Mango Zero

6 เคล็ดลับมนุษย์ออฟฟิศใช้ชีวิตยังไงให้ Productive

หนึ่งในความฝันของคนรุ่นใหม่วัยทำงานคือการใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ งานก็ไม่ติดขัด ชีวิตจัดสรรได้ สุขภาพร่างกายดี มีเวลาไปเที่ยวตามใจ และยังสามารถพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นไปได้อีก วิถีชีวิตที่แสนเพอร์เฟคแบบนี้คือการวิถีการใช้ชีวิตอย่าง Productive ที่หลายคนใฝ่ฝัน 

ถ้าอยากจะมีชีวิตแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ทำยากเลย แค่เปลี่ยนวิถีชีวิต ปรับวิธีคิดบางอย่าง แล้วทำประจำอย่างสม่ำเสมอคุณก็เป็นคนที่ Productive ได้ สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี เรามี 6 เคล็ดลับที่จะเป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดาๆ  ให้กลายเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ใช้ชีวิตได้อย่าง Productive

นอนให้ได้ 6 – 8 ชั่วโมงเพื่อความสดชื่น 

สิ่งที่ทำให้สมองของเราสดชื่น พร้อมสำหรับการทำงานในทุกๆ เช้าเมื่อตื่นนอน ก็คือการนอนให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย โดยระยะเวลาที่เหมาะสมในการพักผ่อนของคนทั่วไปจะอยู่ระหว่าง 6-8 ชั่วโมง และควรเข้านอนไม่เกิน 4-5 ทุ่ม เพราะเวลาหลังจากนั้นเป็นช่วงที่ร่างกายหลั่ง Growth hormones ออกมาเพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ

สำหรับคนที่อยากลองนอนให้ตรงเวลา และตื่นในเวลาที่กำหนด เราสามารถฝึกได้ง่ายๆ โดยเริ่มจากพยายามนอนให้ตรงเวลา ตั้งนาฬิกาปลุกในเวลาที่อยากจะตื่นและห้ามกด Snooze ด้วย (ใครกด Snooze ส่วนใหญ่นอนยาว…ตื่นอีกที 1 ชั่วโมงต่อมา) เมื่อฝึกฝนไปเรื่อยๆ และทำอย่างต่อเนื่อง 7 – 10 วันร่างกายจะมีการปรับนาฬิกาชีวิต (Body Clock) ให้เรากลายเป็นคนที่ง่วงเมื่อถึงเวลานอน และตื่นในเวลาที่เคยตื่นแบบอัตโนมัติ

หากฝึกจนเป็นนิสัย เราจะพักผ่อนได้อย่างเพียงพอ หากเรานอนช้ากว่านั้นร่างกายจะไม่ได้หลับพักผ่อนอย่างตรงเวลาร่างกาย Growth hormones ที่ควรจะหลั่งออกมาในระหว่างที่เรานอนก็ไม่สามารถทำได้

ทำให้ร่างกายไม่เกิดกระบวนการฟื้นฟูตัวเอง รวมถึงการนอนไม่พอก็จะทำให้สมองทำงานช้า มีการเบลอ และง่วงหาวนอนทั้งวัน ไม่สดชื่นสดใส สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเราไม่สามารถมีสมาธิกับการทำงานได้อย่างที่ควรจะเป็น

ตื่นเช้าขึ้น 1 ชั่วโมงเพิ่มเวลาทำประโยชน์

การที่เราตื่นเร็วขึ้น 1 ชั่วโมงกว่าเดิมปกตินั้นจะทำให้เราได้เวลาเพิ่มขึ้นมาในชีวิต อาจจะดูเหมือนว่าแค่ 1 ชั่วโมงมันไม่มากพอ แต่ในความเป็นจริงแล้วช่วงเวลาตอนเช้านี่แหละ สามารถทำให้เรา Productive ได้เพราะสมาธิ และพลังของเราถูกชาร์จมาอย่างเต็มที่ พร้อมรับกับทุกสิ่งที่จะเข้ามาในวันนี้ การตื่นเช้ากว่าเดิม 1 ชั่วโมงเราสามารถทำอะไรได้บ้างให้เกิดประโยชน์ ตัวอย่างเช่น

ทั้งหมดนี้เป็นกิจกรรมที่ล้วนช่วยพัฒนาศักยภาพ รวมถึงพัฒนาตัวเองทั้งนั้น หากคุณตื่นเวลาเดิม สิ่งเหล่านี้ก็คงไม่มีโอกาสได้ทำ ซึ่งการจะตื่นเร็วกว่าเดิม 1 ชั่วมงให้มีคุณภาพก็ต้องย้อนกลับไปเรื่องการนอนหลับให้เพียงพอด้วย ถ้านอนหลับเพียงพอ ก็ไม่ต้องกลัวว่าตื่นไวจะทำให้คุณไม่มีแรง

ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คเมื่อจำเป็น

บางคนทำงานอยู่ดีๆ ไลน์เด้ง อ่ะ…เช็กไลน์สักหน่อย สักพักเฟซบุ๊กมีเม็ดแดงๆ แจ้งเตือนมา อ่ะ…ดูสักหน่อย แวะเปิด IG เช็คสักทีนึง เช็คไปเช็คมา ถ่ายรูปกาแฟที่ซื้อมาแต่งภาพอีกครึ่งชั่วโมง ลงภาพไป อีก 10 นาทีมาเปิด IG เช็คเรทติ้งหน่อยว่ามีคนไลก์กี่คน  โอ๊ะ!  แท็กมาในทวิตเตอร์ คุยสักหน่อย คุยเสร็จกำลังจะนั่งทำงานต่อ เอ้า!  ไลน์เด้งมา สุดท้ายวนกลับไปเป็นลูปนรกที่งานไม่เดินไปไหนงานก็ไม่เสร็จ ทีนี้พอจะเห็นภาพแล้วเนอะว่าทำไมงานถึงไม่เสร็จ…

อาการเสพติดโซเชียลนั้นสอดคล้องกับงานวิจัย ETDA กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่ระบุว่าคนใช้เน็ตวันละ 10 ชั่วโมง 5 นาที และกว่า 3 ชั่วโมงครึ่ง พวกเขาใช้เวลาไปกับการเล่นโซเชียลมีเดียทั้งหลาย ซึ่งนี่เป็นเพียงค่าเฉลี่ยเท่านั้น แต่หากวัดการใช้งานแต่ละคนของทุกคนจริงๆ มากกว่านี้แน่นอน

หากเราสามารถลดการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คลงได้ ชีวิตเราจะ Productive มากกว่านี้ ซึ่งมีหลายวิธีที่ช่วยเราได้ อาทิใช้แอปล็อคไม่ให้เราเข้าถึงโซเชียลเน็ตเวิร์คตามเวลาที่กำหนด, จำกัดเวลาการเล่นมือถือ, ปิดการแจ้งเตือนทุกอย่างยกเว้นแอปที่สำคัญจริงๆ ดูข้อมูลการใช้สมาร์ทโฟนของตัวเองในแต่ละสัปดาห์เพื่อจะได้รู้ว่าเราลดการเสพติดโซเชียลได้จริงไหม เมื่อรู้ว่าตัวเองใช้โซเชียลเกินลิมิท คราวนี้เราก็คงรู้แล้วว่าใช่ไหมว่าทำไมงานไม่เดิน..ถ้าอยากให้งานเดินต้องทำอย่างไร

ที่มา : ETDA

ออกกำลังกายอย่างน้อย 3 – 4  วันต่อสัปดาห์

ทุกคนล้วนอยากมีร่างกายที่แข็งแรง สุขภาพดี จิตใจแจ่มใสทั้งนั้น ซึ่งการที่จะทำให้เราได้สิ่งนั้นตอบแทนมาก็คือการ ‘ออกกำลังกาย’ โดยวิธีการออกกำลังกายที่ได้ผลที่สุด และส่งผลดีต่อสุขภาพของเรามากที่สุดก็คือควรออกกำลังกายอย่างน้อย 3 – 4 วันต่อสัปดาห์ ครั้งละ 30 นาทีขึ้นไป (อย่างต่อเนื่อง) โดยเป็นการออกกำลังกายที่ร่างกายได้ประโยชน์คือ

สำหรับกิจกรรมในการออกกำลังกายก็มีให้เลือกมากมายตามความถนัดและความชอบอาทิ วิ่ง, ฟิตเนส, โยคะ, ปั่นจักรยาน หรือว่ายน้ำ ส่วนช่วงเวลาที่เหมาะกับการออกกำลังกายที่สุด แม้ สสส. จะบอกว่าช่วงเช้า จะดีที่สุดเนื่องจากอากาศดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว ข้อมูลจาก สสส. บอกว่าเวลาที่ดีที่สุดในการออกกำลังกายขึ้นอยู่กับแต่ละคน ควรออกกำลังกายในเวลาที่เราพร้อมมากกว่า

ข้อดีของการมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงคือเราจะมีความพร้อมของร่างกายในการทำงานและการใช้ชีวิต รวมถึงสภาพจิตใจที่ดี เพราะการออกกำลังกายช่วยทั้งเรื่องร่างกายแข็งแรงและจิตใจที่แข็งแรง เมื่อร่างกายสมบูรณ์พร้อมก็ไม่ต้องเสียเวลาปวดหัวกับสภาพร่างกายและจิตใจของตัวเองที่ไม่พร้อมอีกต่อไป เจออุปสรรคอะไรก็ผ่านได้แบบสบาย

ที่มา : สสส.

ฟัง Podcast เพื่อเพิ่มความรู้

การพัฒนาตัวเองที่ทำได้ง่ายที่สุดอีกวิธีหนึ่งคือการเสพความรู้ผ่านประสบการณ์ของผู้อื่นที่ถ่ายทอดออกมาในรูปแบบของ ‘อ่านบทความออนไลน์’ ‘หนังสือ’ และ ‘พอดแคสต์’ ทว่าวิธีที่เหมาะสมกับคนยุคนี้ที่มีเวลาน้อยลง แต่อยากพัฒนาตัวเองก็ควจะไม่พ้นพอดแคสต์ พอดแคสต์คืออาหารสมองชั้นดีที่สามารถให้เราเสพได้ในช่วงระหว่างที่เรากำลังทำกิจกรรมอื่นด้วยได้อย่างไม่ติดขัด และสอดคล้องไปกับการใช้ชีวิตประจำวัน

จากรายงานข้อมูลล่าสุดของ Adobe Analytics เกี่ยวกับเทรนด์การฟังพอดแคสต์ในปี 2019  ของชาวอเมริการะบุว่าปัจจุบันมีคนฟังพอดแคสต์มากขึ้นและกิจกรรมที่พวกเขาทำระหว่างฟังพอดแคสต์แบ่งเป็น

ซึ่งส่วนใหญ่พวกเขาใช้เวลาไปกับการเลือกฟังคอนเทนต์พอดแคสต์ที่ทั้งให้ความรู้ และความบันเทิง โดยการฟังพอดแคสต์สามารถช่วยให้เราใช้เวลาว่างในระหว่างที่เราใช้สายตา หรือสมาธิไปกับการทำซึ่งอื่นเพื่อเพิ่มทักษะในสิ่งที่เราสนใจ อาทิการเงิน การลงทุน การพัฒนาความรู้  การพัฒนาศักยภาพการทำงาน และอีกมากมายได้ง่ายๆ เพียงกดฟังในเวลาว่าง

ที่มา : Thumbsup 

เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ เลือกทานผักให้ได้ 400 กรัมต่อวัน 

กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และควรกินผักให้ครบ ซึ่งหากศึกษาตามตำราสุขศึกษาที่เรียนมาตั้งแต่ ป.4 และ องค์การอนามัยโลกบอกว่าเราควรกินผัก 400 กรัมต่อวัน หรือเกือบครึ่งกิโลกรัมเพื่อให้ร่างกายได้แร่ธาตุ ได้วิตามิน แร่สาร สารต้านอนุมูลอิสระ และคุณประโยชน์อื่นๆ ในผัก การกินผักไม่ใช่แค่ได้ประโยชน์แค่เท่านั้น

แต่ยังเหมาะกับคนที่อยากดูแลรูปร่าง อยากลดไขมัน อยากเติมสิ่งดีๆ ให้ร่างกาย เพราะเมื่อเรากินดี เราก็สุขภาพดี หลับดี เวลาทำงานหรือใช้ชีวิตก็มีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งผักแต่ละประเภทก็มีคุณสมบัติที่ต่างกันได้แก่

แต่…พอมานึกภาพดูแล้วในแต่ละวันคนเรากินผักไม่ถึง 400 กรัมแน่นอน และเราเองก็คงไม่รู้ว่าผักที่เรากินทั้งวันมันครบหรือไม่ครบ แต่หากเรากังวลว่าวันนี้เรากินผักครบแล้วหรือยัง ตัวช่วยที่น่าสนใจคือการดื่มยูนีฟ 100% โฉมใหม่ ที่มีส่วนผสมเป็น Superfood 3 รสชาติ ดื่มง่าย กินเมื่อไหร่ก็ได้ และมีประโยชน์ต่อร่างกาย ดังนี้

ยูนิฟ100% 200 ml. มีปริมาณผักผลไม้ประมาณ 200 กรัมต่อกล่อง  ดังนั้น ในวันที่ไม่มีเวลาดูแลตัวเองหรือรู้สึกว่ากินผักได้น้อย ก็สามารถเติมผัก เติมสุขภาพดีง่ายๆ ด้วยยูนิฟ น้ำผักผลไม้ 100% ได้ที่ 7-eleven สาขาใกล้บ้าน 

สำหรับคนที่กินผักไม่พอก็สามารถเติมผักง่ายๆ ได้ทุกวัน ด้วยยูนิ 100% โฉมใหม่ หาซื้อง่ายและกินง่ายด้วยนะ 😀