทำให้เจอราร์ดรู้และมั่นใจในความเป็นตัวเองมากขึ้น ทางเลือกหลังจากนั้นจึงกลายเป็นครอบครัวหรือตัวเอง หนังเรื่องนี้ยังเต็มไปด้วยนักแสดงระดับคุณภาพมากมาย และหนึ่งในนั้นคือ ลูคัส เฮ็ดจ์ นักแสดงหนุ่มที่เคยได้เข้าชิงรางวัลออสการ์จากหนังเรื่อง Manchester by the Sea The Danish Girl (2015) ย้อนกลับไปในช่วงยุค 20 ที่เพศใดใดนอกจากหญิงและชาย นับว่าเป็นอาการป่วย มีคู่รักศิลปิน “ไอนาร์” และ “เกอร์ด้า” ได้ใช้ชีวิตอย่างปกติสุขเรื่อยมา จนกระทั่งแฟนสาวเกอร์ด้า นึกสนุก จับไอนาร์ ปลอมตัวเป็นหญิงเข้าไปในงานเลี้ยงและมีผู้ชายเข้ามาจีบ หลังจากนั้นความรู้สึกของไอนาร์ก็เปลี่ยนไป นอกจากจะได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องจริงของ ไอนาร์ เวเกเนอร์ ศิลปินชาวเดนมาร์ก ก่อนจะผ่าตัดแปลงเพศเป็น ลิลี่ เอลบี ซึ่งถือการผ่าตัดทางเพศครั้งแรกๆ ของโลกแล้ว หนังเรื่องนี้ยังได้แสดงให้เห็นถึงวลีที่ว่า “แม้คนรักจะเปลี่ยนไป แต่ความรักที่มีให้ยังคงเดิม” อย่างเป็นรูปธรรมต่อคนดูได้อย่างถ่องแท้อีกด้วย Love, Simon (2018) กลับมาที่หนังรักฟีลกู๊ดในยุคปัจจุบันกันบ้าง “ไซมอน” ชายหนุ่มที่ปกปิดความเป็นเกย์ของตัวเองมาตลอด ได้อีเมลล์แชทกับบุคคลนิรนามชื่อว่า “บลู” ด้วยความสบายใจ(และหลงรัก) สุดท้ายจึงยอมบอกความลับกับคนแปลกหน้า ซึ่งเข้าตามตำราเพราะไม่นานต่อมาได้มีมือดีเปิดเผยแชท! หลังจากนั้นการใช้ชีวิตของไซมอนก็เปลี่ยนไป นอกจากจะสอนเกี่ยวกับการยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นแล้ว หนังเรื่องนี้ยังได้ Troye Sivan มาร้องเพลงประกอบเพิ่มความฟินและฟีลกู๊ดอย่าง “strawberries and cigarettes” กันอีกด้วย นอกจากคาแรคเตอร์ของตัวละครจะสามารถแสดงความรักของรูปแบบต่างๆ ได้อย่างแจ่มชัดแล้ว โทรทัศน์ที่มีความคมชัด ก็ทำให้เราเข้าถึงอารมณ์ของหนังได้เช่นเดียวกัน สามารถเลือกซื้อโทรทัศน์ที่มีความชัดระดับ HD ได้ ที่นี่