โจ ไบเดน กับ 7 เรื่องเด่นน่ารู้ จากมือขวาโอบาม่า สู่ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นักประนีประนอม

Writer : kantapetch

: 3 พฤศจิกายน 2563

 

“แคนดิเดตที่อ่อนแอที่สุด”, “ธรรมดา น่าเบื่อ”, “แก่เกินแกง”, “พระรองตลอดกาล” 

 

และอีกหลายคำดูถูกครหาที่อดีตรองปธน. โจ ไบเดน เจอมาตลอดเวลาที่ต่อสู้บนสนามการเมืองในฟากฝั่งเดโมแครต จะเงียบลงทันที ถ้าพรุ่งนี้ ผลการคะแนนเสียงของคนอเมริกันทั้งประเทศเป็นใจให้กับเขา

 

ซึ่งแนวโน้มก็ทำท่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะถึงจะดูธรรมด๊าธรรมดาจนไม่ได้มีผลงานที่น่าจดจำ แต่เมื่อคนอเมริกันต้องตกอยู่ใต้การดูแลของโดนัลด์ ทรัมป์ถึง 4 ปี พวกเขาก็พร้อมโอบกอดความธรรมดาของไบเดนอย่างเต็มใจ

 

และถ้าไม่ได้ไร้เสียงดาเกินไปนัก ไม่ว่าใครก็ย่อมรู้ว่าสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้พัดวนแค่ในเมืองลุงแซม แต่จะพัดแรงไปไกลทั่วโลก ถึงจะไม่ใช่พลเมืองสหรัฐฯ โดยกำเนิด เราจึงอดตื่นเต้นไม่ได้กับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้

 

เลยอยากชวนทุกคนมาทำความรู้จักชายวัย 78 ปี ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ให้มากขึ้น เพราะเชื่อว่าหลายคนคงยังไม่รู้จักเขาดี ถึงหลังจากนี้ เราอาจต้องเห็นชื่อเขาบนหน้าข่าวต่างประเทศจนชินตาก็ตาม

 

 

 

โจเซฟ โรบิเนตต์ ไบเดน จูเนียร์ หรือโจ ไบเดน เกิดเมื่อ 20 พฤศจิกายน 1942 ที่เมืองสแกรนตัน รัฐเพนซิลเวเนีย เป็นลูกชายคนโตของโจเซฟ โรบิเนตต์ ไบเดน ซีเนียร์ และจีน ฟินเนแกน ไบเดน

 

โจเซฟคนพ่อโตมาแบบมีกินมีใช้ ก่อนจะโดนพิษการเงินเล่นงานจนทำให้ครอบครัวไบเดนอยู่อาศัยกันอย่างขัดสน จนต้องย้ายที่อยู่จากสแกรนตันไปยังเดลาแวร์ ตอนโจ ไบเดนอายุได้ 10 ขวบ 

 

ที่นั่น โจเซฟคนพ่อได้งานเป็นเป็นเซลส์ขายรถมือสอง ส่วนโจก็ทำงานพิเศษแลกกับค่าเทอม แบ่งเบาภาระของที่บ้าน อาทิล้างกระจกโรงเรียน รดน้ำต้นไม้ ก็เรียกว่าโตมาแบบชนชั้นกลางที่ไม่ได้สุขสบายบนกองเงินกองทองนั่นแหละ 

 

สิ่งที่ติดตัวโจ ไบเดนมาตั้งแต่เด็กๆ จึงเป็นเลือดนักสู้ ผู้อดทนและแข็งแกร่งทั้งร่างกาย ทั้งจิตใจ

 

แต่มีหนึ่งสิ่งที่ไม่ได้ติดตัวเขามาด้วย ต้องเรียนรู้และฝึกฝนด้วยการทำซ้ำมากกว่าร้อยกว่าพันครั้ง – ปฏิเสธไม่ได้ว่า หนึ่งในสกิลสำคัญของคนที่จะก้าวมาเป็นผู้นำของชาติมหาอำนาจที่สุดของโลกอย่างสหรัฐอเมริกาคือ ‘การพูด’ แต่เชื่อหรือไม่ว่า โจ ไบเดน ผู้ก้าวเท้าไปสู่ตำแหน่งนั้นแล้วครึ่งก้าว เคยพูดติดอ่างมาก่อน

 

หนักถึงขั้นที่พ่อแม่ต้องส่งเขาไปหานักบำบัด แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้หาย กลายเป็นปมด้อยที่ทำให้เขาถูกบูลลี่ที่โรงเรียนในทุกเมื่อเชื่อวัน โจต้องแก้ปมนี้ด้วยตัวเอง เพียรพยายามท่องข้อความยาวๆ หน้ากระจก วันแล้ววันเล่าจนปัญหาทุเลาลง – ไม่มีเคล็ดลับ ไม่มีทางลัด มีแต่ต้องทำซ้ำๆ ทุกวันๆ 

 

หรือถ้าจะมี…โจก็อยากเรียกมันว่ากำลังใจมากกว่า กำลังใจนั้นเขาได้จากแม่ ที่พร่ำบอกทุกวันให้เด็กชายโจมั่นใจในตัวเอง 

 

“แม่บอกผมว่า”โจอี้, อย่าให้สิ่งนี้มานิยามตัวลูก จงจำไว้ว่าลูกเป็นใคร และลูกจะทำมันได้”…ทุกครั้งที่ผมอยากล้มเลิก แม่จะพูดแบบนี้กับผมเสมอ มันอาจฟังดูโง่ๆ ซื่อๆ แต่ก็ได้ผลนะ” 

 

โจ ไบเดน หายจากอาการติดอ่างเป็นปลิดทิ้งในที่สุด และประกอบอาชีพที่ต้องใช้วาทะศิลป์เป็นหลักมามากกว่าครึ่งชีวิตแล้ว

 

 

 

 

ในช่วงวัยแห่งการเรียน ว่ากันว่าสามารถแบ่งเด็กได้เป็น 2 ประเภท ไม่เด็กเรียน ก็เด็กไม่เรียน เอ้ย! เด็กกิจกรรม

 

โจ ไบเดนในวัยเด็กคือแบบหลัง เป็นนักเรียนฐานะปานกลางที่ก็เรียนได้ปานกลางค่อนไปทางไม่เก่ง จะมุ่งเน้นไปทางด้านกีฬามากกว่า โดยเฉพาะเบสบอลและอเมริกันฟุตบอลที่เป็นเลิศเหนือเพื่อนวัยเดียวกันจนได้รับเลือกให้เป็นผู้นำของทีม และไม่พอ ยังถูกแต่งตั้งเป็นหัวหน้าชั้นเรียนด้วย

 

เหตุผลหนึ่งที่ทำให้โจ ไบเดนโดดเด่นในด้านกีฬา เพราะเขาทำมันด้วยความมั่นใจ 

 

“การเล่นกีฬาก็เป็นสิ่งที่ผมทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ ต่างจากการพูดที่ไม่ธรรมชาติเลยสักนิด กีฬาเลยเป็นเหมือนใบเบิกทางให้ผมเป็นที่ยอมรับในสังคม แม้ว่าผมจะพูดติดอ่าง แต่ผมก็จะมั่นใจมากๆ เวลาต้องตะโกนในสนามว่า ส่งบอลมาให้ฉัน!”

 

กีฬากับไบเดนกลายเป็นของคู่กันมาตลอด พอจบไฮสคูล เข้าศึกษาต่อที่มหาลัยเดลาแวร์ ในสาขาประวัติศาสตร์และการเมือง เขาก็ใช้ชีวิตช่วงสองปีแรกที่สนามกีฬาและปาร์ตี้ มากกว่าในห้องเรียน เล่นดีจนติดทีมอเมริกันฟุตบอลของมหาลัย และมีแนวโน้มจะจบไปเป็นนักกีฬาได้เลยด้วย

 

แต่เข็มทิศชีวิตเขาก็เบนไปทางอื่นหลังจากเรียนจบ ไบเดนเลือกเรียนต่อด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยซิราคิวส์ รัฐนิวยอร์ก ก่อนจะจบการศึกษาในปี 1968 ทำงานเป็นทนายความ แล้วจึงลงสนามอีกครั้ง แต่ไม่ใช่สนามหญ้าสีเขียวเหมือนสมัยเรียน แต่เป็นสนามการเมืองที่ขับเคี่ยวดุเดือดยิ่งกว่า 

 

 

 

 

 

ไบเดนเริ่มปลูกต้นรักกับ นีเลีย ฮันเตอร์ ตั้งแต่เรียนมหาลัย ก่อนจะเข้าประตูวิวาห์กันในปี 1964 และมีลูกด้วยกันสามคนคือ โจเซฟ (โบ), ฮันเตอร์ (ฮันเตอร์), นาโอมิ (เอมี่) 

 

ตอนนั้นเขาเพิ่งชนะเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา มีหน้าที่การงานมั่นคง ชีวิตครอบครัวก็ลงตัว อะไรๆ ก็ดูจะดีไปหมด กระทั่งมรสุมชีวิตลูกใหญ่พัดเข้าใส่ไบเดนแบบไม่ให้ทันตั้งตัว 

 

หนึ่งวีคก่อนวันคริสต์มาสปี 72 นีเลียขับรถพาลูกๆ ไปช็อปปิ้ง ก่อนถูกรถบรรทุกชนเข้าอย่างจัง เธอและเอมี่ ลูกสาวคนเล็ก เสียชีวิตทันที ขณะที่ลูกชายทั้งสองบาดเจ็บสาหัส

 

ไบเดนตรอมใจจนคิดจะถอนตัวจากตำแหน่งทางการเมือง หรือดำดิ่งถึงขั้นคิดสั้นก็เคย แต่สิ่งที่รั้งให้เขายังสู้ต่อก็คือลูกชายสองคนที่รอดพ้นจากความตาย

 

เขาถึงกับสาบานตนเข้ารับตำแหน่งทางการเมือง ที่ข้างเตียงที่ลูกรักษาตัวอยู่

 

3 ปีต่อมา ไบเดนพบกับ จิล เจคอบส์ จากการนัดเดต และแต่งงานกันในปี 77 มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคนชื่อ แอชลีย์ – ทั้งสองเข้ามาต่อเติมหัวใจที่แตกสลายของไบเดน ให้กลับเต็มดวงอีกครั้ง 

 

จนปี 2015 โจ ไบเดนก็ต้องเผชิญกับความสูญเสียอีกรอบ เมื่อโบ ลูกชายคนโต  เสียชีวิตในวัย 46 ด้วยโรคมะเร็งสมองที่เจ้าตัวต่อสู้มานาน 

 

โบเคยผ่านสงครามอิรัก และเป็นอัยการมือทองของรัฐเดลาแวร์ เคยมีแผนจะลงชิงตำแหน่งสว.ในตำแหน่งของพ่อที่ว่างลงเพราะไปดำรงตำแหน่งรองปธน.ด้วย น่าเสียดายที่แผนนั้นไม่เกิดขึ้นจริง

 

 

 

 

ปี 1973 โจ ไบเดน ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาแห่งรัฐเดลาแวร์ ในฐานะนักการเมืองหน้าใหม่ ไฟแรง ก่อนดำรงตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้นานถึง 36 ปี
 
แต่ระหว่างทาง ก็ใช่ว่าเขาจะไม่อยากเปลี่ยนไปทำตำแหน่งอื่น
 
ซึ่งตำแหน่งอื่นในที่นี้ ก็คือประธานาธิบดีนี่แหละ
 
เขาเคยพยายามสมัครปธน.ในพรรคเดโมแครต 2 ครั้ง และก็ล้มเหลวทั้ง 2 ครั้ง
 
ครั้งแรกคือปี 1988 หรือหนึ่งปีหลังก้าวขึ้นมาเป็นนักการเมืองตัวท็อปของเดโมแครต ไบเดนต้องถอนตัวเพราะมีคนบอกว่าเขาลอกคำปราศรัยของนักการเมืองอังกฤษ
 
อีกครั้งคือปี 2007 แต่ก็ต้องถอนตัวตั้งแต่ศึกเพิ่งเริ่มได้ไม่นาน เพราะในพรรคมีสองตอใหญ่ๆ  อย่างฮิลลารี คลินตัน และบารัค โอบาม่าขวางอยู่ 
 

แต่ในที่สุด โอกาสก็หล่นมาถึงไบเดนสักที เมื่อโอบาม่าเลือกเขาให้มาเป็น ‘มือขวา’ เคียงข้างในตำแหน่งรองประธานาธิบดี คอยเป็นคนให้คำปรึกษา และหารือกับโอบาม่าในทุกๆ เรื่อง 

 

โอบาม่าถึงกับเอ่ยปากว่าไบเดนอยู่เคียงข้างเขาในการทุกการตัดสินใจที่ยากๆ

 

และแน่นอน ในศึกเลือกตั้งครั้งนี้ โอบาม่าก็ออกโรงลงพื้นที่ช่วยไบเดนหาเสียงด้วย

 


เมื่อเป็นผู้สมัครในวัย 70 ปลายๆ หรือก็คือคนรุ่น Baby Boomer ที่ลงเล่นการเมืองตั้งแต่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งหนนี้หลายคนยังไม่เกิดด้วยซ้ำ 
 
โจ ไบเดน จึงต้องคิดแคมเปญที่เข้าถึงกลุ่มวัยรุ่นโดยเฉพาะ เพื่อทำให้เขา ‘ได้ใจ’ และ ‘เข้าใจ’ วิธีคิดของคนรุ่นลูกรุ่นหลาน 

 

แคมเปญนั้นก็คือการจับมือเกมดัง Fortnite สร้างแผนที่ใหม่ชื่อ ‘Build Back Better with Biden’ ตั้งอยู่ใน Reboot City เพื่อชวนคนมะกันออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง โดยจะมีการสาธิตขั้นตอนเลือกตั้ง ตั้งแต่ลงทะเบียนใช้สิทธิ์ หย่อนบัตรลงหีบ หรือวิธีเลือกตั้งล่วงหน้า อยู่ภายในเกม

 

นอกจากนี้ ใน Build Back Better with Biden จะมีกิจกรรมเล็กๆ ที่ทำเสร็จได้ในครึ่งชั่วโมง อาทิ ช่วยสร้างศูนย์วิจัยใหม่ที่ Champ Construction Site, Install Scranton Towers 3 แห่ง, ไปเยี่ยมร้านขายไอศกรีม Joe’s Famous Ice Cream Shop หรือทำความสะอาดโรงงานผลิตรถ Major’s Auto Factory 

 

ซึ่งล้วนเกี่ยวโยงกับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจของไบเดนทั้งหมด 

 

ผู้เล่น Fortnite สามารถเข้าไปเล่นแผนที่ Build Back Better ได้เพียงใส่รหัส 0215-4511-1823 ผ่าน Access Code

 

 

 

 
อีกหนึ่งชื่อที่จะไม่พูดถึงไม่ได้คือ คามาลา แฮร์ริส – ถ้าไบเดนได้เป็นปธน. เธอก็จะได้เป็นรองปธน.หญิงผิวสีเชื้อสายอเมริกัน-เอเชียคนแรกในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐฯ 
 
ไบเดนประกาศไว้ตั้งแต่หาเสียงสำหรับเลือกตั้งขั้นต้น ว่าจะเลือกสตรีเพศมาเป็นรองประธานาธิบดี และสังคมก็กดดันเขาให้เลือกคนผิวสีมาทำงานนี้ หลังเกิดปรากฏการณ์ประท้วง Black Lives Matter ทั่วประเทศและทั่วโลก ซึ่งคนที่เป็นเต็งหนึ่งในโผมาตลอด ก็คือแฮร์ริส
 
ว่าแต่เธอคือใคร? – คามาลา แฮร์ริส เป็นบุตรสาวของผู้อพยพชาวอินเดียและจาเมกา จบจากมหาวิทยาลัย Howard University, University of California และ Hastings College of the Law เริ่มชีวิตการทำงานที่สำนักงานอัยการเขตอาลาเมดา เคาท์ตี ก่อนย้ายไปเขตซานฟรานซิสโก และเติบโตในหน้าที่การงานมาเรื่อยๆ ตามฝีไม้ลายมือที่แกร่งกล้าขึ้นตามเวลา ทั้งกฎหมายและการเมือง
 
ปี 2017 แฮร์ริสเข้าพิธีสาบานตนเพื่อรับตำแหน่งวุฒิสมาชิกรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยเป็นสตรีชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันคนที่ 2 และเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียใต้คนแรกที่ดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ
 
นอกจากนี้ เธอยังทำหน้าที่ในคณะกรรมาธิการฝ่ายกิจการความมั่นคงแห่งมาตุภูมิและกิจการของรัฐ คณะกรรมาธิการข่าวกรอง คณะกรรมาธิการตุลาการ และคณะกรรมาธิการด้านงบประมาณ
 
เคยลงท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีด้วย แต่ก็ไปไม่ถึงฝั่งฝัน ก่อนได้โอกาสใหม่จากเดโมแครต ในการลงสมัครเป็นรองประธานาธิบดีคู่โจ ไบเดน
 
จุดเด่นของแฮร์ริสคือทักษะการพูดที่เป็นเลิศ (เคยดีเบตแข่งกับไบเดน และทำได้ดีกว่าด้วยซ้ำ) และความเอาจริงเอาจังในการทำงานเพื่อความยุติธรรม 
 
ที่สำคัญคือ เธอเป็นจะตัวแทนของคนผิวสีและคนต่างเชื้อชาติที่ส่งเสียงได้ดังสุดๆ ในสภา ถ้าโอกาสในการนั่งเก้าอี้ข้างกับไบเดนมาถึงเธอ
 
 
 
 
เมื่อสหรัฐอเมริกาคือประเทศที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีจึงไม่เพียงสร้างความเปลี่ยนแปลงภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อประเทศอื่นในโลก อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
 
ไบเดนย่อมรู้ดีแก่ใจ และเขาก็เห็นว่าปัญหาที่ทั่วโลกต่างโฟกัสมาที่สหรัฐฯ คือเรื่องสิ่งแวดล้อม และสุขภาพ ซึ่งก็เกี่ยวโยงกับเศรษฐกิจทั้งทางตรงและอ้อม
 
เพราะสหรัฐฯ คือประเทศที่สร้างมลภาวะมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากจีน
 
แต่ที่ผ่านมา โดนัลด์ ทรัมป์ กลับแสดงจุดยืนชัดเจนว่าต่อต้านกฎเกณฑ์และนโยบาลด้านสิ่งแวดล้อมของสหรัฐฯ ที่มีจุดประสงค์เพื่อจำกัดความรุนแรงของภาวะโลกร้อน และปฏิเสธที่จะเชื่อในสาเหตุหลักที่ทำให้อุณภูมิของโลกสูงขึ้น 
 
เคยกล่าวในการดีเบตชิงเก้าอี้ปธน.ว่า สหรัฐฯ คือประเทศที่มีน้ำและอากาศสะอาดที่สุด พร้อมเรียกจีนและอินเดียว่าเป็นประเทศที่โสโครก
 
ทั้งยังเชื่อว่าโควิดน่ะเรื่องจิ๊บๆ ไม่ต้องใส่หน้ากากอนามัยก็เอาอยู่ (ตัวเองเลยติดโควิดโชว์ซะเลย)
 
โจ ไบเดน มีความเห็นในเรื่องเหล่านี้ตรงข้ามกับทรัมป์แบบสุดขั้ว 
 
เริ่มจากเตรียมผลักดันนโยบายเกี่ยวกับสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม สหรัฐอเมริกาจะต้องไม่ปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศภายในปี 2050 และจะต้องกลับไปร่วมกับประชาคมโลกตามข้อตกลงปารีส (ที่ทรัมป์ประกาศถอนตัว) 
 
ควบคู่กับแผนเศรษฐกิจที่ต้องการให้ผลิตพลังงานสะอาดมากขึ้น
 
ด้านสุขภาพ ไบเดนก็วางแผนจะดึงนโยบาย ‘โอบามา แคร์’ กลับมา เพราะเชื่อว่าประชาชนควรมีประกันสุขภาพใหม่และราคาถูกจากรัฐ คู่ไปกับประกันสุขภาพราคาแพงของเอกชน รวมถึงจะเพิ่มสิทธิประโยชน์ในเรื่องการรักษาพยาบาลสำหรับผู้สูงอายุด้วย
 
ส่วนเรื่องโควิด19 ที่ก็เป็นวาระสำคัญ ไบเดนจะจัดให้มีการตรวจหาเชื้อฟรี พร้อมจ้างคนสำหรับทำโปรเจกต์แทรกกิ้งผู้สัมผัสเชื้อทั่วประเทศเพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งแสนอัตรา
 
ทั้งยังต้องเพิ่มศูนย์ตรวจหาเชื้ออีก 10 แห่งในแต่ละรัฐ และออกข้อบังคับให้คนสวมหน้ากากอนามัย
 
จริงๆ เขาเริ่มทำเรื่องนี้เป็นตัวอย่างแก่ประชาชนตั้งแต่ช่วงกักตัว ไบเดนแทบไม่ก้าวพ้นจากประตูบ้าน ใช้ช่องทางออนไลน์ในการหาเสียง (โดยประยุกต์ชั้นใต้ดินที่บ้านเป็นสตูดิโอถ่ายวิดีโอชั่วคราว) เพื่อทำให้ประชาชนมะกันเห็นว่า การเว้นระยะห่างทางสังคมนั้นสำคัญแค่ไหน

ยิ่งไปกว่านั้น วัคซีนรักษาเจ้าโรคร้ายนี้ต้องสร้างให้สำเร็จเสร็จสิ้นได้แล้ว ไม่ใช่ราคาคุยเหมือนทรัมป์ ที่รับปากไว้แต่ก็ยังทำไม่ได้สักที

นโยบายอื่นๆ ก็สำคัญ ถ้าเขาได้นั่งเก้าอี้ปธน.ดังใจหวัง ก็จะเริ่มรันทุกอย่างตามที่สัญญาไว้ตอนหาเสียง

 

Writer Profile : kantapetch
หมาผู้พยายามน่ารักเท่าโลก
Blog : Social Media : Facebook, Twitter
View all post

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save